[Review] Redmi Note 9 กลับมาแล้ว มือถือระดับกลางที่ฟีเจอร์และประสิทธิภาพดีเกินคาดหมาย
กลับมาพบกับรีวิว Gadget และ Smart Phone จากทีม Sanook Hitech อีกครั้ง หากพูดถึง Redmi Note หลายคนจะนึกถึงเรื่องของความคุ้มค่าและมือถือมีราคาไม่สูงมากนัก และครั้งนี้กับรีวิวที่หลายคนรอคอย Redmi Note 9 ก็เป็นอีกเครื่องที่ยืนยันว่า นี่ก็ยังคงเป็นมือถือที่ยังน่าคบเหมือนเดิมทั้งหน้าตาและฟีเจอร์
แกะกล่อง Redmi Note 9
ภายในกล่องของ Redmi Note 9 จะประกอบไปด้วยอุปกรณ์ดังนี้
- ตัวเครื่อง Redmi Note 9
- สายชาร์จ USB-C
- ที่ชาร์จกำลัง 18W
- คู่มือ
- ที่จิ้มถาดใส่ซิมการ์ด
- เคสใส
รูปลักษณ์ดีไซน์ของ Redmi Note 9
เริ่มต้นกับด้านหน้าของเครื่องที่มีขนาด 6.53 นิ้วเป็นแบบ Dots Display อัตราส่วน 19.5:9 พื้นที่หน้าจอถือว่าเยอะพอสมควรแต่ว่าขอบด้านข้างหน้าจอไม่ได้บางมาก ก็อาจจะสูญเสียพื้นที่ไปเล็กน้อยแต่ไม่เป็นไรมาก
ส่วนบนของหน้าจอนอกจากกล้องหน้าขนาด 16 ล้านพิกเซลจะไว้มุมซ้ายจะมีคลื่นความถี่, ปริมาณแบตเตอรี่ และรวมไปถึงการแจ้งเตือนก็ยังมี มีการซ่อนเซนเซอร์หน้าจอและลำโพงสนทนาไว้ด้านบนสุดของหน้าจอ
ส่วนล่าสุดของหน้าจอเป็นปุ่มควบคุมระบบของ Android สามารถสลับตำแหน่งได้ แต่ว่าปุ่มเบื้องต้นจะเป็น Recent สลับ Apps, Home สำหรับกลับหน้าแรก, และ Back สำหรับย้อนกลับเมนูหนึ่ง
รอบตัวเครื่องจะเป็นสีเดียวกับฝาหลังและออกแบบโค้งรับกับมือในแบบ 2.5D ส่วนประกอบเริ่มต้นจากฝั่งซ้ายจะมีถาดใส่ซิมการ์ด Nano SIM 2 ช่องและ Micro SD อีก 1 ช่องแบบไม่ต้องแย่งใคร
ฝั่งขวามาพร้อมกับปุ่มสำหรับเปิด / ปิด ตัวเครื่อง ที่มีขนาดกำลังดี
ส่วนบนนอกจากไมโครโฟนตัวที่ 2 ยังมี IR Baster ไว้สั่งงานกับ Mi IR Remote โปรแกรมสั่งงานเครื่องใช้ไฟฟ้า
ส่วนล่างมีทั้งช่องเสียบหูฟัง, USB-C พร้อมกับไมโครโฟนสำหรับสนทนา
พลิกมาด้านหลังจำมีกล้องที่จัดวางเหมือนกับ Redmi Note 9s รวมถึง Redmi Note 9 Pro ที่กำลังจะรีวิวในอนาคต แต่ถ้าดูดแล้วตำแหน่งของ Flash จะไว้มุมกล้องข้างขวาบน พร้อมกับระบบสแกนลายนิ้วมือใต้กล้อง นอจากนี้ล่างสุดยังมี Logo Redmi มาให้ได้ด้วย
ภาพรวมของดีไซน์ / น้ำหนัก / สีสัน
ในภาพรวมของหน้าตาของ Redmi Note 9 ออกแบบได้แตกต่างจาก Redmi Note 9s ที่รีวิวก่อนหน้านี้กับขนาดหน้าจอเล็กกว่าแต่ว่าหน้าจอ Dots Display แบบนี้ถือว่าไว้ตำแหน่งที่ไม่บังเลยเวลาใช้งาน ตำแหน่งของสแกนนิ้วผมว่าถ้าเพิ่มใหญ่กว่านี้จะทำให้สแกนได้ง่ายกว่านี้ ส่วนน้ำหนักของเครื่องถือว่าไม่หนัก หากเทียบสเปกแล้ว
ส่วนสีสันของ Redmi Note 9 จะมีให้เลือกทั้งหมด 3 สีได้แก่ Forest Green, Midnight Grey ซึ่งเป็นสีที่ได้รับมาทดลองในครั้งนี้, Polar White
เปิดเครื่องลองประสิทธิภาพของ Redmi Note 9
สเปกของ Redmi Note 9
- หน้าจอ IPS-LCD 2340 x 1080 พิกเซล ขนาด 6.53 นิ้ว Dots Display
- ขนาดตัวเครื่อง 162.3 x 77.2 x 8.9 มม.
