Fitbit OS 5.1 เฟิร์มแวร์ใหม่ล่าสุดที่ช่วยอัพเกรดความสามารถในการดูแลสุขภาพ
พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ให้ผู้ใช้ Fitbit Sense และ Versa 3 สะดวกสบายยิ่งขึ้น เพิ่มวีธีแทรค SpO2 ที่หลากหลายยิ่งขึ้น รองรับการสั่งงานด้วยเสียงให้สามารถโต้ตอบโดยใช้เสียงได้ผ่าน Alexa รวมไปถึงรองรับการโทรศัพท์ผ่านบลูทูธ
Fitbit เปิดให้ผู้ใช้งานสามารถดาวน์โหลดซอฟท์แวร์ OS 5.1 ได้แล้ว เพื่อเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการดูแลสุขภาพ และเพิ่มฟีเจอร์ให้ผู้ใช้ Fitbit SenseTM และ Fitbit Versa 3TM ได้รับความสะดวกมากยิ่งขึ้น การอัพเดตครั้งนี้ได้เพิ่มวิธีแทรค SpO2 ที่หลากหลายยิ่งขึ้น[1] และยังมาพร้อมการสั่งงานด้วยเสียงที่ตัวเครื่อง รองรับการโทรศัพท์ผ่านบลูทูธⓇ[2] และการโต้ตอบโดยใช้เสียงผ่าน Alexa
“นอกจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 (COVID-19) ที่ยังคงดำเนินต่อไป และยังเข้าสู่ฤดูหนาวซึ่งจะทำให้พบผู้ป่วยที่มีอาการไข้หวัดได้ง่ายยิ่งขึ้น ทำให้การดูแลสุขภาพและการตรวจเช็คสุขภาพในทุกวันมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น”
เจมส์ พาร์ค ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานกรรมการบริหารของฟิตบิทกล่าวว่า “Fitbit Sense และ Fitbit Versa 3 คือสมาร์ทวอทช์ที่ทันสมัยที่สุดที่ฟิตบิทมีมา และเป็นส่วนสำคัญในการช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าถึงข้อมูลทางกายภาพ จิตใจ และสุขภาพโดยรวมได้ทุกที่ทุกเวลา ซึ่งเรามุ่งมั่นที่จะช่วยส่งต่อข้อมูลเหล่านี้เพื่อให้คุณเข้าใจและดูแลในสุขภาพและความเป็นอยู่ได้ดียิ่งขึ้น”
การเรียกดูค่า SpO2 บนแผงหน้าปัดวัดค่าสุขภาพ[4] อาจช่วยให้คุณทราบถึงการเปลี่ยนแปลงด้านร่างกายและสุขภาพได้ทันท่วงที อย่างความเครียดหรืออาการเหนื่อยล้าที่มากขึ้น สัญญาณบ่งบอกถึงปัญหาในระบบทางเดินหายใจ หรือแม้กระทั่งสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การอยู่ในที่สูงหรือคุณภาพอากาศผิดปกติ ทำให้ผู้ใช้งานได้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพผ่านค่า SpO2 ได้ตลอดเวลา
ฟิตบิทได้ยกระดับการใช้งาน SpO2 ให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยผู้ใช้ Fitbit Sense และ Fitbit Versa 3 ที่สมัครสมาชิก Fitbit Premium สามารถเข้าถึงข้อมูลระดับออกซิเจนในเลือดขณะนอนหลับผ่านแอป Fitbit โดยที่ไม่จำเป็นต้องตั้งค่าใช้งานหน้าปัด SpO21 และยังสามารถเรียกดูข้อมูลอย่างรวดเร็วผ่านหน้าปัดนาฬิกา พร้อมยังมีการเพิ่มหน้าปัด SpO2 อีก 7 หน้าปัดในแอปแกลเลอรีภายในปี 2563 ซึ่งผู้ใช้งานกว่าล้านคนสามารถดาวน์โหลดหน้าปัด SpO2 ได้จากแอปแกลเลอรีนับตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา
ความสะดวกสบายและการเชื่อมต่อที่ไม่มีสะดุดจากสมาร์ทวอทช์บนข้อมือคุณ
นอกจากนี้ ฟิตบิทได้ยกระดับการใช้งานโดยเพิ่มความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ด้วยการเพิ่มฟังก์ชั่นสั่งงานด้วยเสียงผ่าน Alexa บนสมาร์ทวอทช์ทำให้การเชื่อมต่อไร้รอยต่อมากยิ่งขึ้น[5]
ผู้ใช้ Fitbit Sense และ Fitbit Versa 3 สามารถใช้งานโทรศัพท์ผ่านระบบบลูทูธได้[6] ด้วยไมโครโฟนและลำโพงบนตัวเครื่อง และยังสามารถปรับเพิ่มลดเสียงจากตัวเครื่องโดยที่ไม่ต้องจับโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เพื่อให้ผู้ใข้งานสามารถเข้าถึงทุกการติดต่อไม่ว่าคุณจะทำกิจกรรมใดอยู่ก็ตาม และผู้ใช้แอนดรอยด์TM สามารถตอบข้อความได้อย่างง่ายดายด้วยการใช้คำสั่งการแปลงเสียงเป็นอักษร
การสมัครใช้งาน Fitbit Premium ช่วยเพิ่มการเข้าถึงข้อมูลด้านสุขภาพมากยิ่งขึ้น
การอัพเดตซอฟท์แวร์ใน Fitbit Sense และ Fitbit Versa 3 ได้เพิ่มฟีเจอร์และข้อมูลด้านสุขภาพสำหรับผู้สมัครใช้งาน Fitbit Premium ภายในช่วง 2 - 3 เดือนที่ผ่านมา โดยได้มีการเพิ่มคอนเทนต์มากมาย อาทิ คลิปสอนออกกำลังกายโดยอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังอย่าง Ayesha Curry
ทั้งยังได้มอบเครื่องมือที่ช่วยสร้างแรงจูงใจ เช่น โปรแกรมการออกกำลังกายและชาเลนจ์ต่างๆ เพื่อช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายทางสุขภาพได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งขณะนี้มีผู้สมัครใช้งาน Fitbit Premium กว่า 500,000 คน โดย Fitbit Premium รองรับการใช้งานกว่า 18 ภาษา ได้แก่ ภาษาดัตช์ ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาเลียน ญี่ปุ่น เกาหลี สเปน สวีดิช ฯลฯ เพื่อเพิ่มศักยภาพให้ผู้ใช้ฟิตบิททั่วโลกได้รับประโยชน์มากขึ้นจากการให้บริการ
ข้อมูลการวางจำหน่าย
Fitbit Sense (11,990 บาท) และ Fitbit Versa 3 (9,190 บาท) มีวางจำหน่ายที่ร้านค้าชั้นนำ อาทิ เอไอเอ, B2S, BB Beyond, ศูนย์การค้าเซ็นทรัล, Dotlife, Jaymart, King Power, Lazada, ศูนย์การค้าเดอะมอลล์ทุกสาขา, Power Buy, Power Mall, ศูนย์การค้าโรบินสัน, Shopee, SuperSport และ TSM.
ฟิตบิทเปิดให้ดาวน์โหลดการอัพเดตซอฟท์แวร์ OS 5.1 แล้ววันนี้