[Review] Samsung Galaxy Note 20 Ultra มือถือเรือธงมีปากกา เน้นเร็ว แรง และ กล้องซูมไกลสุด
ถ้าพูดถึงตระกูลมือถืออย่าง Samsung Galaxy Note Series คำว่าปากกา และ พลัง ตามมาทันที วันนี้ทีม Sanook Hitech มีมือถือรุ่นล่าสุดของ Samsung อย่าง Galaxy Note 20 Ultra ตัวท๊อป มาทดลองใช้งานกัน ซึ่งตอนนี้ทีมได้ใช้งานมาสักระยะเวลาหนึ่งแล้ว มีประสบการณ์ดีๆ มาเล่าให้ฟัง สำหรับคนที่อยากได้มาครอบครอง ขอเริ่มด้วยหัวข้อต่างๆ ดังนี้
แกะกล่อง Samsung Galaxy Note 20 Ultra
ภายในกล่องของ Samsung Galaxy Note 20 Ultra จะมีอุปกรณ์มาให้ดังนี้
- ตัวเครื่อง Samsung Galaxy Note 20 Ultra
- คู่มือ / ใบรับประกัน
- สายชาร์จไฟ USB-C
- ปลั๊กชาร์จไฟกำลัง 25W
- หูฟัง AKG แบบ USB-C
- เข็มจิ้มถาดใส่ซิมการ์ด
สิ่งที่หายไปจากกล่องของรุ่นนี้ได้แก่ หัวปากกาสำรอง, เคสใส่ติดกล่อง ทั้ง 2 สิ่งนี้ติดต่อซื้อกับศูนย์บริการ หรือ ซื้อเคสแยกได้ครับ ซึ่งมีหลากหลายตามที่เห็นนี้
รูปลักษณ์ดีไซน์ของ Samsung Galaxy Note 20 Ultra
เริ่มที่ส่วนด้านหน้า Samsung Galaxy Note 20 Ultra ยังคงใช้หน้าจอโค้งมนที่เรียกได้ว่ามีลักษณะคล้ายกับ Galaxy Note 10+ เพราะยังใช้รูปแบบของ Infinty-O Display แต่ขนาดเปลี่ยนไปเป็น 6.9 นิ้วแทนซึ่งใหญ่กว่าเดิม และ สู้แสงดี กระจกหน้าจอเป็นแบบ Gorilla Glass 7 ใหม่ล่าสุด
ส่วนบนนอกจากมีเซนเซอร์การแทบหน้า (proximity) และเซนเซอร์จับความสว่างหน้าจอ แถมยังแสดงผลเวลา, icon แจ้งเตือน, สัญญาณมือถือ, ปริมาณแบตเตอรี่ และลำโพงของตัวเครื่องส่วนแรก และ Earpeach จะอยู่ด้านบนสุด
ส่วนล่างของหน้าจอจะเป็นปุ่มกดเมนูต่างๆ สะดวกใช้งาน วิธีการเปลี่ยนให้เข้าไปที่ Setting (ตั้งค่า) >Display (หน้าจอ) > Navigation Bar (แถบการนำทาง) สามารถเปลี่ยนได้ 2 แบบ ได้แก่
- เป็นแบบปุ่มกดปกติที่เปลี่ยนรูปแบบได้ ค่าเริ่มต้นคือ Recent Apps, กลางคือ Home และ ขวาสุดคือ Back หรือ ย้อนกลับ และมีอีกแบบบให้เลือกตามภาพครับ
- ปุ่มกดที่เป็นแบบปัด จะมีการเปลี่ยนแปลงคือ
- ปัดตรงกลางขึ้น 1 ครั้งเท่ากับกลับหน้า Home
- ปัดตรงกลางขึ้นค้างไว้ จะกลับไปหน้า Recent Apps
- ปัดข้างซ้ายหรือขวาของหน้าจอ จะเป็นการย้อนกลับ
- หากไม่สะดวกจะใช้ 3 Tab แบบเดิมก็ได้ (ซ้าย = Recent Apps, กลาง = Home, ขวา = Back) และยังสามารถเลือกความไวได้ด้วย
รอบตัวเครื่องยังคงใช้อะลูมิเนียมที่สวยงาม ฝั่งซ้ายเดิมทีจะเป็นปุ่มครั้งนี้ย้ายออกไปจนหมดสิ้น
ปุ่มต่างๆ ทั้งปุ่มปรับระดับเสียง และ Side Key ที่สามารถสั่งงานทั้งเรียก Bixby, สั่งเปิดกล้อง, สั่งเปิด / ปิดเครื่อง จะอยู่ทางขวาทั้งหมด
สำหรับปุ่มด้านข้าง หรือ Side Key สามารถสั่งงานได้ด้วยการกดที่ Setting (ตั้งค่า) > Advance Feature (คุณสมบัติขั้นสูง) > Side Button (ปุ่มด้านข้าง) จะมีให้ตั้งค่าทั้งแบบกด 2 ครั้ง หรือกดค้างหากจะเลือกให้เป็นปุ่มเปิดเครื่อง หรือเลือกกดค้างเป็นปุ่มควบคุมเครื่อง
ส่วนบนของตัวเครื่องมีเพียงแค่ไมโครโฟนตัวที่ 2 พร้อมกับถาดใส่ซิมการ์ดรองรับทั้ง NanoSIM, Hybrid Slot รองรับทั้ง Nano SIM และ MicroSD เพียงแต่ว่าสิ่งที่เป็นข้อสังเกตคือ ถาดใส่ซิมการ์ดเป็นพลาสติก ต้องระวังอย่างมาก เพราะถ้าใส่ผิดหรือ ไปโดนเกี่ยวอะไรนิดหน่อยอาจจะหักได้
