เปิดตัว iPhone 12 และ iPhone 12 mini รองรับ 5G รุ่นใหม่ล่าสุด พร้อมสเปกเปรียบเทียบ
ผ่านไปแล้วครับสำหรับงาน Apple Event ใหญ่ของ Apple เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา และเป็นไปตามคาดครับเพราะในไฮไลท์ของงานคือการเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดในตระกูล iPhone 12 series ที่รอบบนี้มาด้วยกันทั้งหมด 4 รุ่น
ทั้งนี้บทความก่อนหน้านี้เราได้แนะนำ iPhone 12 Pro และ Pro Max ไปแล้วบทความนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จัก iPhone 12 และ iPhone 12 mini สมาร์ทโฟนที่รองรับ 5G รุ่นเล็กกันต่อ
สเปกเปรียบเทียบ iPhone 12 และ iPhone 12 mini
รายละเอียดสเปกของ iPhone 12
- ขนาดตัวเครื่อง 146.7 x 71.5 x 7.4 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 164 กรัม
- หน้าจอขนาด 6.1 นิ้ว ใช้หน้าจอ Super Retina XDR (OLED)
- ความละเอียดหน้าจอ : 1170 x 2532 อัตราส่วน 19.5:9 รองรับการแสดงผล HDR10+ Dolby Vision True-Tone และ Wide Color Gamut
- กระจกหน้าจอ : Ceramic Shield
- มาตรฐานการกันน้ำ IP68 กันน้ำได้ลึกสุด 6 เมตร
- ชิปเซ็ต : Apple A14 Bionic | GPU : เป็นของ Apple เองเป็นแบบ 4 Core
- RAM: ไม่ได้ระบุ
- ความจำในตัว :64 / 128 / 256GB
- เพิ่มความจำผ่าน iCloud Storage
- ระบบปฏิบัติการ : iOS 14
- การเชื่อมต่อ WiFi 6 (AX), GPS, 5G, Bluetooth 5.0 NFC และรองรับ Lightning Port
- รองรับ eSIM และ Nano SIM
- ระบบเสียง
- ลำโพง Stereo ทั้งด้านบนและล่าง รองรับ Dolby ATMOS
- กล้องมีหลังประกอบด้วย 2 ตัวด้วยกันประกอบด้วย
- กล้องหลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ค่ารูรับแสง F1.6 มาพร้อมกับ LED Flash รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K 24/30/60 FPS, Full HD 30/60/120/240, Timelaspe ทั้งกลางวันและกลางคืน
- กล้องมุมกว้าง ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล มีค่ารูรับแสง F2.4 มุมมอง120 องศา
- กล้องหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
- แบตเตอรี่ ไม่ได้ระบุความจุ แต่รองรับกำลังชาร์จไฟ (18W) รองรับทั้ง ชาร์จไร้สาย (15W)
- ระบบความปลอดภัย สแกนหน้าแบบ Face ID
- สี : ดำ, ขาว, เขียว, น้ำเงิน และ แดง Product Red
รายละเอียดสเปกของ iPhone 12 Mini
- ขนาดตัวเครื่อง 131.5 x 64.2 x 7.4 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 135 กรัม
- หน้าจอขนาด 5.4 นิ้ว ใช้หน้าจอ Super Retina XDR (OLED)
- ความละเอียดหน้าจอ : 1080 x 2340 อัตราส่วน 19.5:9 รองรับการแสดงผล HDR10+ Dolby Vision True-Tone และ Wide Color Gamut
- กระจกหน้าจอ : Ceramic Shield
- มาตรฐานการกันน้ำ IP68 กันน้ำได้ลึกสุด 6 เมตร
- ชิปเซ็ต : Apple A14 Bionic | GPU : เป็นของ Apple เองเป็นแบบ 4 Core
- RAM: ไม่ได้ระบุ
- ความจำในตัว :64 / 128 / 256GB
- เพิ่มความจำผ่าน iCloud Storage
- ระบบปฏิบัติการ : iOS 14
- การเชื่อมต่อ WiFi 6 (AX), GPS, 5G, Bluetooth 5.0 NFC และรองรับ Lightning Port
