รีวิว Samsung Galaxy Watch3 สมาร์ทวอชท์ที่ก้าวล้ำ รุ่นล่าสุด และพรีเมียมกว่าเดิม
กลับมาพบกับรีวิว Smart Gadget จากทีม Sanook Hitech อีกครั้ง สำหรับกระแสของ Smart Watch ตอนนี้พูดเลยว่าค่อนข้างมาแรงมากเพราะทุกค่ายต้องมีเป็นของตัวเอง และ Samsung เองก็ทำมานานมาพอสมควร กับครั้งนี้รีวิวกับ Samsung Galaxy Watch 3 รุ่นล่าสุดที่มีหลากหลายแบบ และรูปลักษณ์หน้าตา มันจะเด่นแค่ไหน และราคาเป็นอย่างไร มารับชมกันเลย
แกะกล่อง Samsung Galaxy Watch 3
สำหรับรุ่นที่ได้รับมานั้นตัวเรือทำจาก Titanium ก็จะมีกล่องที่แปลกตา แต่ภายในก็จะมีอุปกรณ์ให้ครบทั้ง
- ตัวเรือน
- คู่มือ
- ที่ชาร์จ
- และสายแบบเรซินให้เปลี่ยน (ในเวอร์ชั่นจำหน่ายจริง)
รูปลักษณ์ดีไซน์ของ Samsung Galaxy Watch 3
เริ่มต้นกับหน้าตาของตัวเรือนกันก่อนครับ กับขนาดหน้าปัดของ Galaxy Watch 3 จะมีขนาด 40 – 46 มิลลิเมตร แต่ขอบหน้าจอนั้นเป็นแบบมีวงแหวนสามารถใช้เลือนเมนูต่างๆ ได้ แตกต่างจาก Galaxy Watch Active 2 ที่เปิดตัวก่อนหน้านี้ แต่ถ้าสังเกตให้ดีความละเอียดหน้าจอจะเป็น 360x360 พิกเซล ละเอียดกว่าและใช้กระจกแบบ Gorilla Glass DX ที่แข็งแรง
รอบตัวเรือนก็มีวัสดุให้เลือกทั้ง โลหะธรรมดาแต่สำหรับรุ่นที่เราได้รับมาเป็นเวอร์ชั่นสูงสุดคือ Titanium มีความเป็นสีดำเงางามดูลงตัวมากกับสายโลหะสีดำ Samsung Galaxy Watch 3 สามารถถอดเปลี่ยนสายได้โหลายมีให้เลือกตั้งแต่สายหนัง, สายแบบเรซิน และรวมไปถึงสายเหล็ก การเปลี่ยนทำได้งานแค่กดที่ปุ่มช้างใดข้างหนึ่งสายก็จะหลุดออกมา
ข้างใต้นนั้นมีการใช้เซนเอร์วัดชีพจรมากถึง 7 จุดครอบบนกระจกที่ความหนากำลังดีและนอกจากนี้ยังมาพร้อมกับระบบ Wireless Charging สามารถชาร์จกับที่ชาร์จที่ติดมา และ มือถือที่สามารถปล่อยไฟในแบบ Wireless หรือ Reverse Wireless Charge
ภาพรวมการออกแบบ / น้ำหนัก / สีสัน
ในการใส่เวอร์ชั่นอื่นๆ ของ Galaxy Watch 3 นั้นถือว่าหนักขึ้นกว่าเดิมมากขึ้นแต่ก็ให้ความกระชับถ้าเป็นสายหนังหรือเรซินจะใส่ได้พอดีถ้าเป็นสายเหล็กอาจจะต้องหาบริการตัดข้อเพื่อให้กระชับในการใส่มากขึ้น
สีสันของ Samsung Galaxy Watch 3 มีให้เลือก 3 สีคือ Mystic Bronze, Mystic Black, Mystic White แต่วัสดุเป็นแบบ Stanless Steel และ Titanium แต่คุณต้องเลือกนะ
เปิดเครื่องลองฟีเจอร์ของ Samsung Galaxy Watch 3
ระบบปฏิบัติการของ Samsung Galaxy Watch 3 ก็ยังคงได้ Tizen OS และครอบด้วย OneUI เวอร์ชั่นใหม่จะไปสอดคล้องกับทางมือถือของ Samsung มากขึ้น ดังนั้นเมื่อเห็นการแจ้งเตือนต่างๆ แล้วก็จะพบว่า มันอ่านข้อความได้ง่ายกว่า
และแน่นอนว่าการเชื่อมต่อยังคงเป็นจุดเด่นเพราะยังรองรับทั้ง Bluetooth, WiFi, NFC, GPS และ eSIM (Number Pairing) วิธีการจับชีพจรใช้ LED ในการวัดชีพจรและความเข้มของแสง โดยเซนเซอร์รุ่นนี้เป็น 8 ดวง ทำให้แม่นยำกว่าเดิม รองรับการชาร์จไฟ และเชื่อมต่อง่ายผ่าน Apps Galaxy Wearable ทั้ง iOS และ Android
ข่าวดีคือการทำงานของมันเร็วขึ้นพราะว่ารุ่นนี้ให้ ROM 8GB และ RAM ทั้งหมด 1GB เรียกได้ว่าเยอะสำหรับ Smart Watch
การเชื่อมต่อกับ eSIM / ดูภายใน Applicaion
สำหรับบริการเชื่อมต่อ eSIM ของ Samsung Galaxy Watch 3 จะทำได้ 2 รูปแบบด้วยกันประกอบไปด้วย
- Number Pairing คือการนำเลขหมาย / ซิมการ์ดเดิม ไปผูกกับนาฬิกา เท่ากับเบอร์จะแยกออกมาเป็นอีกซิม แต่ทั้งคู่ใช้เบอร์เดียวกันเท่ากับเวลามีสายเรียกเข้าก็จะดังพร้อมกับ โดยค่ายที่ทำได้คือ dtac และ AIS
- External Number คือการนำเบอร์ที่ไม่ใช่เบอร์มือถือของคุณไปผูก อาจจะยุ่งยากเพราะค่าลงทะเบียนซิมการ์ดแบบนี้ต้องจ่ายเงินแยกบิลเพราะถือว่าเปิดเบอร์ใหม่
การตั้งค่าทั้งหมดสามารถกดผ่าน Galaxy Wearable แต่สำหรับ iOS จะต้องเป็น Apps ชื่อว่า Galaxy Watch เมื่อโหลดมาติดตั้งได้ แต่การใช้งานอาจจะหายไปบางฟีเจอร์ อย่างไรก็ตามสำหรับของ Apps สามารถตั้งค่าปรับเปลี่ยนฟีเจอร์ และ โหลด Apps มาเพิ่มเติมได้เช่นเดียวกัน ถ้าทำทั้งหมดได้แล้วก็จะที่รองรับการเชื่อมต่อกับ eSIM ได้แก่
- สามารถใช้นาฬิกาดูรูปและถ่ายผ่าน Smart Watch ได้เลย
- สามารถใส่ กับโปรแกรมโหลดเข้ามาได้ทั้ง แปลภาษา, จ่ายเงินผ่าน Samsung Pay และอื่นๆ อีกมากมาย
- สามารถเปิดให้ขอบเครื่องเป็นปุ่มเลื่อนได้เหมือนกับวงแหวนของ Galaxy Watch ทั่วไป
- และสามารถโทรออกได้
ฟีเจอร์สำหรับการออกกำลังกายของ Samsung Galaxy Watch 3
เนื่องจาก Samsung Galaxy Watch 3 ออกมาในช่วง COVID-19 เป็นช่วงที่อยากให้คนอยู่ห่างเพื่อกันเชื้อโรคแล้วนอกจากโปรแกรมออกกำลังกายที่กำลังจะบอกนี้ก็จะมีโปรแกรมที่สามารถออกกำลังกายเองได้ ที่บ้านด้วยท่าประกอบอย่างง่ายทั้งหมด 40 รูปแบบ และโปรแกรมออกกำลังกายอยู่ อีกมากมายรวมแล้ว Samsung Galaxy Watch 3 ก็มีโปรแกรมออกกำลังกายมากถึง ร้อยกว่ารูปแบบ และมีฟีเจอร์ดูแลสุขภาพอื่นๆ เช่น
- Running Trainer ระบบจะให้คุณเลือกโปรแกรม และวิ่งแบบไหน เช่น Jogging เพื่ออกกำลังกาย แต่ก็จะมีการตั้ง Target เรื่องของการเลือกโซนได้ และเครื่องจะวัดการวิ่งของเรา และเชื่อมต่อกับหูฟังอย่าง Galaxy Buds รวมไปถึงถ้าวิ่งแล้วอัตราการเต้นของหัวใจสูงไป ระบบจะต้องเตือน รวมถึงระยะการก้าว ระบบทำงานอัตโนมัติ หรือ ตั้งค่าเองได้
- Gym Tracker จะมีการต่อเชื่อมกับ Technogym Machine เมื่อเชื่อมต่อกับ NFC โดยการวิ่งบนลู่และดึงข้อมูลเข้านาฬิกาได้เลย เพิ่มความแม่นยำ
- Sleep Tracker จะมีการวัดเรื่องของการนอนว่าลึกแค่ไหน และวัดการนอนได้ 4 Step ว่าหลังแบบไหน หลับกึงหลังกึ่งตื่น, หลับลึก, หลับฝัน และสามารถแจ้งเตือนว่าเราควรจะทำอย่างไร
