สรุปการเปิดตัว "Apple Special Event" รอบสุดท้ายของปี 2018 กับการสร้างสรรค์โลโก้ Apple ที่แปลกตา

สรุปการเปิดตัว "Apple Special Event" รอบสุดท้ายของปี 2018 กับการสร้างสรรค์โลโก้ Apple ที่แปลกตา

สรุปการเปิดตัว "Apple Special Event" รอบสุดท้ายของปี 2018 กับการสร้างสรรค์โลโก้ Apple ที่แปลกตา
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สิ้นสุดการรอคอยสำหรับคนที่อยากรู้ว่า Apple จะเปิดตัวอะไรใหม่บ้างในงาน Event สุดท้ายของปีนี้ สิ่งที่หลุดออกมาจะเปิดตัวจริงหรือไม่ เราได้สรุปมาให้แล้ว 

 

สำหรับสถานที่จัดงานครั้งนี้คือ Brooklyn Academy of Music ในมหานคร New York ที่อาจแปลกตาสำหรับหลายคน โดย Apple เลือกมาจัดงานที่ New York City เหตุผลเพราะเรื่องของการสร้างสรรค์โดยเฉพาะ ซึ่งครั้งนี้ Apple เน้นเรื่องของอุปกรณ์สร้างสรรค์ โดยเฉพาะ Mac นั่นเอง โดยพบว่ามีผู้ใช้งาน Mac มากขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี

สำหรับ MacOS Mojavi รุ่นใหม่ล่าสุดนี้มีความสามารถมากมาย ทั้งการปรับเปลี่ยนโหมดทั้งเวลากลางวันและกลางคืนได้อย่างเหมาะสม ในขนาดที่พอเหมาะและรองรับการทำงานได้หลากหลาย

MacBook Air

สำหรับคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่นี้เป็นรุ่นแรกที่มีการออกแบบให้บางเฉียบ และเหมาะกับคนที่ต้องการพกพา เปลี่ยนสถานที่ใช้งานบ่อยๆ ซึ่งการกลับมาหลังจากที่ห่างหายไปหลายปี MacBook Air มาพร้อมกับหน้าจอ Retina Display และสีสันตัวเครื่องที่น่าสนใจทั้ง สีเงิน, สีเทา Space Gray และ สีทอง

โดยหน้าจอจะเปลี่ยนเป็น Retina Display ขนาด 13.3 นิ้ว และขอบหน้าจอชิดมากขึ้น มาพร้อมกับพิกเซลในหน้าจอที่หนาแน่นขึ้น สามารถแสดงผลได้ 4 ล้านพิกเซล และสีสันได้มากกว่า 48% ย้าย FaceTime Camera ไปด้านบน รองรับ Group FaceTime น้ำหนักของเครื่อง 2.75 ปอนด์ และตัวเครื่องเล็กลง 17% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้านี้ และมีสีเงิน และสีทองให้เลือก ใช้วัสดุเป็นอะลูมิเนียม แต่เป็นแบบ Recycle

ทั้งนี้ได้มาพร้อมกับระบบความปลอดภัยด้วย Touch ID ซึ่งทำงานผ่านชิป T2 ที่มีความปลอดภัยและสามารถเข้าถึงเรื่องของการทำงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการควบคุมระบบเสียง, Siri และระบบความปลอดภัยต่างๆ

Keyboard ที่ปรับปรุงมาใช้ Butterfly Keyboard รุ่นที่ 3 ให้การตอบสนองที่ดีขึ้นและมี Trackpad ขนาดใหญ่ แต่มีการปรับปรุงให้การสัมผัสดีขึ้นและไวขึ้น

ระบบเสียงของ MacBook Air ดังและละเอียดกว่าเดิม 25% เน้นเบสมากขึ้น และมาพร้อมกับไมโครโฟน 3 ตัว ช่วยทำให้ตัดเสียงได้ดีกว่าเดิม

MacBook Air มาพร้อมกับ USB-C Thunderbolt 3 ที่สามารถใช้งานได้หลากหลายรวมถึงการแสดงผลของหน้าจอให้ความละเอียด 5K เลยทีเดียว

ด้านสเปกของเครื่องนั้นเลือกใช้ Intel Core 8 Generation มาพร้อมกับ RAM สามารถใช้ได้ 16 GB และ SSD ความจุ สูงสุด 1.5 TB เลยทีเดียว Apple ยืนยันว่าสามารถใช้งานได้ทั้งวันอย่างสบายๆ

ส่วนราคาในประเทศไทยของ MacBook Air รุ่นใหม่มีดังนี้

  • MacBook Air Intel Core i5 RAM 8GB SSD 128GB ราคา 42,900 บาท
  • MacBook Air Intel Core i5 RAM 8GB SSD 256GB ราคา 49,900 บาท

