จาก “ iPhone 6s” สู่ “ iPhone XR” เปิดประสบการณ์ใช้จริง ควรเปลี่ยน “iPhone” ในมือหรือไม่?

จาก “ iPhone 6s” สู่ “ iPhone XR” เปิดประสบการณ์ใช้จริง ควรเปลี่ยน “iPhone” ในมือหรือไม่?

จาก “ iPhone 6s” สู่ “ iPhone XR” เปิดประสบการณ์ใช้จริง ควรเปลี่ยน “iPhone” ในมือหรือไม่?
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

บทความนี้อาจไม่ใช่รีวิวสมาร์ทโฟนแบบเจาะลึกทฤษฎีแบบเอาเป็นเอาตาย แต่นี่คือประสบการณ์จริง จากการใช้เครื่องจริง และความรู้สึกหลังจากได้ผลัดใบจาก “iPhone 6s” สู่ “iPhone XR” ที่หลายคนกำลังจ้องตาเป็นมันว่าจะเสียทรัพย์ดีไหม?

ออกตัวก่อนว่าโดยส่วนตัวผู้เขียนเป็นคนที่ไม่บ่อยครั้งนักที่จะเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือสักเครื่อง แต่หากจะว่ากันตามจริง ก็คงสมควรแก่เวลาแล้วที่ iPhone 6s ในมือผู้เขียนจะต้องเก็บเข้ากรุ ด้วยหน้าที่การงานในสายออนไลน์ที่ต้องการความรวดเร็วฉับไว เมื่อเครื่องเริ่มจะไม่ทันใจ ก็ถือว่าเป็นวาระที่เหมาะสม

สำหรับใครที่ชื่นชอบในเรื่องราวของเทคโนโลยีคงพอจะทราบแล้วล่ะว่า ความดีงามของ iPhone XR ที่มีพี่น้องร่วมรุ่นอย่าง iPhone XS และ iPhone XS Max นั้นประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ที่ฮือฮาสุดๆ คงหนีไม่พ้นการเปลี่ยนแปลงสู่ ชิพ A12 Bionic ที่ว่ากันว่าฉลาดและทรงพลังที่สุด รวมไปถึงฟังก์ชั่น Face ID ที่เพิ่มมาตรฐานความปลอดภัยด้วยระบบแสกนใบหน้าในการล็อกอินเข้าเครื่องที่น่าตื่นตาตื่นใจเช่นกัน

iPhone XR

มากไปกว่านั้นจอขนาด 6.1 นิ้วที่ขยายจนชิดติดขอบเครื่อง ก็มาพร้อมกับจอภาพ Liquid Retina ซึ่งเป็น LCD ที่ล้ำสมัยและใหญ่ที่สุดเท่าที่ iPhone เคยมีมา, กระจกด้านหน้าสุดแข็งแกร่ง ขอบอะลูมิเนียมเกรดเดียวกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมอวกาศ!, การชาร์จแบบไร้สาย, กล้องเลนส์เดี่ยวที่จะมอบประสบการณ์ใหม่ๆ ในการถ่ายภาพด้วยกล้องสมาร์ทโฟน และอีกมากมายหลายคุณสมบัติที่เล่าแทบไม่หวาดไม่ไหว

แต่ตัวอักษรหรือจะสู้การใช้งานจริง ไปดูกันดีกว่าว่า หลังจากใช้งาน iPhone XR มาสักพัก ผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นไรบ้าง…