ส่วนล่างมีการเปลี่ยนตำแหน่งระหว่างรุ่นที่แล้วเริ่มจาก S Pen จะอยู่ฝั่งซ้ายมือ ถัดมาคือลำโพง, USB-C และไมโครโฟนของเครื่อง
พลิกมาด้านหลัง สำหรับ Samsung Galaxy Note 20 Ultra จะมีด้านหลังเป็นกระจก และเป็นสีเคลือบลงไป ความแตกต่างคือสี Mystic Bronze จะเป็นผิวกระจกด้านป้องกันลายนิ้วมือ ขณะที่ Mystic Black และ Mystic White จะเป็นกระจกเงา ส่วนนี้จะมีโลโก้ Samsung อยู่ด้านล่าง และกล้องอยู่ข้างบน ปูดออกมาพร้อมกับไมโครโฟนตัวที่ 3 ที่อยู่ตรงขอบของกล้องนั่นเอง
ภาพรวมการออกแบบ / น้ำหนัก / สีที่เข้ามาจำหน่าย
ต้องบอกไว้ก่อนว่าการออกแบบถ้ามองจากด้าหน้าไม่ได้แตกต่างจาก Galaxy Note10+ เดิมเท่าไหร่ แต่ว่าถ้าพลิกด้านหลังแล้วจะแตกต่างชัดเจนและคล้ายกับ Galaxy S20 Ultra เพียงแต่ว่าตัวเครื่องจะบางลงกว่าชัดเจน เพียงแต่การวางปากกา S Pen ทางฝั่งซ้ายเพราะ พื้นที่กล้องมีขนาดใหญ่ทำให้ต้องย้าย แต่ว่า อาจจะทำให้หลายคนกดไม่สะดวก แต่การย้ายไปอยู่ฝั่งนี้ทำให้ลดความเสี่ยงของปากกาหลุดง่ายมากขึ้น (หวังว่านะ)
ส่วนน้ำหนักของเครื่อง ยังคงพูดเลยว่า หนัก!!! อยู่ครับ แต่ก็ไม่ได้แตกต่างจาก Galaxy Note10+ มากนัก ถือว่าใกล้เคียงกันอยู่
ส่วนสีที่เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยนั้นมีเพียงแค่สีทองแดง Mystic Bronze และ สีดำ Mystic Black เท่านั้น
เปิดเครื่องดูสเปก และ ฟีเจอร์ต่างๆ ของ Samsung Galaxy Note 20 Ultra
สเปกของ Samsung Galaxy Note 20 Ultra
- ขนาดตัวเครื่อง 164.8 x 77.2 x 8.1 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 208 กรัม
- หน้าจอขนาด 6.9 นิ้ว ใช้หน้าจอ Dynamic AMOLED 2X (LTPO Display) ในแบบ Infinity O Display
- ความละเอียดหน้าจอ : 3088x1440 หรือ WQHD+ อัตราส่วน 19.3:9 ส่วนค่า Refresh Rate 120Hz รองรับการแสดงผล HDR10+
- กระจกหน้าจอ : Gorilla Glass Victus (Gorilla Glass 7) ครอบกระจกหน้า
- มาตรฐานการกันน้ำ IP68
- ชิปเซ็ต : Exynos 990 Octa Core | GPU Mali G77
- RAM: 8GB(LTE) 12GB (5G)
- ความจำในตัว : มีให้เลือกในขนาด 256 / 512GB ความจำแบบ UFS 3.1
- เพิ่มความจำผ่าน microSD ได้
- ระบบปฏิบัติการ : Android 10 ครอบด้วย One UI 2.5
- การเชื่อมต่อ WiFi 6 (AX), GPS, 5G, Bluetooth 5.2 NFC และรองรับ USB-C เวอร์ชั่น 3.2
- รองรับ eSIM และ Nano SIM
- ระบบเสียง
- ลำโพง Stereo ทั้งด้านบนและล่าง ปรับจูนโดย AKG
- ไมโครโฟน 3 ตัวรองรับฟีเจอร์ Dual Video Call และลูกเล่นกาปรับใช้ไมโครโฟนด้านหน้าและหลังเครื่อง
- กล้องมีหลังประกอบด้วย 3 ตัวด้วยกันประกอบด้วย
- กล้องหลักความละเอียด 108 ล้านพิกเซล เลนส์ขนาด 26 mm. รูรับแสง F 1.8 พร้อมกับ Laser Focus, LED Flash รองรับการถ่ายวิดีโอ 8K 24 FPS, 4K 30/60 FPS, Full HD 30/60/120 FPS, Slowmotion สูงสุด 960 FPS (720P), Hyperlapse (Timelaspe แบบปรับความเร็วอัตโนมัติ)
- กล้องมุมกว้างขนาด 13 mm. ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล มีค่ารูรับแสง F2.2