- น้ำหนัก 199 กรัม
- ชิปเซ็ตประมวลผล MediaTek Heilo G85 Octa Core
- ชิปกราฟิก Mali-G52 MC2
- หน่วยความจำ RAM ขนาด 3 - 4GB
- หน่วยความจำภายในความจุ 64 -128GB
- หน่วยความจำภายนอก : MicroSD
- การเชื่อมต่อ 4G LTE,รองรับ WiFi สูงสุดที่มาตรฐาน 802.11 AC, Bluetooth 5.0
- กล้องดิจิทัลด้านหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล
- กล้องหลังทั้งหมด 4 ตัวประกอบด้วย
- เลนส์หลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซล และมีเซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ รองรับ PDAF
- เลนส์ ultra-wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล
- เลนส์มาโครให้มาที่ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล
- เลนส์ depth ให้มาที่ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล
- LED Flash
- ระบบปลดล็อค Face Recognition, สแกนนิ้วด้านหลัง
- แบตเตอรี่ความจุ 5020mAh
- รองรับ Fast Charge 18W แบบสาย + Reverse Charge 9W
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 10 ครอบทับด้วย MIUI 11.0.1
- สี Forest Green, Midnight Grey, Polar White
- ราคาในประเทศไทย : 4,999 บาท (RAM 3GB / ความจำในตัว 64GB) 6,499 บาท (RAM 4GB / ความจำ 128GB)
การทดสอบประสิทธิภาพ
ผลการทดสอบประสิทธิภาพจาก AnTuTu =203,353 คะแนน
ผลการทดสอบประสิทธิภาพของ Geekbench 5 = 355 คะแนน (Single Core) | 1,185 (Multi Core)
เมื่อทดสอบประสิทธิภาพออกมาถือว่าคะแนนก็สู้กับในกลุ่มเดียวกันได้อย่างสบาย ขุมพลังใหม่ล่าสุดนี้ถือว่าทำให้คะแนนประสิทธิภาพออกมาไม่ได้แตกต่างกับกลุ่มเดียวกัน แต่ว่าเสียดายที่ไม่มี GPU Turbo มาให้
การทดสอบระบบนำทาง / การเชื่อมต่อไร้สาย
ในการทดสอบนำทางถือว่าแม่นยำเพราะรองรับทั้ง GPS, A-GPS และนอกจากนี้การเชื่อมต่อ WiFi 802.11 AC และ Bluetooth 5.0 เป็นอุปกรณ์มาตรฐานและรองรับ 4G LTE ทั้ง 2 SIM เลยครับ ถือว่ายกมาตรฐานมือถือในกลุ่มที่ล้ำหน้ามากขึ้น
การแสดงผลหน้าจอ / ระบบเสียง
การแสดงผลหน้าจอ IPS LCD ความละเอียด 2340x1080 พิกเซล แต่เนื่องจากหน้าจอเป็นแบบ Dots Display ทำให้พื้นที่เยอะมากขึ้นเล่นเกมแล้วไม่บังหน้าจอ แต่เวลาดูหนังก็อาจจะมีจุดที่เกะกะเล็กน้อยไม่ทำให้เสีย อรรถรสสักเท่าไหร่
