ความเสี่ยงด้านการโจมตีทางไซเบอร์ในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเพราะการระบาดของโควิด-19
ความพยายามของสหรัฐฯ ในการควบคุมการระบาดของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ หรือ โควิด-19 ซึ่งรวมถึงการให้พนักงานบริษัทและเจ้าหน้าที่รัฐต่างๆ ทำงานจากที่บ้าน กลายมาเป็นปัจจัยเสี่ยงสำหรับด้านโครงสร้างพื้นฐานไซเบอร์ของประเทศ ที่อาจเปิดโอกาสให้เกิดการโจมตีทางไซเบอร์มากขึ้น
เจ้าหน้าที่รัฐบาลท่านหนึ่งซึ่งไม่สามารถเปิดเผยชื่อได้ บอกกับผู้สื่อข่าว วีโอเอ ว่า ทุกฝ่ายควรเพิ่มการระวังภัย เพราะในช่วงเวลาที่เปราะบางเช่นนี้ เป็นโอกาสที่ผู้ไม่ประสงค์ดีมักถือโอกาสก่อความเสียหายให้กับสหรัฐฯ ได้
ทั้งหน่วยงาน เอฟบีไอ และบริษัทเอกชนผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ออกคำเตือนเกี่ยวกับความน่าจะเป็นของการโจมตีทางไซเบอร์ออกมาแล้วเช่นกัน
เชอร์รอด ดีกริปโป ผู้อำนวยการอาวุโส ของบริษัท Proofpoint ซึ่งเชี่ยวชาญด้านนี้ เปิดเผยว่า ทีมงานของบริษัทสังเกตเห็นอีเมล์ที่น่าสงสัยเพิ่มขึ้นในระบบอย่างมาก และใกล้เคียงกับระดับที่เป็นการโจมตีทางไซเบอร์แล้ว
ดีกริปโป บอกว่า อีเมล์ต้องสงสัยนี้จะมีลักษณะคล้ายๆ กับ อีเมล์ที่มาจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ เช่น ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคติดต่อ หรือ องค์การอนามัยโลก โดยจะมีเนื้อหาเรื่องโคโรนาไวรัส และบอกให้ผู้รับกดลิงค์ที่จะเปิดช่องให้เกิดการโจมตีได้
ทั้งนี้ การโจมตีทางไซเบอร์ที่เกิดขึ้นนั้นมักเป็นกรณี Phishing (ฟิชชิ่ง) เพื่อขโมย ชื่อผู้ใช้งาน (Username) หรือ ID และพาสเวิร์ด มากกว่า รวมทั้งการส่ง Malware มาเพื่อขโมยข้อมูลต่างๆ เช่น ข้อมูลทางการเงิน
และแม้ว่า การโจมตีในรูปแบบดังกล่าวไม่ใช่เรื่องใหม่ สิ่งที่น่ากังวลคือ คนจำนวนมากไม่คุ้นเคยและไม่มีประสบการ์กับเรื่องนี้
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ในรัฐบาลและภาคเอกชน พยายามเตือนว่า โครงข่ายอินเตอร์เน็ตของสหรัฐฯ นั้นไม่ค่อยปลอดภัยนัก และโครงข่ายบางโครงข่ายก็ถูกโจมตีไปเรียบร้อยแล้ว
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุขยอมรับว่า เกิดเหตุขัดข้องทางไซเบอร์กับเครือข่ายของกระทรวงฯ แต่ไม่ได้เกิดความเสียหาย ไม่มีการบุกรุกเข้าระบบโดยบุคคลภายนอก และไม่มีข้อมูลสูญหาย
อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่รัฐบาลที่เกี่ยวข้องเร่งเตือนทุกฝ่ายให้ยกระดับการป้องกันภัยทางไซเบอร์โดยด่วน
มาร์ค มอนท์โกเมอรี่ ผู้อำนวยการของ U.S. Cyberspace Solarium Commission ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบอกกับผู้สื่อข่าว วีโอเอ ว่า เวลานี้ยังไม่สายเกินไปที่จะลงมือเพิ่มการป้องกันภัยทางไซเบอร์ เพราะสิ่งที่จะได้ก็คือความมั่นคงที่สูงพอในการรับมือสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต