เปรียบเทียบสเปกของ iPhone 12 Mini, iPhone 12, iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max จะเลือกตัวไหนดี
ในบทความนี้จะเป็นการแยกย่อยสเปกของ iPhone 12 ทั้งหมด 4 รุ่นให้คุณดูแบบเข้าใจง่ายพร้อมกับบทวิเคราะห์ว่า รุ่นไหนจะเหมาะกับใครและความแตกต่างที่เปลี่ยนจาก iPhone 11 นั้นเป็นอย่างไร โดยทีม Sanook Hitech พร้อมแล้วมารับชมกันเลย ณ บัด นี้
ดีไซน์ของ iPhone 12 / 12 Mini
เป็นรุ่นเริ่มต้นที่เปิดตัวมาก่อนเลย เห็นครั้งแรกก็คิดถึง iPhone 5 หรือ 5s แต่ขยายส่วนให้เหมาะสมและมาพร้อมกับสีสันที่สวยงามและกระจกด้านหน้าแบบ Ceramic Shield แข็งแรงกว่าเดิม 4 เท่าครับ และความละเอียดหน้าจอถือว่าทำได้ดีมากขึ้น และเป็นแบบ Super Retina XDR ที่ละเอียดขึ้น รองรับ 5G และมีให้เลือกทั้งสีน้ำเงิน, สีเขียว, สีขาว, สีดำ และ แดง Product RED แต่ถ้าเป็น iPhone 12 Mini ง่ายมากครับ ย่อทุกอย่างจาก iPhone 12 ให้เล็กลง
ส่วนรายละเอียดตัวเครื่องมีดังนี้
รายละเอียดสเปกของ iPhone 12
- ขนาดตัวเครื่อง 146.7 x 71.5 x 7.4 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 164 กรัม
- หน้าจอขนาด 6.1 นิ้ว ใช้หน้าจอ Super Retina XDR (OLED)
- ความละเอียดหน้าจอ : 1170 x 2532 อัตราส่วน 19.5:9 รองรับการแสดงผล HDR10+ Dolby Vision True-Tone และ Wide Color Gamut
- กระจกหน้าจอ : Ceramic Shield
- มาตรฐานการกันน้ำ IP68 กันน้ำได้ลึกสุด 6 เมตร
- ชิปเซ็ต : Apple A14 Bionic | GPU : เป็นของ Apple เองเป็นแบบ 4 Core
- RAM: ไม่ได้ระบุ
- ความจำในตัว :64 / 128 / 256GB
- เพิ่มความจำผ่าน iCloud Storage
- ระบบปฏิบัติการ : iOS 14
- การเชื่อมต่อ WiFi 6 (AX), GPS, 5G, Bluetooth 5.0 NFC และรองรับ Lightning Port
- รองรับ eSIM และ Nano SIM
- ระบบเสียง
- ลำโพง Stereo ทั้งด้านบนและล่าง รองรับ Dolby ATMOS
- กล้องมีหลังประกอบด้วย 2 ตัวด้วยกันประกอบด้วย
- กล้องหลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ค่ารูรับแสง F1.6 มาพร้อมกับ LED Flash รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K 24/30/60 FPS, Full HD 30/60/120/240, Timelaspe ทั้งกลางวันและกลางคืน
- กล้องมุมกว้าง ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล มีค่ารูรับแสง F2.4 มุมมอง120 องศา
- กล้องหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
- แบตเตอรี่ ไม่ได้ระบุความจุ แต่รองรับกำลังชาร์จไฟ (18W) รองรับทั้ง ชาร์จไร้สาย (15W)
- ระบบความปลอดภัย สแกนหน้าแบบ Face ID
- สี : ดำ, ขาว, เขียว, น้ำเงิน และ แดง Product Red
รายละเอียดสเปกของ iPhone 12 Mini
- ขนาดตัวเครื่อง 131.5 x 64.2 x 7.4 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 135 กรัม
- หน้าจอขนาด 5.4 นิ้ว ใช้หน้าจอ Super Retina XDR (OLED)
- ความละเอียดหน้าจอ : 1080 x 2340 อัตราส่วน 19.5:9 รองรับการแสดงผล HDR10+ Dolby Vision True-Tone และ Wide Color Gamut
- กระจกหน้าจอ : Ceramic Shield
- มาตรฐานการกันน้ำ IP68 กันน้ำได้ลึกสุด 6 เมตร
- ชิปเซ็ต : Apple A14 Bionic | GPU : เป็นของ Apple เองเป็นแบบ 4 Core
- RAM: ไม่ได้ระบุ
- ความจำในตัว :64 / 128 / 256GB
- เพิ่มความจำผ่าน iCloud Storage
- ระบบปฏิบัติการ : iOS 14
- การเชื่อมต่อ WiFi 6 (AX), GPS, 5G, Bluetooth 5.0 NFC และรองรับ Lightning Port
- รองรับ eSIM และ Nano SIM
- ระบบเสียง
- ลำโพง Stereo ทั้งด้านบนและล่าง รองรับ Dolby ATMOS
- กล้องมีหลังประกอบด้วย 2 ตัวด้วยกันประกอบด้วย
- กล้องหลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ค่ารูรับแสง F1.6 มาพร้อมกับ LED Flash รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K 24/30/60 FPS, Full HD 30/60/120/240, Timelaspe ทั้งกลางวันและกลางคืน
- กล้องมุมกว้าง ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล มีค่ารูรับแสง F2.4 มุมมอง120 องศา
- กล้องหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
- แบตเตอรี่ ไม่ได้ระบุความจุ แต่รองรับกำลังชาร์จไฟ (18W) รองรับทั้ง ชาร์จไร้สาย (15W)
- ระบบความปลอดภัย สแกนหน้าแบบ Face ID
- สี : ดำ, ขาว, เขียว, น้ำเงิน และ แดง Product Red
จากที่เห็นสเปกขอสรุปได้ดังนี้
- iPhone 12 Mini คือ iPhone 12 ย่อส่วนนั่นเอง
- หน้าจอของ iPhone 12 ทั้งคู่จะละเอียดขึ้น
- 5G มาแล้วนะครับ
- สีสันของ iPhone ที่สวยงามมากพอสมควร
- กล้องหลังคู่ เพิ่มเติม รูรับแสงที่เพิ่มขึ้น
- MagSafe ก็มา
- ความจำของเครื่องที่ไม่ได้ แตกต่างจากเดิม
ส่วนราคาเริ่มต้นกับ iPhone 12 Mini ที่ 699 ดอลล่าร์ หรือประมาณ 21,xxx บาท และ iPhone 12 จะอยู่ที่ 799 ดอลล่าร์ หรือประมาณ 24,xxx บาท และแยกย่อยจากประมาณการมีดังนี้
- iPhone 12 Mini
- 64GB = 729 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือ 22,xxx บาท
- 128GB = 779 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือ 24,xxx บาท
- 256GB = 879 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 27,xxx บาท
- iPhone 12
- 64GB = 829 ดอลล่าร์สหรัฐฯ หรือ 25,xxx บาท
- 128GB = 879 ดอลล่าร์สหรัฐฯ หรือ 27,xxx บาท
- 256GB = 979 ดอลล่าร์สหรัฐฯ หรือ 30,xxx บาท
iPhone 12 และ iPhone 12 Mini จะเริ่มเปิดจองใน 6 พฤศจิกายน และ วางจำหน่าย 13 พฤศจิกายน ทั้งนี้สำหรับประเทศไทยต้องรอประกาศอีกครั้ง อันนี้คือราคาที่สำรวจจากทางเว็บไซต์ Apple.com ในประเทศสหรัฐอเมริกา
จากความเห็นของทีม Sanook Hitech กับ iPhone รุ่นนี้ ที่พูดเลยว่า ในความแตกต่างที่แท้จริงจะมีแค่รูปร่างและขนาดเท่านั้น และถ้าจะเลือกแล้วล่ะก็ iPhone 12 คือรุ่นที่เหมาะสมกว่า เพราะสเปกและรายละเอียดต่างๆ แทบจะเหมือนกันหมด เพียงแต่ถ้าใครบอกว่า iPhone 12 มันใหญ่ไปก็เลือก iPhone 12 Mini ได้ทันที
ดีไซน์ของ iPhone 12 Pro / 12 Pro Max
พอเป็น iPhone 12 Pro / 12 Pro Max บ้างก็จะมาเป็นทรงเหลี่ยมที่เป็นเอกลักษณ์เอามากมายๆ และยังมีขนาดใหญ่กว่า iPhone 11 Pro ทุกมิติเลยครับ นอกจากนี้ขอบเครื่องเป็นแบบปัดเงาอีกด้วย และรายละเอียดของเครื่องทั้งคู่นั้นมีดังนี้