- รองรับ eSIM และ Nano SIM
- ระบบเสียง
- ลำโพง Stereo ทั้งด้านบนและล่าง รองรับ Dolby ATMOS
- กล้องมีหลังประกอบด้วย 2 ตัวด้วยกันประกอบด้วย
- กล้องหลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ค่ารูรับแสง F1.6 มาพร้อมกับ LED Flash รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K 24/30/60 FPS, Full HD 30/60/120/240, Timelaspe ทั้งกลางวันและกลางคืน
- กล้องมุมกว้าง ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล มีค่ารูรับแสง F2.4 มุมมอง120 องศา
- กล้องหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
- แบตเตอรี่ ไม่ได้ระบุความจุ แต่รองรับกำลังชาร์จไฟ (18W) รองรับทั้ง ชาร์จไร้สาย (15W)
- ระบบความปลอดภัย สแกนหน้าแบบ Face ID
- สี : ดำ, ขาว, เขียว, น้ำเงิน และ แดง Product Red
iPhone 12 เร็วยิ่งกว่าเร็ว ทั้งชิพที่เร็วที่สุดในสมาร์ทโฟนอย่าง A14 Bionic จอภาพ OLED แบบขอบจรดขอบ Ceramic Shield ที่ทนต่อการตกกระแทกได้ดีขึ้น 4 เท่า และโหมดกลางคืนบนกล้องทุกตัว iPhone 12 ก็มีหมดทุกอย่าง ในสองขนาดที่ลงตัว
- iPhone 12 มาพร้อมกับจอภาพ Super Retina XDR ขนาด 6.1”
- iPhone 12 mini มาพร้อมกับจอภาพ Super Retina XDR ขนาด 5.4
Ceramic Shield เห็นได้ชัดว่าแข็งแกร่งกว่า กระจกไหนๆ บนสมาร์ทโฟน ทนต่อการตกกระแทก ได้ดีขึ้น 4 เท่า
ผลึกเซรามิกระดับนาโน แล้วก็ถึงเวลาของ Ceramic Shield ซึ่งเกิดจากการนำผลึกเซรามิกระดับนาโนซึ่งแข็งแกร่งกว่าโลหะส่วนใหญ่ไปผสมลงในกระจก อาจจะฟังดูง่าย แต่จริงๆ แล้วกระบวนการนี้ยากกว่าที่ใครหลายคนคิดเพราะเซรามิกไม่ได้มีความโปร่งใส ดังนั้นเราจึงคิดค้นสูตรแบบเฉพาะตัวขึ้นมาในการควบคุมชนิดของผลึกและระดับความเป็นผลึกของเซรามิก
ซึ่งช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งของเซรามิกจนถึงขีดสุด ในขณะที่ยังคงความใสเอาไว้ได้ด้วย นี่คือความล้ำที่ทำให้ Ceramic Shield เหมาะที่จะนำมาทำเป็นจอภาพอย่างไร้ที่ติ ขณะเดียวกันก็ยังเป็นครั้งแรกในสมาร์ทโฟนกับความแข็งแกร่งที่มากกว่ากระจกบนสมาร์ทโฟนไหนๆ อีกด้วย
กระบวนการแลกเปลี่ยนไอออนคู่ ถึงจะแข็งแกร่งแต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะทนต่อรอยขีดข่วนได้ดีเสมอไป ดังนั้นเราจึงใช้กระบวนการแลกเปลี่ยนไอออนคู่แบบเดียวกับที่ใช้บนกระจกด้านหลัง เพื่อป้องกันจอภาพจากรอยเล็กๆ รอยขีดข่วน และร่องรอยจากการใช้งานในชีวิตประจำวัน
ทนต่อการตกกระแทกได้ดีขึ้น 4 เท่า นอกจาก Ceramic Shield แล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เสริมความทนทานของตัวเครื่องด้านหน้ายิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งก็คือจอภาพที่เรียบเสมอกันกับขอบของโทรศัพท์ซึ่งช่วยเพิ่มการป้องกันในอีกระดับ และจากทั้งหมดนี้ เราจึงได้ iPhone ที่ทนต่อการตกกระแทกได้ดีขึ้น 4 เท่า นับเป็นการพัฒนาแบบก้าวกระโดดจากปีก่อนหน้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาบน iPhone
H2O โอเค ทนต่อน้ำที่หกและน้ำที่กระเด็นใส่ได้ดียิ่งขึ้น