- Stress Manager ระบบการวัดความเครียด ซึ่งระบบนี้ยังไม่เปิดให้ใช้งาน เพราะเป็นเรื่องของทางการแพทย์
- Heart Rate Alert จะแจ้งเตือนเรื่องของการออกกำลังกายว่า หัวใจคุณเต้นสูงหรือต่ำเกินไป ซึ่งจะทำให้การดูแลสุขภาพทำได้
- Fall Detection จะมีการแจ้งเตือนอัตโนมัติ มีเซนเซอร์จับเรื่องของการล้มได้แต่ฟีเจอร์นี้ใช้ได้ในไตรมาส 1 ของปี 2020
- โปรแกรม Activity ก็จะมีโปรแกรม 7 โปรแกรมในอการออกกำลังกาย คือเชื่อมกับเครื่องออกกำลังกายบางยี่ห้อ
ฟีเจอร์อื่นๆ ที่น่าสนใจของ Samsung Galaxy Watch 3
ถึงแม้ว่าลูกเล่นของ Samsung Galaxy Watch 3 นั้นจะเหมือนกับ Galaxy Watch Active 2 แต่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างหน้าตาใหม่ที่ดูดีและภูมิฐานกขึ้นแต่ก็ยังไม่ทิ้งฟีเจอร์ต่างๆ เช่น Music Player พร้อมกับใส่เพลงได้, Steaming ผ่าน Spotify และยังต่อเชื่อมกับ Galaxy Buds ได้
แบตเตอรี่ / ระบบการชาร์จไฟ
สำหรับ Samsung Galaxy Watch 3 ยังให้แบตเตอรี่ขนาด 340 mAh เท่าเดิม ดังนั้นแบตเตอรี่ของรุ่นนี้ก็ยังสามารถใช้งานได้ยาวนานในโหมด Bluetooth ได้ถึง 2 วัน แต่ว่า ถ้าเป็น eSIM ใช้ 1.5 วันก็หมดแล้ว และระบบชาร์จไฟนั้นรองรับ Wireless Charge สามารถชาร์จไฟได้ค่อนข้างรวดเร็วเช่นเคย
สรุปหลังจากทีม Sanook Hitech ได้ทดลองใช้งาน Samsung Galaxy Watch 3 มาสักระยะเวลาหนึ่ง
หลังจากทดลองใช้ Samsung Galaxy Watch 3 ก็พบความดีของรุ่นนี้ที่มันหรูหราและใช้งานได้ง่ายมากแต่ว่าถ้าคนชอบดีไซน์แบบที่หวือวาอาจจะเหมาะกับ Galaxy Watch Active 2 มากกว่า อย่างไรก็ตามฟีเจอร์ต่างๆ คล้ายกันอยู่ครับดังนั้นคนใช้ Active 2 ยังไม่ต้องเปลี่ยนก็ได้
และสำหรับราคาของ Samsung Galaxy Watch 3 ที่ถือว่าเป็นเรือธงของ Smart Watch มีอยู่ที่
- Galaxy Watch 3 Stainless Streel Bluetooth ขนาด 41 มิลลิเมตร = 14,900 บาท
- Galaxy Watch 3 Stainless Streel Bluetooth ขนาด 45 มิลลิเมตร = 15,900 บาท
- Galaxy Watch 3 Titanium Bluetooth ขนาด 45 มิลลิเมตร = 17,900 บาท
- Galaxy Watch 3 Stainless Streel LTE รองรับ eSIM ขนาด 41 มิลลิเมตร = 18,900 บาท
- Galaxy Watch 3 Titanium LTE ขนาด 45 มิลลิเมตร = 23,900 บาท
ราคานั้นก็เหมือนกับ Apple Watch แต่รุ่นนี้ดีตรงที่ต่อได้ทั้ง Android และ iOS อย่างที่บอก ถ้าคิดว่ารับได้กับน้ำหนักของรุ่น Titanium ก็จัดได้แต่ถ้าไม่ได้ก็รุ่น Stanless Streel ก็น่าคบหาอยู่ไม่น้อนเลยครับ
จุดเด่น
- สเปกของเครื่องสูงขึ้นกว่าเดิม
- ความจำเยอะและ RAM เยอะช่วยให้การทำงานลื่นไหล
- TiZEN + OneUI ทำให้หน้าตาการใช้งานมันดูน่าใช้มากขึ้น
- โปรแกรมออกกำลังกายเยอะ
- ทนทานเหมือนเดิม
- วัสดุดีขึ้นผิดหูผิดตา
ข้อสังเกต
- ดีไซน์เหมือนเดิมไม่ได้เปลี่ยน
- แบตฯ ก็ยังหมดเร็วเหมือนเดิม
- ราคาค่อนข้างสูง