- กล้อง Periscope ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล เลนส์ขนาด 120 mm. ค่ารับแสง F3.0 ซูมได้ 5 เท่าในแบบ Optical Zoom และทำได้มากสูดที่ 50X
- กล้องหน้าความละเอียด 10 ล้านพิกเซล Dual Pixel + Auto Focus
- ปากกา S Pen รองรับการตอบสนองในแบบ ultra-low latency แบบ 9ms. และ Wireless Charge
- แบตเตอรี่ 4500 mAh รองรับกำลังชาร์จไฟ (25W) รองรับทั้ง ชาร์จไร้สาย (15W) และ Reverse Wireless Charging
- สีมีให้เลือกทั้ง Mystic Black, Mystic White (ยังไม่เข้าจำหน่ายในเมืองไทย ในช่วงแรก) และ Mystic Bronze
การทดสอบประสิทธิภาพ / การทดสอบเล่นเกม
ผลการทดสอบคะแนน AnTuTu : 533,239
ผลการทดสอบคะแนน Geekbench 5 : 478 คะแนน (Single Core) 2629 คะแนน (Multi Core)
ถือว่าคะแนนอาจจะไม่ได้สูงกว่า Galaxy S20 Ultra มากนัก แต่ถือว่าเป็นอีกมือถือที่ทำคะแนนประสิทธิภาพได้สูง มาดูเล่นเกมของ Samsung Galaxy Note 20 Ultra กันดีกว่า ตอบเลยว่า มันไม่ได้เลวร้าย แต่ความร้อนที่เกิดขึ้นอยู่ระหว่าง 38 – 41 องศา ที่ตัวเครื่อง และไม่เกินไปกว่านั้น หากเล่นเกมแนว Shooting จะสังเกตว่าถ้าความร้อนขึ้นสูง Frame Rate ตกอยู่ในจุดที่ผมยังรับได้อยู่ครับ
วิธีแก้ปัญหาเบื้องต้น ถ้าเครื่องร้อน ให้ออกจากเกม ปิด Apps ทั้งหมด แล้วให้เครื่องพักการทำงานไปสักระยะเวลา 5 นาที จะดีขึ้นเอง ไม่ต้องพักนานเหมือน Galaxy S20 Ultra นะ
การเชื่อมต่อไร้สาย / ลองใช้นำทาง
การเชื่อมต่อไร้สายของ Samsung Galaxy Note 20 Ultra ยังรองรับ 5G (เฉพาะรุ่น), 4G, WiFi 6 (802.11 AX), Bluetooth 5.2 รุ่นใหม่ การนำทางถือว่าทำได้ดี รองรับ A-GPS, GPS รุ่นนี้รองรับ eSIM แต่ว่า การ Standby ทำได้แค่ 2 SIM นั่นคือ eSIM 1 หรือ SIM 2 จากถาด และ SIM 1 ไม่สามารถใช้ได้ 3 SIM พร้อมกันได้นะครับ ต้องแจ้งไว้ก่อน
การแสดงผลหน้าจอ และระบบเสียง
สำหรับหน้าจอของ Samsung Galaxy Note 20 Ultra เป็นแบบ Dynamic AMOLED 2X ที่รองรับค่า Refresh Rate ที่ 120 Hz แต่สามารถปรับความเร็วได้อัตโนมัติ ตาม Apps และรูปแบบที่เครื่องเห็นว่าควรใช้ค่า Refresh ที่สูง (ทำงานเฉพาะความละเอียด WFHD+) แต่จอ Galaxy Note 20 Ultra จะทำความละเอียดสูงสุดที่ทำได้อยู่ที่ 3088x1440 พิกเซล หรือ WQHD+ ขนาดหน้าจอ 6.9 นิ้วทำให้สัดส่วนของหน้าจอนั้นลดลงจากรุ่นที่แล้ว แต่ยังคงแสดงผลได้ดีอยู่ และสู้แสงได้ดีกว่าเดิมอีกหน่อยนึงครับ พร้อมกับยังปรับเรื่องของแสงจอลดแสงสีฟ้า หรือรูปแบบการแสดงผลได้ผ่านหน้าตั้งค่าของหน้าจอ
ส่วนระบบเสียงนั้นมีการเปลี่ยนตำแหน่งลำโพงส่วนบนมาใช้ร่วมกับ Ear Peach ทำให้เสียงของลำโพงดังขึ้นชัดเจนมาก ส่วนด้านล่างนั้นแม้ว่าจะเปลี่ยนตำแหน่งแต่ลำโพงมีขนาดเท่าเดิมทำให้ตัวเครื่องในภาพรวมนั้นดังกว่า Galaxy Note 10+ พอสมควร
ส่วนฟีเจอร์ของระบบเสียงติดตั้ง Dolby ATMOS สำหรับฟัง Apps อื่นๆ Dolby ATMOS For Gaming เพิ่มความละเอียดในการเล่นเกม และยังปรับ Equlizer / Adapt Sound ปรับรูปแบบเสียงตามการได้ยิน หรือจะเลือกตามความถี่ที่เหมาะสมกับอายุของคุณได้ รองรับการเสียบ USB-C หรือจะแปลงเป็นช่องเสียบ 3.5 ผ่านการแปลง USB-C
ระบบปฏิบัติการ / ฟีเจอร์ที่โดดเด่น / ระบบความปลอดภัย