รายละเอียดสเปกของ iPhone 12 Pro
- ขนาดตัวเครื่อง 146.7 x 71.5 x 7.4มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 189 กรัม
- หน้าจอขนาด 6.1 นิ้ว ใช้หน้าจอ Super Retina XDR (OLED)
- ความละเอียดหน้าจอ : 1170 x 2532 อัตราส่วน 19.5:9 รองรับการแสดงผล HDR10+ Dolby Vision True-Tone และ Wide Color Gamut
- กระจกหน้าจอ : Ceramic Shield
- มาตรฐานการกันน้ำ IP68 กันน้ำได้ลึกสุด 6 เมตร
- ชิปเซ็ต : Apple A14 Bionic | GPU : เป็นของ Apple เองเป็นแบบ 4 Core
- RAM: ไม่ได้ระบุ
- ความจำในตัว :128 / 256 /512GB
- เพิ่มความจำผ่าน iCloud Storage
- ระบบปฏิบัติการ : iOS 14
- การเชื่อมต่อ WiFi 6 (AX), GPS, 5G, Bluetooth 5.0 NFC และรองรับ Lightning Port
- รองรับ eSIM และ Nano SIM
- ระบบเสียง
- ลำโพง Stereo ทั้งด้านบนและล่าง รองรับ Dolby ATMOS
- กล้องมีหลังประกอบด้วย 3 ตัวด้วยกันประกอบด้วย
- กล้องหลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ค่ารูรับแสง F1.6 มาพร้อมกับ LED Flash รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K 24/30/60 FPS, Full HD 30/60/120/240, Timelaspe ทั้งกลางวันและกลางคืน
- กล้องมุมกว้าง ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล มีค่ารูรับแสง F2.4 มุมมอง120 องศา
- กล้อง Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ซูมได้ 2 เท่าแบบ Optical
- LiDAR Sensor
- กล้องหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
- แบตเตอรี่ ไม่ได้ระบุความจุ แต่รองรับกำลังชาร์จไฟ (18W) รองรับทั้ง ชาร์จไร้สาย (15W)
- ระบบความปลอดภัย สแกนหน้าแบบ Face ID
- สี : Silver, Graphite (จะออกสีทอง), Gold, Pacific Blue
รายละเอียดสเปกของ iPhone 12 Pro Max
- ขนาดตัวเครื่อง 160.8 x 78.1 x 7.4 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 228 กรัม
- หน้าจอขนาด 6.7 นิ้ว ใช้หน้าจอ Super Retina XDR (OLED)
- ความละเอียดหน้าจอ : 1284 x 2778 อัตราส่วน 19.5:9 รองรับการแสดงผล HDR10+ Dolby Vision True-Tone และ Wide Color Gamut
- กระจกหน้าจอ : Ceramic Shield
- มาตรฐานการกันน้ำ IP68 กันน้ำได้ลึกสุด 6 เมตร
- ชิปเซ็ต : Apple A14 Bionic | GPU : เป็นของ Apple เองเป็นแบบ 4 Core
- RAM: ไม่ได้ระบุ
- ความจำในตัว :128 / 256 /512GB
- เพิ่มความจำผ่าน iCloud Storage
- ระบบปฏิบัติการ : iOS 14
- การเชื่อมต่อ WiFi 6 (AX), GPS, 5G, Bluetooth 5.0 NFC และรองรับ Lightning Port
- รองรับ eSIM และ Nano SIM
- ระบบเสียง
- ลำโพง Stereo ทั้งด้านบนและล่าง รองรับ Dolby ATMOS
- กล้องมีหลังประกอบด้วย 3 ตัวด้วยกันประกอบด้วย
- กล้องหลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ค่ารูรับแสง F1.6 มาพร้อมกับ LED Flash รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K 24/30/60 FPS, Full HD 30/60/120/240, Timelaspe ทั้งกลางวันและกลางคืน
- กล้องมุมกว้าง ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล มีค่ารูรับแสง F2.4 มุมมอง120 องศา
- กล้อง Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ซูมได้ 2.5 เท่าแบบ Optical PDAF พร้อมกับระบบ Sensor Shift
- LiDAR Sensor
- กล้องหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
- แบตเตอรี่ ไม่ได้ระบุความจุ แต่รองรับกำลังชาร์จไฟ (18W) รองรับทั้ง ชาร์จไร้สาย (15W)
- ระบบความปลอดภัย สแกนหน้าแบบ Face ID
- สี : Silver, Graphite (จะออกสีทอง), Gold, Pacific Blue
เห็นสเปกทั้งหมดแบบนี้ขอสรุปสั้นๆ ถึงความแตกต่างดังนี้
- iPhone 12 Pro คือร่างของ iPhone 11 ที่ใหญ่และปรับดีไซน์ให้จอบนั้นไม่โค้งในแล้ว แต่ยังคงเอกลักษณ์ของ iPhone รุ่นก่อน iPhone 6
- ชิป Apple A14 ของมันแรงกว่า A13 50%
- 5G ในเวอร์ชั่นสหรัฐ รองรับ mmWave และ Sub-6 ส่วนเวอร์ชั่นขายทั่วโลกรองรับแค่ Sub-6 เท่านั้น
- กล้อง iPhone 12 Pro เปลี่ยนเซนเซอร์หลักอย่างเดียว แต่ iPhone 12 Pro Max เปลี่ยนเซนเซอร์การซูมทำให้ซูมไกลขึ่นอีก 0.5 เท่าและมีเทคโนโลยี Sensor Shift จะขยับเซนเซอร์เองเมื่อมีการภาพสั่นไหว ทำให้ภาพนิ่งขึ้น
- Apple Pro RAW การสร้าง File RAW ใหม่ที่ทำให้สามารถที่จะปรับรายละเอียดภาพมือถือ
- วิดีโอรองรับ HDR Recording ทำให้ภาพที่ออกมาสว่างและยังแก้ไขได้ การมี 5G ทำให้สามารถส่งวิดีโอออกได้อย่างรวดเร็ว
- เพิ่ม MagSafe ระบบแม่เหล็กดูดติดกับวัตถุ และออกแบบให้กับทั้งเคส, ที่ชาร์จและคาดว่ากระเป๋าติดกับ iPhone เป็นต้น ทั้งนี้ส่วนนี้ต้องรอดูราคาอุปกรณ์เสริมกันต่อไป
ส่วนราคาของ iPhone 12 Pro / 12 Pro Max มีดังนี้
- iPhone 12 Pro เริ่มต้น 999 ดอลล่าร์ หรือประมาณ 31,xxx บาท ถ้าแยกย่อยมีดังนี้
- 128GB = 999 ดอลล่าร์สหรัฐฯ หรือ 31,xxx บาท
- 256GB = 1,099 ดอลล่าร์สหรัฐฯ หรือ 34,xxx บาท
- 512GB = 1,299 ดอลล่าร์สหรัฐฯ หรือ 40,xxx บาท
- iPhone 12 Pro Max เริ่มต้น 1,099 ดอลล่าร์ หรือประมาณ 34,xxx บาท และแยกย่อยมีดังนี้
- 128GB = 1,099 ดอลล่าร์สหรัฐฯ หรือ 34,xxx บาท
- 256GB = 1,199 ดอลล่าร์สหรัฐฯ หรือ 37,xxx บาท
- 512GB = 1,399 ดอลล่าร์สหรัฐฯ หรือ 43,xxx บาท
เริ่มเปิดจองกันในวันที่ เริ่มเปิดจอง 16 ตุลาคม และวางจำหน่าย 23 ตุลาคมนี้ ทั้งนี้ราคาในประเทศไทยอาจจะมีการเปลี่ยนจากนี้ให้รอติดตามกันต่อไป
ในความเห็นจากทีม Sanook Hitech แล้ว iPhone 12 Pro / 12 Pro Max เป็นมือถือระดับโปรที่ ใครเป็นคนชอบถ่ายภาพ หรือ ถ่ายวิดีโอ ก็ควรจะไปลองสักครั้ง โดยเฉพาะ iPhone 12 Pro Max ที่ครั้งนี้มีลูกเล่นที่มากขึ้นกว่าเดิม จนทำให้น่าสนใจ แต่ทั้งนี้ราคาของมันนั้นไม่ได้แตกต่างจาก iPhone 11 เดิมสักเท่าไหร่
แต่ถ้าใครบอกว่า 12 Pro Max ใหญ่ไปการเลือก iPhone 12 Pro แทนก็ยังคงเป็นคำตอบที่ดีอยู่ครับเพราะถ่ายทอดลงมาเยอะ แต่สิ่งที่ไม่มีคือ Sensor Shift เท่านั้นเอง อาจจะแก้ปัญหาด้วยการติด Gimbal แทนถ้าอยากจะได้ภาพที่นิ่งนะครับ สุดท้ายติ้งไปคิดดูกันเองว่าจะเอา iPhone รุ่นไหนเพราะปีนี้มาแบบ Top Form และต้องลุ้นราคาเมืองไทยและผู้ให้บริการทั้งหลายด้วยเช่นเดียวกันครับ
อัลบั้มภาพ 61 ภาพ