สำหรับวันที่จำหน่ายในประเทศคาดว่าจะเป็นวันที่ 7 พฤศจิกายนนี้

Mac Mini

คอมพิวเตอร์ที่หลายคนบอกว่า Apple จะโละทิ้งกลับมาเปิดตัวอีกครั้ง มาพร้อมกับรูปทรงสี่เหลี่ยมและสี Space Gray ดูน่าสนใจกว่าเดิมด้วยวัสดุอะลูมิเนียมที่เกิดจากการ Recycle 100%

โดยมาพร้อมกับขุมพลังใหม่ที่เป็น CPU ตัวท็อป หน่วยประมวลผลแบบ Intel Core i7 6 Core รุ่นที่ 8 เร็วกว่าเดิม 5 เท่า เรียกว่าใช้งานได้เร็วกว่าเดิมหลายเท่าตัว มาพร้อมกับ RAM อัดได้สูงสุด 64 GB พร้อมกับ ความจำแบบ SSD 2TB ที่เร็วขึ้นกว่าเดิม และมี T2 Processor พร้อมระบบระบายความร้อนใหม่ที่เร็วกว่าเดิม

ช่องเสียบมีให้ครบทั้ง Eternet ความเร็วระดับ 10 Gbps, USB-C 4 ช่อง, USB-A 2 ช่อง และ HDMI มาให้ด้วย ทำให้ตัวเครื่องนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถใช้งานร่วมกันโดยวางเป็น Server ได้

ส่วนราคาของ Mac Mini นั้นมีดังต่อไปนี้

  • Mac Mini Intel Core i3 RAM 8GB ความจำ 128GB ราคา 27,900 บาท
  • Mac Mini Intel Core i5 RAM 8GB ความจำ 256GB ราคา 38,900 บาท

เริ่มจำหน่ายในวันที่ 7 พฤศจิกายนนี้ ส่วนในประเทศไทยคาดว่าจะเป็นวันที่ 8 พฤศจิกายนนี้

 

iPad Pro

iPad นั้นถือว่าเป็น Tablet ที่มีการปรับปรุงประสิทธิภาพแบบสูงสุดเหมือนกัน โดยการกลับมาครั้งนี้ก็ยังคงแบ่งออกเป็น iPad Mini, iPad รุ่นปกติ และกลุ่มของ iPad Pro นั่นเอง

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกิดกับ iPad Pro ในคราวนี้จะได้หน้าจอที่ใหญ่ขึ้น ไร้กรอบเลยทีเดียว มีกล้องหน้าที่มาพร้อมกับระบบ Face ID เพราะปุ่ม Home ถูกตัดออกไป ขอบของเครื่องนั้นเปลี่ยนให้ดูเรียบง่ายขึ้นด้วย หน้าจอเป็นแบบ LCD ความละเอียดสูง โดยใช้หน้าจอแบบ Liquid Retina Display ขนาด 11 นิ้ว โดยที่ตัวบอดี้มีขนาด 10.5 นิ้ว ส่วนรุ่น 12.9 นิ้ว หน้าจอใหญ่เท่าเดิมแต่เครื่องเล็กลง

ตัวเครื่องบางลงกว่าเดิม 15% เบากว่าเดิม 25% และมาพร้อมกับระบบ Face ID เหมือน iPhone XR, iPhone XS, iPhone XS Max และสามารถใช้งานได้ไม่ว่าจะพลิกไปทิศไหน ยกเว้นพลิกกลับหลัง

การใช้งานโดยรวมเหมือนกับ iPhone XS แต่เพิ่มในเรื่องของการใช้ Multi-Tasking ที่สามารถทำงานได้อย่างราบรื่นกว่าเดิม

ขุมพลังของ iPad Pro เลือกใช้ A12X Bionic โดยความสามารถของ CPU รุ่นนี้ยังคงใช้สถาปัตยกรรมขนาด 7 นาโนเมตร 10 ล้าน ทรานซิสเตอร์ มาพร้อมกับ CPU 8 Core และ GPU 7 Core เร็วขึ้นกว่าเดิม 35% สำหรับแบบ Single-core และ Multi-core เร็วกว่าเดิม 95% เลยทีเดียว ด้านกราฟิกก็เร็วกว่าเดิม 1,000 เท่า ทั้งหมดสามารถใช้งานได้ทั้งวัน และสามารถใช้งาน AR ได้ดีขึ้น

มาพร้อมกับ NPU สามารถใช้งานได้ดีเพราะมี Machine Learning อยู่ภายในด้วย และมีความจำให้เลือกสูงสุดที่ 1 TB กันเลยทีเดียว เรียกได้ว่า iPad Pro แทบจะใช้งานได้เทียบเท่าคอมพิวเตอร์เลยทีเดียว นอกจากนี้ช่องชาร์จไฟยังเปลี่ยนเป็น USB-C เพิ่มความสะดวกในการเชื่อมต่อมากขึ้น และสามารถชาร์จให้กับ iPhone ได้ด้วย