ระบบปฏิบัติการของ Samsung Galaxy Note 20 Ultra รวมถึง Galaxy Note 20 จะได้ใช้ Android 10 ครอบทับด้วย One UI 2.5 ใหม่ล่าสุด ไม่ได้เปลี่ยนอะไรเกี่ยวกับการใช้งานเยอะ สามารถแบ่ง 2 หน้าจอ, มี Notification และอื่นๆ ให้ครบครัน
ส่วนฟีเจอร์ของ Samsung Galaxy Note 20 / Note 20 Ultra มีให้ครบกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ
การใช้สำหรับทำงาน
Samsung Galaxy Note 20 Series มีการเพิ่มฟีเจอร์สำหรับการทำงานมากมายและมาครบจนเรียกได้ว่าอีกนิดเดียวก็จะเป็นคอมพิวเตอร์พกพาได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็น
- Bixby Routine ปรับเปลี่ยน Profile ของเครื่องตามสถานะที่และเวลาได้
- Advance Intelligent Assistant สามารถแปลงจากการ Note เป็น Power Point ได้ หรือจะนำเข้าและแก้ไข PDF เราสามารถเขียนลงไปและส่งให้เพื่อนได้เลย
- Note Talking จะมีการเขียนและพิมพ์ทำได้พร้อมกัน Easy Type & Write สามารถทำให้บรรทัดปรับให้ตรงและทำงานต่อได้ลงตัว
- Audio Bookmark สามารถบันทึกเสียงและเขียนได้จะปรากฏได้
- AI Near Note สามารถปรับให้ Note ที่จะให้ตรง แม้จะเขียนเอียงแค่ไหนก็ตาม แต่ต้องดูให้เป็นตัวอักษรนะ
- การจัดการ Note เป็นแบบ Folder Structure แบ่ง Note สามารถหาได้ง่ายและ มีการ Template ที่ดีขึ้น
- สามารถทำงานเป็นทีมได้ง่ายมากขึ้น ผ่าน Note Live Sync ถ้ามี Samsung Account ที่เป็น Public สามารถปรับและทำงานเป็นทีมก็ได้ หรือ จะเขียน Note ในมือถือระหว่างเขียนที่อื่นก็จะอยู่ที่กลาง เปิดได้หลาย Device พร้อมกันได้ หากเขียนที่ตรงไหนก็จะสามารถแก้ที่เครื่องนั้นได้
- Link To Windows ปรับปรุงให้ Mobile Apps ใช้งานบน PC ได้มากขึ้นใช้ได้มากสุด 6 Apps แต่การทำงานจะดีต้องอย่าลืม อัปเดต โปรแกรมให้ใหม่เสมอนะครับ
แต่ Hi-light ของ Samsung Galaxy Note 20 Series อยู่ที่ Samsung Dex ครับ โดยครั้งนี้สามารถใช้กับ Dex Pad, สายแปลง HDMI, Dex เวอร์ชั่น PC และใหม่ล่าสุดกับ Wireless Dex ที่สามารถเชื่อมต่อกับทีวีในรูปแบบของ Mirror Cast ของทีวี (ทุกยี่ห้อที่ทำ Mirror Cast กับมือถือหรือ Tablet ได้) แต่สำหรับกล่อง Android TV ยังไม่สามารถใช้งานได้
และ Dex เวอร์ชั่นใหม่สำหรับการใช้งานที่ไม่ได้อยู่บน PC สามารถแบ่งเป็น 2 หน้าจอได้ง่ายขึ้น พร้อมกับปุ่มสั่งงานเริ่มใกล้เคียงกับฝั่งของ Windows ได้รวมถึงการเปลี่ยนภาษา เรียกได้ว่าขอแสดงความยิ่งดีกับคนที่อยากใช้ทั้งหลาย ที่คุณกำลังจะมีคอมพิวเตอร์พกพาที่ดีอีกตัวหนึ่งครับ แถมเสียงยังสามารถออกตาม Mirror Cast ได้อีกด้วย
ส่วนที่เหลือนั้นคือเรื่องของฟีเจอร์ของปากกาที่มาครบเครื่องจริงๆ
ฟังก์ชั่นของปากกา S Pen ใหม่
ถ้ารีวิว Samsung Galaxy Note ไม่พูดถึงปากกา S Pen คงไม่ถึงแน่นอน เพราะรุ่นนี้โดดเด่นที่ปากกาจริงๆ โดยฟีเจอร์ก่อนหน้านี้จาก Galaxy Note 10+ ยังอยู่ครบทั้ง Air View ชี้เพื่อแสดงรูปภาพ หรือเว็บไซต์, Translate ชี้เพื่อแปลข้อความ, Live Message, Smart Select, Screen Writing, เพิ่มเติมจะมีอะไรที่หลากหลายประกอบด้วย
- การตอบสนองของปากกา ใน Galaxy Note 20 Ultra อยู่ที่ 9 ms.