5 สีสันสดใหม่
แรงด้วย A14 Bionic คือชิพที่เร็วที่สุดในสมาร์ทโฟน ชิพแบบเดียวกับ iPhone 12 Pro
และยังสร้างขีดจำกัดใหม่ๆ ให้ความเป็นไปได้ อย่างเช่น การประมวลผลนับล้านล้านรายการบน Neural Engine หรือถ่ายวิดีโอในแบบ Dolby Vision ที่แม้แต่กล้องภาพยนตร์ระดับโปรยังทำไม่ได้ แถมยังประหยัดพลังงานเป็นเยี่ยมเพื่อแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนาน และในขณะเดียวกันก็ล้ำหน้าไปไกลจนเรียกได้ว่าเป็นขุมพลังที่พร้อมรับมือได้แทบทุกอย่างที่รออยู่ข้างหน้าเลยล่ะ
จอภาพ Super Retina XDR โอ้โห OLED
ก้าวกระโดดที่ชัดเจนจาก LCD ไป OLED iPhone 12 มาพร้อมคุณสมบัติใหม่อันทรงพลังทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการบันทึกวิดีโอระดับ 4K ในแบบ Dolby Vision และรูปภาพ HDR ที่มีรายละเอียดสุดยอด ซึ่งมีแต่จอภาพแบบล้ำๆ เท่านั้นที่จะสามารถถ่ายทอดประสบการณ์ได้อย่างเต็มรูปแบบ เราจึงทุ่มสุดตัวเพื่อสิ่งที่ดีที่สุด และผลลัพธ์ก็คือ จอภาพ Super Retina XDR
ความสว่าง 1,200 นิต สำหรับ HDR อัตราส่วนคอนทราสต์ 2,000,000:1 LCD จะใช้แบ็คไลท์เพื่อทำให้พิกเซลส่องสว่างพร้อมกันทั้งหมด ซึ่งต่างจาก OLED ที่ แต่ละพิกเซลสามารถเปล่งแสงด้วยตัวเองได้โดยพิกเซลเหล่านี้สามารถปิดการทำงานโดยสิ้นเชิงเพื่อถ่ายทอดสีดำที่ดำสนิท หรือให้ความสว่างได้สูงถึง 1,200 นิตสำหรับคอนเทนต์ HDR นี่คือเหตุผลว่าทำไมอัตราส่วนคอนทราสต์จึงสูงถึง 2,000,000:1 ไม่บอกก็รู้ว่าความแตกต่างจะน่าตื่นตาขนาดไหน
สว่างยิ่งขึ้นดำสนิทยิ่งขึ้น ข้อความและอีเมลต่างดูคมชัดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ส่วนรูปภาพและวิดีโอทั้งหมดของคุณรวมถึงความทรงจำโปรดก็จะดูสวยงามสมจริงยิ่งกว่าครั้งไหนๆ นอกจากนี้อะไรต่างๆ อย่างฉากระเบิดไฟลุกหรือสงครามอวกาศในภาพยนตร์ ก็มีความละเอียดอย่าง น่าทึ่ง ส่วนที่สว่างก็สว่างสุดๆ และส่วนที่ควรจะมืดก็มืดสนิทอย่างแท้จริง
ระบบกล้องคู่ ยินดีต้อนรับสู่ด้านมืด
ตอนนี้ทั้งกล้องไวด์หรืออัลตร้าไวด์ต่างก็มีโหมดกลางคืนแล้วทั้งคู่ ซึ่งทำให้การถ่ายภาพที่สวยงามน่าทึ่งในสภาวะแสงน้อยนั้นทำได้ดีกว่าครั้งไหนๆ โดยที่กล้องไวด์ใหม่นั้นรับแสงได้มากขึ้นถึง 27% ดังนั้นไม่ว่าคุณจะถ่ายรูประหว่างวันหรือใต้แสงจันทร์ยามค่ำคืน คุณก็จะได้รายละเอียดและสีสันในระดับที่ไม่เคยเป็นไปได้มาก่อน
ไม่มีคำว่าน้อยหน้า สำหรับโหมดภาพถ่ายบุคคล
วิดีโอ แสงน้อย แต่ถ่ายได้ สวยมาก
ถ้าสงสัยว่าจะทำให้วิดีโอที่มีคุณภาพสูงที่สุดในสมาร์ทโฟนดีขึ้นอีกได้ยังไง คำตอบก็คือทำให้ถ่ายในสภาวะแสงน้อยได้ดีขึ้นนั่นเอง แล้วก็ต้องดีขึ้นแบบจัดเต็ม 27% ด้วย ซึ่งหมายความว่าจะช่วงเวลาไหนก็ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับการถ่ายวิดีโอในรายละเอียดที่สวยงามยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน ก็ยังมีไทม์แลปส์ในโหมดกลางคืนด้วย เอาล่ะ ทีนี้ก็ติด iPhone ไว้กับอะไรซักอย่าง แล้วก็ปล่อยให้เส้นแสงได้โลดแล่นกันเลย
เซลฟี่ในโหมดกลางคืนดูโดดเด่นในความมืด