แต่ว่าระบบเสียงนั้นแม้ว่าจะให้ลำโพงตัวเดียวแต่เสียงค่อนข้างดังใช้ได้เลยครับ และยังมีฟีเจอร์ FM Radio และ EQ ปรับการเข้ากับหูฟังของ Xiaomi ได้ด้วยเพราะยังให้ช่องเสียบหูฟังอยู่ครับ
ระบบปฏิบัติการ / ฟีเจอร์ที่น่าสนใจ / ระบบความปลอดภัย
ระบบปฏิบัติการของ Redmi Note 9 ยังเลือกใช้ Android 10 มาพร้อมกับ MIUI 11 รุ่นใหม่ที่มีจุดเด่นคือการตกแต่งเรียบง่ายและมี Theme ที่มีให้เลือกหลากหลายมากขึ้น และระบบต่างๆ ทำงานรวดเร็วและยังรองรับฟีเจอร์ต่างๆ ในอนาคตได้ แถมอัปเดตไป MIUI 12 รุ่นใหม่ได้ด้วย
ฟีเจอร์หลักๆ ยังคงมีเครื่องมือให้ครบตามแบบของ MIUI ประกอบไปด้วย เครื่องคิดเลข, เครื่องอัดเสียง, เข็มทิศ, ระบบดูแลรักษาเครื่อง และอื่นๆ รวมไปถึง Mi Remote ซึ่งเหมาะกับคนที่ชอบใช้มือถือคุมอุปกรณ์ไร้สายได้ และยังมีฟีเจอร์ Dual Apps, การดูแลรักษาสุขภาพของเครื่อง เหมือนเคย
ส่วนระบบความปลอดภัยมาพร้อมกับระบบสแกนลายนิ้วมือด้านหลังเครื่อง ใต้กล้อง และมีระบบสำรองคือ ระบบสแกนใบหน้านั่นเอง
เปิดกล้องลองถ่ายภาพ
สำหรับรุ่นเล็กสุดของตระกูล Redmi Note ก็มีให้เล่นกล้องทั้งหมด 4 ตัวเหมือนกันจะประกอบด้วย
- เลนส์หลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซล รองรับระบบ PDAF
- เลนส์ ultra-wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล
- เลนส์มาโครให้มาที่ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล
- เลนส์ depth ให้มาที่ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล
เรียกได้ว่ากล้องทั้ง 4 มีประสิทธิภาพไม่น้อยหน้ารุ่นพี่อย่าง Redmi Note 9s และยังให้ LED Flash ดวงเดียว
ฟีเจอร์และเมนูส่วนควบคุมกล้อง
การออกแบบเมนูยังคงเน้นการใช้งานที่ง่ายในแบบฉบับของ XIAOMI โหมดเกี่ยวกับภาพอยู่ทางขวา และ โหมดวิดีโออยู่ทางซ้ายรองรับฟีเจอร์การถ่ายภาพและวิดีโอได้หลากหลายรวมถึง Pro Mode และมี AI Scene ปรับสีและแสงตามสิ่งแวดล้อมที่เจอ และมีโหมด Macro ให้กดเข้าใกล้ได้ง่ายๆ
ตัวอย่างภาพถ่ายจาก Redmi Note 9s
ภาพในรูปแบบปกติ ถือว่าให้สีสันและการเก็บรายละเอียดได้ดีเช่นเดียวกัน แทบไม่เป็นห่วงในเรื่องการถ่ายภาพปกติ
สำหรับภาพกลางคืนถ้าเปิด Night Mode จะมีการเก็บรายละเอียดของภาพแบบละเอียดดีมากสีสันจะตรงและคมชัดพอสมควร แต่ถ้าหากไม่เปิดจุดนั้นมืดเกินไป ก็จะมี Noise เกิดขึ้นเล็กน้อยแม้ว่าจะเป็น AI Scene ก็ช่วยบรรเทาได้เล็กน้อย
ส่วนภาพในรูปแบบอื่นก็สามารถถ่ายภาพได้หลากหลายแบบการที่มี AI Scene และฟิลเตอร์ ทำให้ภาพมีความหลากหลาย รวมถึงสามารถถ่ายภาพระยะใกล้ได้เช่นเดียวกัน
ลองใช้ Redmi Note 9 ถ่ายวิดีโอ
ลูกเล่นการถ่ายวิดีโอของ Redmi Note 9 จะมาพร้อมกับฟีเจอร์มากมายเช่น Slowmotion, Timeslapes ถ่ายวิดีโอแบบใกล้ และรวมถึงกรอบภาพยนตร์ ฟังเหมือนดูดี แต่วิดีโอปกติถ่ายได้ความละเอียดสูงสุดที่ 1080p แบบ 30 FPS เท่านั้น
กล้องหน้า 16 ล้านพิกเซล ของ Redmi Note 9 ถ่ายออกมาเป็นอย่างไร
เรื่องกล้องหน้าของ Redmi Note 9 ก็ไม่แพ้ใครเพราะยังคงมีฟิลเตอร์ โหมดละลายหลังที่ปรับได้หลากหลาย และมี Beauty ปรับได้เป็นแบบ Level อย่างไรก็ตามการถ่ายวิดีโอรองรับความละเอียด Full HD เช่นเดียวกัน
แบตเตอรี่ / ระบบการชาร์จไฟ
ส่วนแบตเตอรี่ขนาดเท่ากับ Redmi Note 9s นั่นคือขนาด 5020 mAh จากที่ลองใช้งานทั้งเล่นเกม, Social Network รวมถึงการโทรออกด้วยพบว่าสามารถใช้งานได้ยาวนานเหมือนกัน สามารถใช้งานหมดภายในเวลา 1 วันกับอีก 2 ชั่วโมง แต่เมื่อทดสอบจาก PC Mark ผลที่ได้จะอยู่ที่ 13:12 ชั่วโมง (จาก 100-19%) ถือว่าอึดอยู่เหมือนกัน
ส่วนระบบการชาร์จไฟของ Redmi Note 9 พร้อมกับที่ชาร์จกำลัง 18W เรื่องของกำลังไฟแทบไม่เป็นห่วงเลย จ่ายไฟเร็วและเต็มเร็ว แต่ไม่มีระบบตัดไฟถนอมแบตเตอรี่มาให้ แต่ความดีคือ Redmi Note 9 ยังมีฟีเจอร์แบ่งไฟให้เพื่อนได้ผ่านการเสียบ USB-C ออกเป็นช่องเสียบ USB-C กำลังไฟถึง 9W ไว้ยามจำเป็น
สรุปหลังจากทีม Sanook Hitech ได้ทดลองใช้ Redmi Note 9 มาสักระยะเวลาหนึ่ง
เรียกได้ว่าเป็นการกลับมาที่คุ้มค่าเพราะ Redmi Note 9 ถือว่ามีสเปกที่คุ้มค่ากับความแรงของ MediaTek Heilo G85 พร้อมกับฟีเจอร์ครบเครื่อง กล้องที่ถือว่าไม่แย่เลยครับ ในราคา
- Redmi Note 9 ความจุขนาด 3GB+64GB ราคา 4,999 บาท
- Redmi Note 9 ความจุขนาด 4GB+128GB ราคา 6,499 บาท
ถือว่าเริ่มต้นที่ไม่เลวเลยครับ แต่จุดอ่อนของมือถือรุ่นนี้มันก็มีเช่นระบบสแกนนิ้วมือเล็กไปหน่อย สแกนติดยาก กล้องหลังถ่ายวิดีโอ 4K ไม่ได้ แต่นั่นก็ไม่ใชปัญหาเพราะราคาของมันก็อยู่ไม่เกิน 7,000 บาท ก็ถือว่าเกินคุ้มแล้วครับ
จุดเด่น
- บอดี้สวยและมีหน้าจอให้พื้นที่เยอะ
- สเปกเครื่องถือว่าแรงไม่ธรรมดา
- ให้ที่ชาร์จกำลังสูงมาในกล่อง
- โอกาสอัปเกรดไปต่อมีแน่นอน
- แบตเตอรี่ใหญ่มาก และจ่ายไฟออกให้อุปกรณ์อื่นได้
ข้อสังเกต
- ตำแหน่งระบบสแกนนิ้วเล็กไปหน่อย
- กล้องไม่รองรับการถ่ายวิดีโอ 60 FPS หรือ 4K
อัลบั้มภาพ 15 ภาพ