- Air Gestrue ที่เพิ่มการสั่งงานผ่านการปัดได้ไม่ว่าจะเป็น
- กดแล้วปัดเป็นเครื่องหมาย < จะเท่ากับย้อนกลับ
- กดแล้วปัดเป็นเครื่องหมาย ^ เท่ากับ กลับหน้าหลัก
- กดแล้วปัดเป็นเครื่องหมาย > เท่ากับเปิดเปิดหน้า Recent Apps หรือน่าโปรแกรมล่าสุด
- กดแล้วปัดเป็นเครื่องหมาย V จะเท่ากับฟีเจอร์ Smart Select เลือกส่วนหน้าจออัจฉริยะ
- กดแล้วทำท่าซิกแซก จะเท่ากับเข้าฟีเจอร์ Screen Writer
- ฟีเจอร์ เดิมยังอยู่ทั้ง Gesture Control ที่สามารถ สั่งเปลี่ยนภาพ หรือ Silde ที่นำเสนอ
- ฟีเจอร์ กดถ่ายภาพ ได้ครั้งเดียว
นอกจากนี้ S Pen ยังสามารถใช้งานได้หลายด้ามในเครื่องเดียวกัน ซึ่งถือว่าเป็นฟีเจอร์ที่ยังคงใส่ให้อยู่ครับ
การใช้เพื่อความบันเทิง
การใช้ชีวิตให้สมดุล นอกจากงานแล้วก็ยังมีเรื่องความบันเทิง Samsung Galaxy Note 20 Ultra ยังคงมีฟีเจอร์เรื่องของความบันเทิงและลูกเล่นที่ยังคงให้ใช้งานครบไม่ว่าจะเป็น กล้องที่รองรับกับการถ่ายภาพได้หลักหลาย ลำโพงที่ให้เสียงที่ดัง และ ยังสามารถใช้ Wireless Dex เปิดดูคลิปหรือทำงานไปก็ได้
และยังมีฟีเจอร์สร้างสรรค์ทั้ง AR Doodle, Live Message และ X Box Pass ทำให้สามารถนำเกม PC ชื่อดังไปเล่นในรูปแบบ Cloud และต่อเชื่อมกับ จอยของ XBox ได้ แต่ว่ายังคงใช้ได้แค่บางประเทศ รวมถึง Nearby Share บริการแชร์ข้อมูลรูปแบบใหม่ของ Google ได้
ส่วนเครื่องมือต่างๆ ก็ให้มาครบ ถ้าไม่พอ สามารถโหลดได้ทั้ง Google Play Store หรือ Galaxy Store รวมถึงแลกเปลี่ยนการใช้งานผ่าน Samsung Member ได้อีกด้วย
ส่วนระบบความปลอดภัยมี Samsung KNOX มาทำงานร่วมกับระบบสแกนนิ้วที่ใต้หน้าจอแบบ Ultra Sonic ยังคงแนะนำเหมือนเดิมติดฟิล์มของศูนย์จะดีที่สุด เพราะแบบอื่นอาจจะส่งผลให้ระบบสแกนนิ้วทำงานได้ไม่ดี และ ระบบสแกนใบหน้าแบบ 2D
เปิดกล้องลองถ่ายภาพ
กล้องของ Samsung Galaxy Note 20 Ultra นั้นก็มีการเปลี่ยนแปลงจาก Note 10+ พอสมควร แต่ว่าจะคล้ายกับ Galaxy S20 Ultra แทน ประกอบด้วย
- กล้องหลักความละเอียด 108 ล้านพิกเซล PDAF และคราวนี้มาทำงานพร้อมกับ Laser AF
- กล้องมุมกว้างความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ใช้เลนส์ 13 มิลลิเมตร ให้มุมกว้าง 120 องศา
- กล้อง Periscope ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รองรับการซูม 5 เท่า แบบ Optical, Hybrid Zoom 10 เท่า และ Space Zoom 50 เท่า
หากเมื่อเปรียบเทียบกับ Samsung Galaxy Note 20 Ultra กับ Galaxy S20 Ultra จะเพิ่มเรื่องของ Laser AF มาให้เลือก
ฟีเจอร์ของเมนูการถ่ายภาพ
ยังคงใช้รูปแบบเดิมของ Samsung Galaxy ที่อัปเดตจากระบบปฏิบัติการ Android 10 ครอบบน OneUI 2.1 ในรุ่น ออกแบบให้ควบคุมง่ายซ่อนเมนูที่ไม่จำเป็นและสามารถปรับแต่งได้ พร้อมกับฟีเจอร์ Shot Suggest ปรับรูปแบบที่ต้องการ การซูมภาพ สามารถลากซูม หรือกดตามโหมดต่างๆ ได้ แต่ว่ากล้องจะลดการซูมไกลสุดที่ 50 เท่า, Hybrid 10 เท่า Optical 5 เท่า ส่วนการถ่ายแบบ 108 ล้านพิกเซล ลดการซูมเหลือ 6 เท่า
และยังมีลูกเล่นที่น่าสนใจอยู่ทั้งโหมดโปร, Live Focus, Panorama และอีกหนึ่งที่เป็นของเล่นใหม่นั่นคือ
Single Take
ฟีเจอร์ของ Samsung Galaxy S20 Series ที่น่าสนใจอีกตัวหนึ่งคือการถ่าย Single Take เป็นการถ่ายภาพที่มีการเคลื่อนไหวระยะเวลาสั้นๆ เมื่อกล้องจับจะแสดงผลได้หลากหลายและสามารถเลือกการแสดงผลได้
ตัวอย่างภาพถ่ายของ Samsung Galaxy Note 20 Ultra
ภาพกลางวัน / แสงปกติ ยังคงเก็บรายละเอียดได้ดีตามที่คาดและการซูมนั้นทำงานได้ดี ระยะที่ภาพไม่แตกให้มากสุดที่ 10 เท่า แต่ 50 เท่าก็ถือว่ายังพอจะเก็บรายละเอียดได้ดี
ภาพกลางคืน / แสงน้อย แม้ว่ารูรับแสงจะรับแสงได้ไม่ดีเท่ารุ่นเดิม แต่การเปลี่ยนมาใช้เซนเซอร์ขนาดใหญ่ทำให้การรับแสงของภาพทำได้ดีและเก็บรายละเอียดของสีได้ลงตัว นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับโหมดถ่ายภาพกลางคืนอีกด้วย แต่ว่าการซูมต้องทำใจ อาจจะมี Noise เกิดขึ้นนะ
ส่วนภาพรูปแบบอื่นๆ นั้นเท่าที่ลอง Samsung Galaxy Note 20 Ultra รองรับได้หลากหลายทั้งการถ่ายภาพบุคคล, เลือกฟิลเตอร์, ถ่ายอาหาร, ระยะใกล้ และโหมดโปร เรียกได้ว่าเป็นอีกมือถือครบเครื่องครับ
ลองถ่ายวิดีโอด้วย Samsung Galaxy Note 20 Ultra
สำหรับกล้องของ Samsung Galaxy Note 20 / 20 Ultra รองรับความละเอียด สูงสุดที่ 8K 24 FPS เท่านั้น และรองรับ Full HD สูงสุดที่ 120 FPS ส่วน 4K ที่ 60 FPS นอกจากลูกเล่นที่น่าสนใจของกล้องคือ Pro Video Mode ที่อัปเกรดจากเดิม ให้สามารถทำเรื่องที่น่าสนใจตั้งแต่
- Histogram บอกค่าความสว่างและรูปแบบของแสงได้
- Mic Level บอกระดับเสียงได้
- Mic Control ปรับระดับของไมโครโฟนให้รองรับทั้งชดเชยเสียง หรือ จะลดความถี่ลงให้เสียงเบา หรือจะใช้แค่เฉพาะด้านหน้า, ด้านหลัง, ทั้งหมด, เสียบ USB หรือจะเป็น Bluetooth บอกไว้ก่อนว่า เสียบกับ Galaxy Buds Live เสียงจะเลิศมาก
- Zoom ปุ่มนี้เพิ่มเข้ามาทำให้วิดีโอมีลูกเล่นที่น่าสนใจมากขึ้น โดยสามารถซูมได้คมชัดสุดที่ระดับ 4X แต่สูงสุดที่ 10X (Mode Video ปกติ ซูมได้ 20X)
แม้ฟังก์ชั่นเยอะแต่ข้อสังเกตคือ หากกดถ่ายวิดีโอไว้สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ ปุ่มฟีเจอร์ที่เรากดเช่นการซูมนั้นจะปิดตัวเอง จะต้องกดเปิดอีกครั้ง จุดนี้ถ้าปรับปรุงให้กดแล้วทำงานต่อก็จะดีนะครับ