สัมผัสแรกที่ไม่คุ้นเคย และปุ่ม Home ที่หายไป

ด้วยความที่ก่อนหน้านี้ผู้เขียนใช้ iPhone 6s มาหลายปีดีดัก การเพิ่มขนาดหน้าจอจาก 4.7 นิ้วมาสู่ 6.1 นิ้วของ iPhone XR ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำความคุ้นชินกับความเปลี่ยนแปลงตั้งแต่แรกเริ่ม ต้องใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าจะ “คุ้นมือ” และยิ่งเมื่อมองลงไปบริเวณด้านล่าง ปุ่ม Home อันตรธานไปไหนนะ! และนี่คืออีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลงที่นวัตกรรมแห่งจอภาพ Liquid Retina ที่สามารถขยายจอไปจนสุดมุม เพิ่มพื้นที่สัมผัสสำหรับดวงตาและมือทั้ง 2 ข้างได้น่าสนใจทีเดียว มากไปกว่านั้นยังมีเรื่องความสว่างและคมชัดที่เห็นความแตกต่างได้ชัดเจน เอาง่ายๆ ว่า มันใหญ่และน่าตื่นตามากขึ้นนั่นล่ะ

ด้านล่างเครื่องไม่มีปุ่ม Home ให้กดอีกต่อไป

ถึงเวลาสแกนใบหน้า

ทุกคนคงคุ้นเคยกับการใช้ Passcode เป็นรหัสผ่านเข้าเครื่องกันดีอยู่แล้ว รหัสนี้มีไว้เพื่อป้องกันผู้ไม่หวังดีไม่ให้เข้าไปล้วงความลับซึ่งอาจจะก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยนั่นเอง ทว่าทันทีที่ทราบว่า iPhone XR มีฟังก์ชั่น Face ID ใช้ใบหน้าของเรานี่แหละในการล็อกอินเครื่อง บอกตามตรงว่าคิดในใจทันที “จะไฮเทคไปถึงไหนเนี่ย” ที่มาพร้อมกับข้อสงสัยว่ามันจะเวิร์กมากน้อยเพียงใด หลังจากเซตอัพและลองใช้ดูก็พบว่า  มันสะดวกดีนะ เพียงไม่ถึงเสี้ยววินาทีในการยกมือถือมาอยู่เบื้องหน้า ก็สามารถปลดล็อกทุกสิ่งอย่างได้แล้ว แต่ก็มีบางเวลาที่สแกนไม่ผ่านอยู่บ้าง อาจจะเป็นเพราะองศาของใบหน้า ความมืดสว่างของพื้นที่บริเวณนั้นที่อาจจะน้อยไปสักหน่อยจนระบบไม่สามารถจับใบหน้าของเราได้ คงต้องอาศัย Machine Learning ให้ระบบเรียนรู้ใบหน้าเราบ่อยๆ ว่าแล้วก็หยิบขึ้นมาส่องปลดล็อกอีกสักทีเลยดีกว่า

Getty ImagesiPhone XR มีหลากหลายสีสันให้เลือก

ความลื่นไหล เพลินมือเสียจริง

จากปุ่ม Home ที่หายไป แทนที่ด้วยการสไลด์ขึ้นตรงบริเวณด้านล่างจอสมาร์ตโฟนเพื่อเข้าหน้าหลัก หรือแม้แต่การปิดแอปฯ ที่ไม่ใช้แล้ว จากที่เคยต้องกดปุ่ม Home ซ้ำกัน 2 ครั้ง ก็สามารถใช้นิ้วโป้งสไลด์ขึ้นและค้างไว้เล็กน้อย แอปต่างๆ ที่ใช้งานมานานนมก็จะโชว์หราบนหน้าจอให้เราเลื่อนขึ้นเพื่อปิดอย่างง่ายดาย ในขณะที่ปุ่ม shortcut ทั้งหลาย จาก 6s ที่เคยต้องเลื่อนขึ้น มาบัดนี้เลื่อนลงจากมุมขวาโลด ใช้งานไม่ยาก แป๊บเดียวก็ชินแล้ว

Getty Images

แบตเตอรี่อยู่ได้ทั้งวันอยู่นะ

หลายคนมีความกังวลเรื่องแบตเตอรี่โทรศัพท์ กินแบตฯ ไหม ต้องพกที่ชาร์จแบตฯ สำรองติดตัวไว้ตลอดเวลาหรือเปล่า ปรากฏว่าหากออกจากบ้านด้วยแบตเตอรี่หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม ก็แทบจะไม่ต้องกังวลว่ามันจะกลายเป็นขีดแดงในช่วงพลบค่ำแต่ประการใด ทว่าทั้งนี้ทั้งนั้นคงขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้ของผู้ใช้แต่ละคนด้วย เนื่องด้วยผู้เขียนเน้นการใช้โซเชียลมีเดียจำพวกเฟซบุ๊กและแอปฯ สนทนาเป็นหลัก หากเน้นหนักไปที่การเล่นเกมหรือดูวิดีโอ ก็อาจจะไม่แปลกที่แบตฯ จะหมดเร็ว และที่สำคัญ ระยะเวลาในการชาร์จก็ไม่ช้าไม่เร็ว ถือว่าทันใจทีเดียว

Getty Images

ความดีงามของกล้องที่น่าประทับใจ

จาก 6s สู่ XR ความแตกต่างในเรื่องคุณภาพของภาพถ่ายคงเห็นได้อย่างชัดเจน จากเซนเซอร์, โปสเซสเซอร์ และอัลกอริทึมที่ทำงานร่วมกับ ISP และ Neural Engine สู่กล้องหลังความละเอียด 12 ล้านพิกเซล เลนส์มุมกว้าง f/1.8 กล้องหน้า TrueDepth ความละเอียด 7 ล้านพิกเซล เลนส์มุมกว้าง f/2.2 พร้อมด้วยวิดีโอระดับ 4K และ HD ตามลำดับ ที่มากับลำโพงสเตอริโอที่ฟังได้เต็มอิ่มกว่าที่เคยเป็นมา

โดยส่วนตัวอาจไม่ใช่นักถ่ายภาพตัวยงที่ชอบถ่ายเซลฟี่ตนเอง หรือถ่ายภาพบุคคลมากนัก ฟังก์ชั่นอย่าง Portrait หรือ Bokeh (การเบลอฉากหลัง) จึงมีสัดส่วนการใช้งานค่อนข้างน้อย แต่หากใครชื่นชอบแนวนี้บอกได้เลยว่าคุณน่าจะหลงใหลไม่น้อยทีเดียว เพราะมีอะไรให้เล่นค่อนข้างเยอะ อีกทั้งคุณภาพก็ออกมาไม่น้อยหน้ากล้อง DSLR เลยแม้แต่น้อย อัพลงโซเชียลยอดไลค์พุ่งแบบสบายๆ

ไลฟ์สไตล์ที่ผู้เขียนโปรดปรานเป็นพิเศษก็คือการไปชมคอนเสิร์ต ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะจัดในยามราตรี หรือในฮอลล์มืดๆ เพื่อเล่นกับแสงไฟ และนี่คือความประทับใจที่ผู้เขียนมีต่อ iPhone XR เอามากๆ เพราะภาพที่ออกมานั้นค่อนข้างคม ประกอบกับยิ่งเมื่อมี lighting สวยๆ เจ้าสมาร์ทโฟนเครื่องนี้ก็สามารถถ่ายทอดออกมาได้ค่อนข้างสมบูรณ์แบบเลยทีเดียว เป็นความสุขของนักดูคอนเสิร์ตสักคนที่จะเก็บภาพความประทับใจเอาไว้ในรูปแบบเดียวกับที่เราเห็นด้วยสายตาของตนเอง หรือแม้แต่เวลาซูมเข้า ก่อนหน้านี้ก็มักจะพบปัญหาภาพแตก เนื่องด้วยแสงไม่พอ แต่ระบบกล้องของ iPhone XR ก็สามารถลด noise ของภาพได้ดีทีเดียว

ภาพคอนเสิร์ตระยะไกล แต่สีสันไม่ลดน้อยลงไปเลย

ซูมเข้ามาอีกสักนิด

สีสันสดใช้ได้เลย

ในขณะเดียวกัน หากถ่ายในช่วงกลางวันที่มีแสง คงไม่ต้องบรรยายอะไรให้มากความ ลองรับชมภาพอาหารเมนูนี้ดูสิ!

