[Hands on] จับครั้งแรกกับ vivo NEX 3 กลับมาแล้ว เรือธงจาก vivo ที่รอคอยกันมานาน 

ในที่สุด vivo Nex 3 มือถือรุ่นเรือธงของ vivo ได้เปิดตัวและเผยโฉมอย่างเป็นทางการแล้ว มาดูกันว่า เรือธงรุ่นดังของ vivo จะมีความแตกต่างและน่าสนใจแค่ไหน เรามาดูกันเลย 

แรกเห็นรูปร่างของ vivo NEX 3 

ต้องบอกว่า vivo Nex 3 มีความสวยงามอย่างมากเลยทีเดียวเพราะการออกแบบด้าหน้าจะมีหน้าจอแบบ Waterfall Design มาพร้อมกับขนาด 6.89 นิ้ว พื้นที่หน้าจอ 99.6% แทบจะสุดขอบ ขนาดหน้าจอ 6.89 นิ้วความละเอียดสูงถึง Full HD+

 

ปุ่มด้านข้างไม่มีอีกต่อไป แต่มีการจะมีการจัดการซ่อน ไว้ด้านข้างอย่างเรียบร้อยชื่อว่า Touch Sense เป็นการติดตั้งเซนเซอร์รองรับน้ำหนักการกด 7 ตัวด้วยกัน ทำงานหนักเบา ตามที่เราตั้งค่าได้สะดวก และทำให้อีกฝั่งจะไม่มีปุ่มกดเลย ช่วยทำให้หน้าจอนั้น ไม่มีขอบเป็นเรื่องที่เป็นไปได้

ส่วนช่องเสียบนั้นด้านบนมีที่เก็บกล้อง 16 ล้านพิกเซล + LED Flash ปุ่ม Physical สำหรับการกดให้เครื่องหลับเท่านั้น และรวมไปถึง ช่องเสียบหูฟังจะอยู่ด้านบน 

ส่วนด้านล่างมีช่องใส่ซิมแบบ Nano SIM 2 ช่องแบบกลับด้านกัน, พร้อมกับ USB-C และมีลำโพงตัวเครื่องพร้อมกับไมโครโฟนมาให้

ด้านหลังดูหนาแน่นและสวยงาม จัดวางตำแหน่งกล้องทั้ง 3 เป็นทรงกลม vivo ยอมให้ Nex 3 หนากว่าปกตินิดหน่อยเพื่อไม่ให้เลนส์กล้องยื่นขึ้นมากเกินไป ดังนั้นกระจกของเลนส์มีขนาดกำลังดีไม่หนาเกินไปนั่นเอง 

ภาพรวมที่ได้สัมผัส ถือว่าเป็นอีกมือถือเรือธงที่น่าจับที่สุด น้ำหนักกำลังดีไม่หนักมาก งานออกแบบสวยงาม และใช้ได้จริง แถมโลโก้ Nex ช่วยทำให้เครื่องดูแพงขึ้นชัดเจน 

สีสันที่เข้ามาจำหน่ายคือ Glowing Night ที่เป็นการออกแบบใหม่ทั้งหมด และสวยงามมาก 

ลองฟีเจอร์ของ vivo nex 3 

รายละเอียดของ vivo nex 3 

• สัดส่วน (ยาว x กว้าง x หนา) : 167.4 x 76.1 x 9.4 มม.    

• น้ำหนัก: 217.3 กรัม    
• การป้องกันน้ำและฝุ่น : -     
• หน้าจอ: Super AMOLED ขนาด 6.89 นิ้ว   
• ความละเอียดหน้าจอ 2256x1080 พิกเซล (FHD+) ความหนาแน่น 363 ppi 
• ชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 855+, Adreno 640 
• การเชื่อมต่อ : 4G LTE (Dual SIM) WiFi 802.11 B/G/N/AC Dual Band, Bluetooth 5.0, GPS, A-GPS    
• ระบบปฏิบัติการ : Android 9.0 Pie (Fun Touch OS 9)    
• ระบบความปลอดภัย    
  • ติดตั้งเซ็นเซอร์สแกนนิ้วในหน้าจอ 
  • ติดตั้งระบบจดจำใบหน้า    

• กล้องหลัง 3 ตัว : 64 ล้านพิกเซล (f1.8,) + 13 ล้านพิกเซล (Ultra-Wide), 13 ล้านพิกเซล (Telephoto) 
• กล้องหน้า: 16 ล้านพิกเซล (f2.0)    + LED Flash
• แบตเตอรี : 4,500 mAh  + Vivo Flash charge   
• แรม (RAM) : 8GB    
• ความจำภายใน : 128GB  (UFS 3.0) 
• ความจำภายนอก : ไม่รองรับ      
• ช่องเสียบ : USB-C  
• สี : Marine Green, Space Purple  

สำหรับการทำงานของตัวเครื่องเร็วและรองรับการทำงานได้หลากหลายไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกม ไม่ต้องห่วงเรื่องเครื่องร้อนเพราะมีระบบระบายความร้อนที่มือถือระดับบนเลือกใช้, พร้อมกับระบบ VCAP จัดการควบคุมการทำงานทั้ง DSP, CPU, GPU รวมถึง NPU ให้สั่งงานได้ฉลาดปรับตามความเหมาะสมได้อย่างดี ส่วนระบบชาร์จไฟรองรับที่ 22.5W สำหรับสเปกไทย อาจจะน้อยไปหน่อย แต่ผมคิดว่ามันก็เร็วแล้ว

ระบบปฏิบัติการมาพร้อมกับ FunTouch OS 9 และ Android Pie ทำงานได้ลื่นไหล พร้อมกับฟีเจอร์ป้องกันการกระพริบของหน้าจอ, ระบบลดแสงสีฟ้า, การแสดงเส้นเวลาที่เล่นเพลง และยังติดตั้งชิปเซ็ตสำหรับเสียงเพลงอย่าง AK 4377A มาให้คุณภาพจัดว่าดีเยี่ยม

กล้องของ vivo nex 3 ประกอบด้วย กล้องหลังทั้งหมด 3 ตัว ได้แก่

• กล้องหลังความละเอียด 64 ล้านพิกเซล F1.8 
• กล้อง Wide Angle ขนาด 13 ล้านพิกเซล มุมมอง 120 องศา มีการติดตั้งเลนส์พิเศษเข้าไป
• กล้อง Telephoto ขนาด 13 ล้านพิกเซล ซูมได้ 2 เท่าและ Digital Zoom 20 เท่า 

ดังนั้นโหมดการทำงานของกล้องจะเยอะมากพอสมควร และสามารถถ่ายภาพได้ตั้งแต่ การปรับ SCENE Mode ได้มากถึง 20 กว่าแบบพร้อมกับใช้ Jovi บอกว่าวัตถุนั้นคืออะไร และหาซื้อได้หรือเปล่า การถ่ายภาพบุคคล รองรับ Hyper HDR ช่วยทำให้ภาพออกมาสวยมากขึ้น จากที่ได้ลองเบื้องต้นถือว่าคมชัดมาก แต่ขอยังไม่พูดถึง Super Night Mode 2.0 ละกันนะงานนี้ขอเก็บไว้รีวิวค่อยเล่าอีกที

ส่วนกล้องหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ลูกเล่นที่สัมผัสได้ยังคงเป็นกล้องหน้าที่ปรับ Beauty Mode ได้เยอะมากและมีความเนียนยิ่งกว่า vivo ตัวอื่น

สรุปหลังลองสัมผัส vivo nex 3 ในระยะเวลาสั้นๆ 

เป็นอีกมือถือรุ่นหนึ่งที่เชื่อว่าใครหลายคนได้จับต้องแล้ว ทั้งดีไซน์ ลูกเล่นที่ใส่มาถือว่าจัดเต็มอย่างมากเลยทีเดียว และยังเน้นความบันเทิงอัดแน่นจนเรียกได้ว่ามือถือรุ่นนี้แทบจะเป็นได้ทุกอย่างสำหรับคุณ

ราคาของ vivo Nex 3 เคาะที่ 24,999 บาท โดยเปิดจองผ่าน Lazada ตั้งแต่ 16 - 28 กันยายนนี้ และพร้อมจำหน่ายทุกช่องทาง 30 กันยายนนี้ ใครที่สนใจอย่าลืมไปจับจองเป็นเจ้าของ

ส่วนถ้าอยากรู้ว่าเมื่อนำมาใช้งานจริงจะเป็นอย่างไร ในภาครีวิวต้องรอติดตามเร็วๆ นี้