และการปรับค่าความละเอียด Full HD 120 FPS จะเกิดขึ้นเฉพาะโหมด Pro Video เท่านั้น หากเป็นโหมดปกติ จะทำได้ที่ Full HD 60 FPS รวมถึงระบบ Super Steady จะเปิดได้เฉพาะกล้องปกติ ความละเอียดที่ทำได้ยังคงเป็น Full HD 30 FPS เท่านั้น
ลองกล้องหน้าของ Samsung Galaxy Note 20 Ultra กับความละเอียด 10 ล้านพิกเซล
แม้ว่ากล้องหน้าของ Samsung Galaxy Note 20 Ultra เป็นอีกสิ่งที่หลายคนบอกว่าความละเอียดเท่าเดิม แต่อย่างเพิ่งตัดสินใจว่าคุณภาพจะเหมือนกับ Note 10 Plus มันจะมีการเก็บรายละเอียดของดีขึ้นเล็กน้อย ผลจากการปรับ Software เล็กน้อยครับ และการถ่ายวิดีโอยังรองรับความละเอียด 4K / 30 FPS จากกล้องหน้า และข่าวร้าย ไม่สามารถใช้ไมค์ Bluetooth กับการถ่ายวิดีโอด้วยกล้องหน้าได้
แบตเตอรี่ / ระบบการชาร์จไฟ
แบตเตอรี่ของ Samsung Galaxy Note 20 Ultra มีขนาด 4500 mAh มากกว่า Note 10+ แค่ 200 mAH เท่านั้น เมื่อทดสอบจากโปรแกรม PC Mark ผลที่ได้อยู่ที่ 9:30 ชั่วโมง สั้นลงกว่ารุ่นที่แล้ว เมื่อเทียบกับการใช้งานจริงแล้ว ต้องยอมรับว่า Firmware ที่ได้ทดลองเป็นรุ่นแรกก่อนวางขาย จะค่อนข้างกินพลังงาน ทำให้ถ้าจะใช้งานได้ทั้งวัน อาจจะต้องพก Power Bank ไปชาร์จไฟตั้งแต่ช่วงเวลา 17:00 เพราะช่วงนั้นจะมีไฟเหลือ 20% แล้ว
(รูปแบบการใช้งาน : เปิด Facebook 2 ชั่วโมง, มีเล่นเกม 35 นาที, มีการโทรเข้า - ออกบ้าง, ถ่ายภาพ และ วิดีโอ ประมาณ 40 - 50 Files)
สำหรับเรื่องของระบบการชาร์จไฟนั้น ด้อยลงกว่าเดิม เพราะรองรับแค่กำลัง 25W เท่านั้น ส่วน 45W ที่วางขายเดิมนั้นชาร์จไฟได้แต่จะเข้าแค่ 25W ส่วนที่ชาร์จไฟไร้สายรองรับกำลัง 15W นอกจากนี้ยังใจดีมีระบบ Wireless Reverse Charging กำลัง 7.5W ให้กับอุปกรณ์อื่นๆ เช่นนาฬิกา, หูฟัง รวมถึงมือถือค่ายอื่นด้วย
สรุปหลังจากทีม Sanook Hitech ได้ทดลองใช้ Samsung Galaxy Note 20 Ultra
ยังคงเป็นอีกมือถือรุ่นเรือธงที่มีความสามารถมากมาย แม้ว่าสื่อต่างประเทศจะมีความเห็นที่บอกว่าไม่ดีบ้าง มันต้องแก้โน้นแก้นี้ แต่สำหรับทีม Sanook Hitech ถือว่ายังคงเป็น Samsung Galaxy Note Series ที่ยังไม่น่าเกลียดที่จะคบหา ถ้าต้องการมือถือที่ทำได้ทุกอย่างที่ลงตัวอีกรุ่น
ส่วนคู่แข่งนั้น ก็จะเป็นกลุ่มเรือธง แต่ว่า Galaxy Note 20 Series มันต้องมองเรื่องการใช้งานปากกา ถ้าคุณต้องการมือถือที่มีปากกา นี่คือตัวเลือกเดียวที่ไว้ใจได้ แต่ถ้าไม่ใช้ปากกา ก็จะมีรุ่นอื่นเช่น iPhone 12 ที่กำลังจะเปิดตัว ที่สเปกจะเปลี่ยนแปลง แต่ต้องรอดูกันต่อไป รวมถึง Huawei Mate 40 Series ที่ต้องรอดูกันว่าจะมีอะไรที่โดดเด่นกันต่อไป เป็นต้น
ส่วนราคาของ Samsung Galaxy Note 20 / Note 20 Ultra ณ วันเปิดตัวมีดังนี้
- Galaxy Note 20 LTE (RAM 8GB / 256GB) = 29,900 บาท
- Galaxy Note 20 5G (RAM 8GB / 256GB) = 33,990 บาท