น่าทานไหมล่ะ!

หูฟังที่เปลี่ยนหัวเสียบ

ข้อนี้อาจเป็นสิ่งที่ผู้เขียนชื่นชอบน้อยที่สุด แต่ใช่ว่าจะไม่ชอบเลย การเปลี่ยนหัวเสียบจากแจ๊คแบบธรรมดาที่เราคุ้นตามาเป็นลักษณะเหมือนที่ชาร์จแบตฯ ก็ทำให้ภาพองค์รวมของแพ็กเกจดูแข็งแกร่ง เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งคุณภาพของเสียงจากหูฟังก็ถือว่าใช้ได้ในระดับหนึ่ง เท่าที่ฟังเหมือนจะเพิ่มเสียงเบสลงไปเพื่อความมีมิติในการฟังเพลงที่ได้จะได้อรรถรสมากขึ้น แต่สำหรับผู้ที่มีหูฟังประจำตัวในย่านเสียงหรือโทนเสียงที่ชอบ แต่หัวเสียบไม่สามารถใช้ได้กับ iPhone XR คงต้องมีการปรับหูกันบ้างเล็กน้อย

รูเสียบชาร์จแบตฯ ที่เป็นรูเสียบหูฟังด้วย

สรุปแล้ว หากผู้อ่านที่กำลังใช้ iPhone 6 หรือ 6s ที่เทียบเท่ากับผู้เขียน แล้วลังเลอยู่ว่าจะเปลี่ยนมาใช้ iPhone XR ดีไหม? บอกสั้นๆ ตรงนี้เลยว่า “ควร” แต่หากเครื่องก่อนหน้านี้ของคุณเป็น iPhone 8, iPhone 8 Plus หรือ iPhone X ก็ลองพิจารณาจากบทความอื่นๆ ของ Sanook! Hitech ประกอบการพิจารณาดูได้

**********

ราคาของ iPhone XR ที่ขายในประเทศไทยมีดังนี้

  • iPhone XR 64GB = 29,900 บาท
  • iPhone XR 128GB = 31,990 บาท
  • iPhone XR 256GB = 35,990 บาท

รายละเอียดสเปกของคร่าวๆ ของ iPhone XR

  • หน้าจอแสดงผลขนาด 6.1 นิ้วความละเอียด 828 x 1792 พิกเซล ใช้หน้าจอแบบ IPS LCD
  • ขนาด : 158.9 x 75.7 x 8.3 มิลลิเมตร
  • หนัก : 194 กรัม
  • ชิปเซ็ตประมวลผล : Apple A12 Bionic
  • RAM : 3GB
  • ความจุ(ROM) : 64 / 128 / 256GB
  • กล้องหลัง : 12 ล้านพิกเซล พร้อมกับ Smart HDR, Quad LED Flash, Auto Focus
  • กล้องหน้า : 7 ล้านพิกเซล
  • ตัวเชื่อมต่อเสียง Lightning Port
  • ซิมแบบนาโน + e SIM
  • ระบบความปลอดภัย Face ID ใช้สแกนหน้าเพียงอย่างเดียว
  • เชื่อมต่อ 4G LTE, Bluetooth 5.0, WiFi 802.11 AC Dual Band, GPS
  • แบตเตอรี่ขนาด 2942 mAh รองรับ Quick Charge และ Wireless Charing
  • สี : ดำ, แดง Product Red, เหลือง, น้ำเงิน, Coral ออกส้ม

อัลบั้มภาพ 21 ภาพ

อัลบั้มภาพ 21 ภาพ ของ จาก “ iPhone 6s” สู่ “ iPhone XR” เปิดประสบการณ์ใช้จริง ควรเปลี่ยน “iPhone” ในมือหรือไม่?

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook