Instagram ถอดโฆษณาของบริษัท Hyp3r กับข้อกล่าวหาแอบบันทึกข้อมูลของผู้ใช้
ก่อนหน้านี้ Business Insider (เว็บไซต์ที่ตามเจาะลึกในด้านการเงิน สื่อ เทคโนโลยี และอุตสาหกรรมต่างๆ) ได้ตรวจสอบและแจ้งว่า Hyp3r เข้าไปในโปรไฟล์ของผู้ใช้ Instagram แล้วคัดลอกภาพถ่ายและข้อมูลโพสต์เรื่องราวต่างๆ จากผู้ใช้งาน Instagram หนึ่งล้านคน ซึ่งทำให้ Hyp3r มีบันทึกข้อมูลชีวประวัติ ภาพถ่าย ข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ที่อาศัยและที่เดินทางไป รวมทั้งสิ่งที่ผู้ใช้สนใจ
เมื่อเข้าไปในเว็บไซต์ของ Hyp3r จะทราบรายละเอียดว่า เป็นแพลตฟอร์มทางการตลาดที่นำข้อมูลทางภูมิศาสตร์ มาช่วยสนับให้นักการตลาดสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค เพื่อสามารถแข่งขันในการดึงดูดลูกค้าในสถานที่ตั้งเป้าหมาย และสร้างระบบ (CRM) ดูแลลูกค้า รวมทั้งเป็นแพลตฟอร์มโฆษณาบน Instagram ตามที่เป็นข่าว
แม้ว่าแหล่งข่าวจะไม่ได้กล่าวถึงเทคนิคที่ Hyp3r ใช้ในการบันทึกข้อมูลของผู้ใช้ Instagram แต่สามารถตั้งข้อสังเกตได้ว่าข้อกล่าวหานี้พูดถึง เป็นการบันทึกข้อมูลของผู้ใช้ จึงสันนิษฐานได้ว่า แพลตฟอร์มของ Hyp3r ที่เชื่อมต่อกับบริการ Instagram สามารถเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้และนำข้อมูลเหล่านั้นไปใช้ได้ แต่ทำผิดนโยบายตรงที่บันทึกข้อมูลผู้ใช้เอาไว้ และ สมมติว่า ถ้าได้ทำผิดตามข้อกล่าวจริงๆ เป็นไปได้หรือไม่ว่าแพลตฟอร์มที่ใช้จะมีเครื่องมือหรือโปรแกรมที่ช่วยบันทึกเก็บข้อมูลของผู้ใช้เอาไว้
ตามข่าว Instagram ได้ทำการถอดโฆษณาของ Hyp3r ออกจากบริการ ด้วยข้อกล่าวหาว่าฉกข้อมูลของผู้ใช้ และได้ออกมากล่าวว่า Hyp3r ทำการละเมิดนโยบาย และได้ส่งเอกสารทางกฎหมายแจ้งให้หยุดการรวบรวมข้อมูลของผู้ใช้งานแล้ว และได้เปลี่ยนแปลงผลิตภัณฑ์เพื่อป้องกันบริษัทอื่นๆ คัดลอกข้อมูลในลักษณะนี้
การกระทำนี้แสดงให้เห็นว่า Instagram รับรู้ปัญหาและไม่ได้วางเฉยกับการละเมิดข้อมูลของผู้ใช้แต่อย่างใด ซึ่งสันนิษฐานได้ว่า Facebook เจ้าของ Instagram คงเข็ดขยาดกับข่าวอันอื้อฉาว และค่าปรับอันสุดโหดเกี่ยวกับ Cambridge Analytica จึงไม่รอช้ารีบตัดไฟเสียแต่ต้นลม
ต่อมา Hyp3r ออกมากล่าวว่า ได้ปฏิบัติตามกฎความเป็นส่วนตัวและข้อกำหนดของผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่เป็นพันธมิตร และบอกเพิ่มเติมกับ Business Insider ว่า ไม่ได้ดูเนื้อหาหรือข้อมูลใด ๆ ที่ทุกคนไม่สามารถเข้าถึงแบบสาธารณะได้ ขอแปลสั้นๆ ได้ใจความว่า ฉันไม่ได้ทำผิดกฎ
เรื่องนี้ยังเป็นแค่ข้อกล่าวหา ต้องติดตามดูกันต่อไปว่าผิดจริงหรือไม่ และ Facebook จะทำอย่างไรกับปัญหาการละเมิดข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานในผลิตภัณฑ์ภายใต้การบริการ ก็ขอเป็นกำลังใจให้ Facebook จัดการกับเรื่องนี้ได้