และมาพร้อมกับ Apple Pencil รุ่นที่ 2 สามารถเชื่อมต่อได้แบบ Wireless Charge และเป็นตัวเชื่อมต่อได้ด้วย นอกจากนี้คำสั่งที่หัวดินสอยังเปลี่ยนโหมดได้ง่ายดายกว่าเดิม ชนิดที่คนใช้รุ่นเก่าแทบอยากจะปาของเดิมทิ้งเลยก็ว่าได้

Smart Keyboard Folio ปุ่มแบบใหม่และปรับได้ 2 ระดับ เพื่อการใช้งานที่ลงตัวขึ้นกว่าเดิม

และมี Apps ที่ใช้งานได้มากมายเหมือนกับ Desktop ไม่ว่าจะเป็น Autocap ที่ทำงานได้เร็วขึ้น เล่นเกมเร็วขึ้น และเรื่องของระบบเพลงก็มีลำโพง 4 ตัวมาให้ แต่น่าเสียดายที่ iPad Pro ไม่มีช่องเสียบหูฟังมาให้แล้ว

สำหรับ Adobe Photoshop เป็นอีกโปรแกรมที่สามารถใช้งานบน iPad Pro ได้เหมือนกับ PC หรือ Mac โดยมีการใช้ tool ต่างๆ เหมือนกับ PC มากขึ้น และใช้งานด้วย Apple Pencil ได้ง่าย และ มี Adobe Project AL ออกมาด้วย ซึ่งเราสามารถสร้างผลงานผ่านฉากเสมือนจริงได้นั่นเอง

โดย iPad Pro รุ่นใหม่นี้มีให้เลือก 4 ขนาด ได้แก่ 64 GB, 256 GB, 512 GB และ 1 TB ในราคาเริ่มต้น 799 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับ 11 นิ้ว และ 999 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับ 12.9 นิ้ว 

  • ขนาด 11 นิ้ว WiFi
    • 64 GB ราคา 28,900 บาท
    • 256 GB ราคา 33,900 บาท
    • 512 GB ราคา 40,900 บาท
    • 1 TB ราคา 54,900 บาท
  • ขนาด 12.9 นิ้ว WiFi 
    • 64 GB ราคา 35,900 บาท
    • 256 GB ราคา 40,900 บาท
    • 512 GB ราคา 47,900 บาท
    • 1 TB ราคา 61,900 บาท
  • ขนาด 11 นิ้ว WiFi + Cellular
    • 64 GB ราคา 33,900 บาท
    • 256 GB ราคา 38,900 บาท
    • 512 GB ราคา 45,900 บาท
    • 1 TB ราคา 59,900 บาท
  • ขนาด 12.9 นิ้ว WiFi + Cellular
    • 64 GB ราคา 40,900 บาท
    • 256 GB ราคา 45,900 บาท
    • 512 GB ราคา 52,900 บาท
    • 1 TB ราคา 66,900 บาท

ส่วนอุปกรณ์เสริม Apple Pencil 2 ราคาอยู่ที่ 4,490 บาท และ Smart Folio Keyboard มีราคาดังนี้

  • สำหรับ iPad Pro 11 นิ้ว = 6,490 บาท
  • สำหรับ iPad Pro 12.9 นิ้ว = 7,290 บาท

เริ่มจำหน่าย 7 พฤศจิกายน เช่นเดียวกัน และตอนนี้เปิดราคาเฉพาะใน Apple Online Store เท่านั้น ส่วนหน้าร้านอาจจะแตกต่างกันเล็กน้อย

iOS12 มีการอัปเดตรุ่นใหม่คือ iOS 12.1 ที่มีความสามารถเพิ่มได้แก่

  • Group FaceTime เปิดให้ใช้แล้ว
  • เปิดให้ใช้งาน e-sim
  • เพิ่ม Animoji อีกหลากหลายแบบ
  • และแก้ปัญหาต่างๆ มากมายเลยเดียว

โดยปล่อยให้โหลดแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

Apple Retail

ปิดท้าย Apple เผยว่าจะมีการปรับปรุงสาขาใหม่ที่เน้นเรื่องของ Art มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ดนตรี, การถ่ายภาพ, การสร้างสรรค์ต่างๆ โดยมีการเปิดตัวสาขาเพิ่มขึ้นในสหรัฐอเมริกา และจะมีการเปิดตัว Apple Store ที่ ICONSIAM (ไอคอมสยาม) ประเทศไทยภายในวันที่ 10 พฤศจิกายนนี้

เรียกได้ว่าทั้งหมดที่เปิดตัวในปลายปีนี้ ไม่ได้หนีจากข่าวหลุดมากนัก แต่ว่าก็มีบางสิ่งที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว คงเอาใจสาวกไปได้ไม่น้อยเลยครับ สุดท้ายแล้วจะชอบและถูกใจแค่ไหน ก็ลองส่องเงินในกระเป๋าของคุณดูนะครับ

อัลบั้มภาพ 55 ภาพ

อัลบั้มภาพ 55 ภาพ ของ สรุปการเปิดตัว "Apple Special Event" รอบสุดท้ายของปี 2018 กับการสร้างสรรค์โลโก้ Apple ที่แปลกตา

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook