รีวิว "Huawei MateView" จอคอมพิวเตอร์สุดหรู สเปกอัดแน่น แต่ราคาคุณจับต้องได้
ในการเปิดตัว HUAWEI APAC SUMMER PRODUCT LAUNCH ที่ผ่านมาถือว่าเป็นงานใหญ่ที่สุดของ Huawei ที่มีการเปิดตัวทั้งหมดหลากหลายมากมายรวมถึงหน้าจอ Huawei MateView เปิดตัวทั้งหมด 2 รุ่นด้วยกันได้แก่ Huawei MateView GT สำหรับคนเล่นเกม และ Huawei MateView ขนาด 28.2 นิ้วที่ทีม Sanook Hitech ได้รับมาทดลองใช้งานให้ได้รับชมกันครับ
ภายในกล่องมีอะไรบ้าง
- หน้าจอ Huawei MateView
- ปลั๊กสำหรับเสียบไฟเลี้ยง หน้าจอ
- สาย USB-C to USB-C
- สาย Mini Display To Display Port
- คู่มือ / ใบรับประกัน
รูปลักษณ์ดีไซน์ของ Huawei MateView
เริ่มต้นกับหน้าจอของ Huawei MateView จะเป็นแบบ IPS LCD มาพร้อมกับอัตราส่วน 3:2 เท่ากับจอจะไม่ได้กว้างสักเท่าไหร่ แต่เน้นเรื่องของความสูงและมีพื้นทีมากพอสมควร พร้อมกับความละเอียด 4K+ หรือ 3840x2560 พิกเซล และใต้หน้าจอจะมาพร้อมกับ Smart Bar ที่มีการเลื่อนซ้ายและขวาได้ด้วย
ใต้ของหน้าจอจะมีลำโพงที่ออกแบบให้ให้อยู่ในก้านและเป็นลำโพงคู่ให้เสียงที่ดังใช้ได้ และมาพร้อมกับไมโครโฟนทั้งหมด 2 จุดมีการจับระยะไกลสุด 4 เมตร ศักยภาพไว้เล่าในการลองต่อไป และถัดลงมาจะเป็น NFC ไว้สำหรับต่อเชื่อมกับหน้าจอแบบ Wireless ผ่านเทคโนโลยี OneHop แตะครั้งเดียวแสดงผลได้ทันที
พลิกมาทางขวาหน้าจอมี USB-A ทั้งหมด 2 ช่อง, ช่องเสียบหูฟัง / ไมโครโฟน และ USB-C สำหรับเสียบกับคอมพิวเตอร์ที่รองรับ หรือ จะเสียบชาร์จมือถือก็ได้เช่นเดียวกัน และปุ่มปิด / เปิด หน้าจอ
ด้านหลังของหน้าจอจะมีช่องเสียบ HDMI, Mini Display Port และ USB-C สำหรับเสียบชาร์จไฟกำลัง 135W ที่ติดมาให้ในกล่องเท่านั้น
ตัวก้านของเครื่อง จะมีความเพรียวบางและมาพร้อมกับการเลื่อนขึ้นและลงได้ปรับความสูงได้ระดับ 110 เมตร และปรับก้มและเง้ยได้ระดับ -5 องศา – 18 องศา
ดังนั้นภาพรวมการออกแบบผมถือว่าหน้าจอรุ่นนี้ผ่านเลยครับ สวยหรูดูดี และดูเหมือนกับคอมพิวเตอร์ All in One ชั้นดีอย่าง iMac ของค่าย Apple เลยครับ และยังสามารถปรับยกขึ้นสูงหรือปรับองศาตามการมองได้
เปิดหน้าจอทดลองใช้งาน
ก่อนอื่นเรามาดูสเปกหน้าจอแบบคราวๆ ว่ามีความสามารถอะไรกันบ้างดีกว่า
- ขนาดของหน้าจอ 608.36 x 591.12 x 182 มิลลิเมตร
- น้ำหนักของหน้าจอ 6.2 กิโลกรัม
- สีสันของหน้าจอ Mystic Sliver
- ชนิดหน้าจอ : IPS LCD Refresh Rate 60Hz พร้อมกับค่าแสดงสี DCI-P3, sRGB เดลต้าE
- ความละเอียดสูงสุด 3840x2560 พิกเซล (4K+)
- ระบบเสียง : ลำโพงคู่ 2 ตัวให้กำลังขับข้างละ 5W
- ไมโครโฟน : DMIC 2 ตัวรองรับเสียงไกลสุด 2 เมตร
- การเชื่อมต่อไร้สาย Wi-Fi 802.11 B/G/N/AC รองรับ WLAN เฉพาะการฉายแบบ HDS-CBA, Bluetooth 5.1 Huawei Share
- Port ที่รองรับ
- USB-A 2 ช่อง
- USB-C 2 ช่อง (เฉพาะปลั๊กไฟ 135W 1 ช่อง | เสียบแสดงผลข้อมูล 1 ช่อง จ่ายไฟ 65W)
- HDMI 2.0 1 ช่อง
- Mini Display Port 1 ช่อง
ฟังก์ชั่นที่น่าใช้ของ Huawei MateView
หน้าจอของ Huawei MateView นั้นถือว่าเป็นความสะดวกที่จัดมาให้เต็มเพราะว่ามีทั้งหมดหลายช่องไม่ว่าจะเป็นทั้งในเรื่องต่างๆ เช่น
การเชื่อมต่อ
- USB-C (ใช้จากด้านข้างหน้าจอ) ถ้าต่อกับคอมพิวเตอร์ อย่าง Huawei Matebook จะสามารถใช้ประโยชน์จาก USB-A, ช่องเสียบหูฟังได้เลย แถมยังชาร์จไฟกลับไปให้ในกำลัง 65W
- HDMI 2.0 ด้านหลังที่จะออกเสียงมาให้ด้วย แต่ว่าจะไม่สามารถใช้งานช่อง USB-A และ USB-C ได้
- Mini DP หรือ Mini Display Port ที่ให้มาจะทำให้การแสดงผลตอบสนองได้ดีกว่า
- NFC ทำงานรวมกับ Huawei Share จะทำงานกับมือถือระบบปฏิบัติการ EMUI 10.1 ทำให้เกิดหน้า Desktop Mode (โหมดแสดงผลหน้าจอแบบเดียวกับคอมพิวเตอร์) หรือ Mirror Mode (แสดงหน้าจอมือถือขึ้นไปเฉยๆ) ก็ได้
- Wireless Projector ที่สามารถต่อหน้าจอแบบไร้สายได้ด้วย
การแสดงผลหน้าจอ
อย่างที่เห็นจากสเปกไปทั้งหมดนห้าจอของ Huawei MateView ขนดาหน้าจอ 28.2 นิ้ว ให้ความละเอียดสูงมากถึง 4K หรือ Ultra HD+ โดยให้สีสันทั้งหมด 1.07 พันลานสีให้สีสันในครบและรองรับค่าการแสดงสีครอบคลุมได้แบบ DCI-P3 แบบ 98% และให้สีสันแม่นยำแบบ DeltaE<2
แต่ว่าเรื่องจอของอัตราส่วน 3:2 นั้นก็ให้การแสดงผลเนื้อหาที่มากขึ้นถึง 18.5% ทำให้เปิดเอกสารและแก้ไขวิดีโอและเห็น Track เพลงได้มากขึ้น และยังมีฟีเจอร์ถนอมสายตาในแบบ Low Blue Light Technology และยังลดโอกาสเกิดภาพสั่นไหว หรือ Flicker Free ทั้งหมดได้รับรองจาก TUV Rheinland
เห็นแบบนี้ทุกอย่างดูดีไม่น้อย แต่ว่าสิ่งที่อาจจะเป็นจุดอ่อนของ MateView คือถ้าเอาหน้าจอแบบ 16:9 มาต่อ ถ้าไม่ได้ปรับค่า การแสดงผลจะเพี้ยน แค่เปลี่ยนรูปแบบเป็น 3:2 แค่นี้ก็แก้ปัญหาได้แล้วครับ (แต่เฉพาะอุปกรณ์นะที่ปรับได้) แล้วถ้านำหน้าจอรุ่นนี้มาใช้เล่นเกม เท่าที่ได้สัมผัสนั้น ถือว่าตอบสนองได้ดีอยู่ แต่อาจจะได้ค่า Refresh Rate ที่น้อยไปหน่อย เพราะมันทำได้แค่ 60Hz เท่านั้นถ้าเป็นการเล่นเกมพอใช้ได้แต่ถ้าใครต้องการค่า Refresh Rate ที่ไวกว่านี้ ขอแนะนำว่าซื้อ Huawei MateView GT จะเหมาะสมกว่าครับ แต่ถ้าสายตัดงานและต้องการสีแม่นยำ ต้องตัวนี้ครับ
ระบบเสียง
ส่วนลำโพงของเครื่องที่ติดตั้งอยู่ที่ก้านเท่านั้นโดยมีขนาด 5W และให้ทั้งหมด 2 ลูกมาพร้อมกับ Amplifier มาให้ทำให้เสียงออกมาค่อนข้างดี แต่เนื่องจากเท่าที่ทดลองฟังแล้ว อย่าคาดหวังแบบลำโพงตัวแยก เพราะจริงๆ แล้วตัวนี้ก็ให้คุณภาพเสียงที่ดีใช้ได้อยู่แล้ว แต่อาจจะเบสไกลไปหน่อย ภาพรวมคือดูหนังสนุก แต่การฟังเพลงนั้นลักษณะของ Stage จะห่างไกลไปหน่อย ซึ่งเป็นลักษณะของลำโพงหน้าจออยู่แล้ว แต่สิ่งที่ชื่นชมคือ เสียงใสและยังมีรายละเอียดอยู่ครบ ด้านไมโครโฟนฝั่งกับตัวเครื่องทำให้เก็บรายละเอียดที่ออกมานั้นค่อนข้างคมชัดและเก็บระยะไกล แต่ตัวลำโพงทำงานร่วมกับ Mini Display Port และ HDMI แต่ว่าถ้าเป็น USB-C นั้นจะทำงานทั้งลำโพง และ ไมโครโฟนในหน้าจอครับ
การสั่งงานของหน้าจอ
สำหรับหน้าจอรุ่นนี้มีการสั่งงานผ่าน Smart Bar เพียงแค่แตะเบาๆ ก็สามารถเข้าถึงระบบการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ เพราะหน้าจอเองสามารถต่อเชื่อมอินเทอร์เน็ตได้และสามารถเชื่อมต่อกับ Keyboard Bluetooth และ Mouse ได้เช่นเดียวกัน และนอกจากนี้ยังสามารถเลือกปรับแต่งได้ตามใจคุณ แต่ว่าสิ่งที่ผมพบเจอและต้องบอกคุณคือ การสัมผัส Smart Bar ต้องค่อยๆ แตะแบบแผ่วเบา เพราะปุ่มมันค่อนข้างไวครับ ส่วนนี้ยังสามารถปรับระดับเสียงด้วยครับ และนอกจากนี้ยังสามารถตั้งค่าหน้าจอผ่าน Apps Huawei AI Lite จะสามารถตั้งค่า Wi-Fi ได้
สรุปหลังจากทีม Sanook Hitech ทดลองใช้งาน Huawei MateView มาสักระยะเวลาหนึ่ง
เรียกได้ว่าการออกแบบของหน้าจอรุ่นนี้จะมาพร้อมกับสเปกที่เรียกได้ว่ามาเต็ม เพื่อคนทำงานด้านมัลติมีเดียและทำงาน เวลาพักก็สามารถชมภาพยนตร์สุดโปรดของคุณได้ในจอเดียว แถมยังต่อกับอุปกรณ์ได้หลากหลายเสียบทุกอย่างในเวลาเดียวกันด้วยครับ อาจจะมีเรื่องขัดใจคือ อัตราส่วน 3:2 ที่อุปกรณ์บางอย่างอาจจะไม่รองรับเท่านั้นเอง
ส่วนราคาของ Huawei MateView นั้นอยู่ที่ 22,990 บาท และช่วงแรกของการขายก็ยังมีการแถม รับฟรี HUAWEI FreeBuds 3i มูลค่า 3,290 บาท โดยสามารถเป็นเจ้าของได้ที่ HUAWEI Experience Store และช่องทางออนไลน์ ได้แก่ HUAWEI Store และร้านค้าอย่างเป็นทางการของหัวเว่ยที่ Lazada และ Shopee
ดังนั้นสรุปกับการทดลองใช้งาน Huawei MateView 28.2 นิ้วตัวนี้คือ หน้าจอทรงเดียวกับ iMac แต่ราคาถูกกว่าหลายเท่าและสเปกของเครื่องเรียกได้ว่าถ้าใส่ CPU มันก็คือ All in One PC ดีๆ นี่เองครับ
สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถกดดูได้ที่นี่
จุดเด่น
- หน้าจอให้สีสันที่สวยและความละเอียดสูง
- สีสันของหน้าจอคมชัดและรองรับได้หลากหลาย
- รองรับ HDR400 มาตรฐานใหม่
- มีลำโพงมาให้ด้วย
- ต่อทุกอย่างง่ายแค่ USB-C ช่องเสียบก็ต่อได้
- รองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สายผ่าน Wi-Fi
- หน้าจอรองรับการทำงานของ Keyboard และ เมาส์แบบ Bluetooth
- ปรับก้มและเงย สูงต่ำได้
- ดีไซน์สวยนึกว่าคอมพิวเตอร์ราคาแพง
ข้อสังเกต
- เมื่อต่อแบบ Wireless พบว่าไม่มีระบบปรับสัดส่วนหน้าจออัตโนมัติ ทำให้การแสดงผลบางอย่างที่ไม่ได้รองรับอัตราส่วนแบบเดียวกับหน้าจอ จะผิดเพี้ยน
- USB ที่ตัวเครื่องจะทำงานก็ต่อเมื่อหน้าจอต่อกับ USB-C ด้านข้างตรงเข้ากับคอมพิวเตอร์
- ปุ่ม Touch ในการสั่งงานค่อนข้างไวต้องค่อยๆ ปรับตามความคุ้นชิ้น