ตอนกลางคืนนี่แหละเป็นเวลาที่เหมาะสำหรับเซลฟี่ เพราะโหมดกลางคืนและคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมทั้งหลายมาอยู่บนกล้องหน้าเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นDeep Fusion, HDR อัจฉริยะ 3, การบันทึกวิดีโอในแบบ Dolby Vision และอีกมากมายคราวนี้ก็ทำหน้าเก๋ๆ แล้วก็ 3-2-1 ยิ้ม
อุปกรณ์เสริม MagSafe อะไรๆ ก็คลิก ไปซะหมด
ซ้อนกันได้อย่างสวยงาม ติดเข้ากับเคสหรือกระเป๋าสตางค์ MagSafe ใหม่ หรือทั้งคู่ได้เลย (และไม่ต้องห่วง เพราะกระเป๋าสตางค์ยังมีการป้องกันเพื่อความปลอดภัยสำหรับบัตรเครดิตอีกด้วย)
พลังชาร์จติดเทอร์โบ แม่เหล็กจะประกบเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบทุกครั้งเพื่อการชาร์จแบบไร้สายที่เร็วยิ่งขึ้น
และแน่นอนว่า iPhone ทุกรุ่นรุ่นใหม่ไม่มี อะแดปเตอร์แปลงไฟและ EarPods ให้อีกแล้ว
จากการให้อะแดปเตอร์แปลงไฟและ EarPods ที่มักไม่ค่อยได้ใช้มาเป็นสาย USB-C เป็นLightning สำหรับการชาร์จเร็วที่คนส่วนใหญ่ต้องการแทน ซึ่งทำให้บรรจุภัณฑ์มีขนาดเล็กลง มีปริมาณกล่องต่อรอบการจัดส่งมากขึ้น และนั่นหมายถึงรอบการจัดส่งโดยรวมที่น้อยลง นอกจากนี้เรายังให้พันธมิตรด้านการผลิตของเราเปลี่ยนไปใช้พลังงานหมุนเวียนอีกด้วย ทั้งหมดนี้ทำให้เราสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้มากกว่า 2 ล้านเมตริกตันต่อปีเลยทีเดียว
ราคาและกำหนดการวางจำหน่าย iPhone 12 ทุกรุ่น
iPhone 12 Mini ขนาดหน้าจอ 5.4"
- 64GB = 699 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือประมาณ 22,000 บาท
- 128GB = 749 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือประมาณ 23,300 บาท
- 256GB = 849 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 26,400 บาท
iPhone 12 ขนาดหน้าจอ 6.1"
- 64GB = 799 ดอลล่าร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 25,000 บาท
- 128GB = 849 ดอลล่าร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 26,400 บาท
- 256GB = 949 ดอลล่าร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 29,500 บาท
iPhone 12 Pro ขนาดหน้าจอ 6.1"
- 128GB = 999 ดอลล่าร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 32,000 บาท
- 256GB = 1,149 ดอลล่าร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 35,700 บาท
- 512GB = 1,349 ดอลล่าร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 41,900 บาท
iPhone 12 Pro Max ขนาดหน้าจอ 6.7"
- 128GB = 1,099 ดอลล่าร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 35,000 บาท
- 256GB = 1,249 ดอลล่าร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 38,800 บาท
- 512GB = 1,449 ดอลล่าร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 45,000 บาท
ทั้งนี้จะเริ่มวางจำหน่าย 6 พฤศจิกายน ในบางประเทศ และ 13 พฤศจิกายน จะเริ่มเปิดจองเช่นเดียวกัน ทั้งนี้สำหรับประเทศไทยต้องรอประกาศอีกครั้ง อันนี้คือราคาที่สำรวจจากทางเว็บไซต์ Apple.com ในประเทศสหรัฐอเมริกา