- Galaxy Note 20 Ultra LTE (RAM 8GB / ROM 256GB) = 38,900 บาท
- Galaxy Note 20 Ultra LTE (RAM 8GB / ROM 512GB) = 42,900 บาท
- Galaxy Note 20 Ultra 5G (RAM 12GB / ROM 256GB) = 42,900 บาท
- Galaxy Note 20 Ultra 5G (RAM 12GB / ROM 512GB) = 46,900 บาท
เห็นแบบนี้หลายคนก็บอกว่า ถ้าเทียบกับรุ่นที่แล้วอย่าง Galaxy Note 10 / Note 10+ ในรุ่น 4G ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่ เพียงแต่รุ่น 5G ที่เปิดตัวก็ทำให้หลายคนหวั่นไหวเล็กน้อย ถึงมากเลย และแต่ละตัวเหมาะกับใคร ทีม Sanook Hitech ได้สรุปออกมาแยกเป็นดังนี้
- Samsung Galaxy Note 20 จะเหมาะกับคนที่ไม่ชอบ Galaxy Note ขนาดใหญ่, จอโค้ง ฟีเจอร์เพียงพอ กล้องคลุมการใช้งานทั่วไปได้หมด และยังมีกลิ่นอายของฟีเจอร์จากรุ่นใหม่อยู่
- Samsung Galaxy Note 20 Ultra จะเหมาะกับคนที่ใช้ Galaxy Note รุ่นก่อน และยังชอบคาแรคเตอร์ของ Galaxy Note ที่ผ่านมา (จอใหญ่มีปากกา, สเปกบ้าพลัง, กล้องต้องลงตัว) และความจำเยอะ เพราะรุ่นนี้เพิ่มความจำได้เหมือนเดิม
ส่วนการอัปเกรด 5G นั้น ถ้าคุณมอบเห็นว่า ต้องการใช้มือถือยาวๆ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่จำเป็น เพราะยังไงอนาคต อย่างน้อยปีหน้า 5G ก็จะเริ่มมีบทบาทมากขึ้นแล้ว การอัปเกรดตั้งแต่วันนี้ก็คือจะได้ใช้วันนี้ไปเลย แต่ถ้างบประมาณคือ อุปสรรค แนะนำว่า เลือกที่เหมาะสม ไว้ก่อน
เพราะเบื้องต้นการใช้ 5G ได้ ณ ตอนนี้ต้องใช้ Package ราคาราวๆ 1,099 บาทขึ้นไป เท่านั้น และ ผลที่เห็นชัดตอนนี้คือการ Download ส่วน Upload คงต้องรอสักหน่อย
กลับมาที่บทสรุปปิดบทความรีวิวที่ยาวแต่รายละเอียดครบถ้วนชิ้นนี้ พูดเลยว่า Samsung Galaxy Note 20 Ultra แม้ว่าจะไม่ได้มีความลงตัวที่ดีไซน์จากกล้องที่นูนใหญ่อย่างที่บอก แต่ถ้าเป็นคนที่ต้องการมือถือจบในเครื่องเดียว ทั้งการทำงาน ความบันเทิง และการถ่ายภาพ นี่เป็นรุ่นที่ตอบโจทย์คุณมากที่สุดแล้วครับ ในงบประมาณ ระดับ High End ครับ
จุดเด่น
- การออกแบบเครื่องทำได้สวยและเป็นรอยนิ้วมือยาก
- กระจกด้านหน้าแข็งแรงมาก
- ประสิทธิภาพยังคงจัดว่าดีใช้ได้
- กล้องหลังที่ทำงานได้รวดเร็วให้ผลลัพธ์ดี
- ปากกาตอบสนองไวขึ้นจนเหมือนกระดาษ
- ฟีเจอร์ Wireless Dex ทำให้การเชื่อมต่อไร้สายแสดงผลมือถือเป็นคอมทำได้ดี
- ลูกเล่นของ Dex ใกล้เคียงกับ Windows มากขึ้น
- หน้าจอสู้แสงได้ดี
ข้อสังเกต
- น้ำหนักมากกว่าเดิม
- กล้องนูนออกมาเยอะมาก
- ไม่มีเคสแถมให้ในกล่อง
- ราคารุ่น 5G เปิดสูงเกินไป
- Samsung Dex Wireless มีข้อจำกัดกับระบบการเชื่อมต่อกับทีวีบางยี่ห้อ
- ยังกินไฟกว่ารุ่นที่แล้ว
- ไมค์นอกต่อได้แต่ทำงานเฉพาะกล้องหลังกับฟีเจอร์ Pro Video (กล้องหน้าหมดสิทธิ์)
อัลบั้มภาพ 41 ภาพ