รีวิว SteelSeries Prime, Prime + และ Prime Wireless อุปกรณ์เล่นเกมที่สายเกมไม่ควรพลาด
กลับมาพบกับรีวิวจากทีม Sanook Hitech กันอีกครั้งในครั้งนี้ทีมได้รับอุปกรณ์เสริมจาก SteelSeries อีก Brand ที่มีความดังในเรื่องของ Gaming Gear หรืออุปกรณ์สำหรับเล่นเกม โดยรอบนี้ทีมได้รับเมาส์ในตระกูล Prime Series ที่มีความโดดเด่นไม่เบาเลยครับ มาดูกันว่าแต่ละรุ่นมีความโดดเด่นอย่างไร
แกะกล่อง SteelSeries Prime และ Prime + ประกอบด้วย
- เมาส์ SteelSeries Prime, Prime+
- สาย Micro USB (เฉพาะ Prime และ Prime+)
- คู่มือการใช้งาน
สำหรับ SteelSeries Prime Wireless จะมีความแตกต่างที่
- เมาส์ SteelSeries Prime Wireless
- USB-C Dongle สำหรับรับสัญญาณ
- Adapter แปลงระหว่าง Dongle USB-C เพื่อเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ที่ไม่มี USB-C
- สาย USB-C to USB-A
- คู่มือใช้งาน
รูปลักษณ์ดีไซน์ของ Series Prime Series
เริ่มต้นกับส่วนหน้าที่คุณจะได้เห็นคือหน้าตาทั้งหมดนั้น เหมือนกันเลยครับ โดยไฟเรืองแสงที่ Scrolling ตรงกลาง โดยสามารถปรับแต่งผ่าน โปรแกรม SteelSeries GG ที่สามารถดาวน์โหลดได้ จากเว็บไซต์ของ SteelSeries พร้อมกับปุ่มกดด้านข้างที่มีความแม่นยำสูง และน้ำหนักรวมถึงเสียงที่กดถือว่าแน่นกำลังดีไม่หลวมเลยครับ
เมาส์ออกแบบให้เวลาจับแล้วจะเหมาะกับคนมือขวามากกว่าเพราะว่าปุ่มทางขวานั้นออกแบบให้โค้งลงไปทางขวาเมื่อจับแล้วพบว่ามีขนาดกำลังดีเมื่อเทียบกับเมาส์ในเกรดของ Gaming แต่ถ้า เป็นคนที่ใช้งานทั่วไปก็จะบอกว่า มันใหญ่และอูมไปหน่อย และด้านหน้าที่คุณเห็นก็จะเห็นโลโก้ SteelSeries
ด้านหลังที่หันตรงข้ามในรุ่น Prime และ Prime+ จะเป็นช่องเสียบ Micro USB แต่ถ้าเป็น Prime Wireless จะเป็น USB-C ไว้สำหรับเสียบตรงหรือชาร์จไฟนั่นเอง
ฝั่งซ้ายจะมีปุ่ม Command ที่เราสามารถตั้งค่าเพิ่มเติมได้ ผ่าน โปรแกรม SteelSeries GG เช่นเคย
ใต้เมาส์ถ้าสังเกตได้ว่า แผ่นรองจะเป็นสีดำเกือบทั้งหมด ยกเว้นรุ่น Prime Wireless ที่จะเป็นสีขาว เพราะมีการเปลี่ยนเป็นวัสดุ Pure PTFE ที่ป้องกันการลื่นได้ดีกว่าและทำให้ประสิทธิภาพในการเคลื่อนตัวของเมาส์ได้ดี
แต่ยังไม่หมดครับเพราะยังมีปุ่ม On Board Customization ปรับการตั้งค่าต่างๆผ่านเมาส์ได้เลย แต่สำหรับรุ่น Prime Wireless จะมีปุ่มเปิดและแผ่นรองจะเป็นสีขาว เพิ่มเข้ามา
ภาพรวมการออกแบบ
เป็นเมาส์หน้าตาธรรมดาที่ไม่ต้องมีไฟเยอะไม่เยอะทำให้ไม่รบกวนสายตาเวลาเล่นเกม และยังมีน้ำหนักเบาเพราะว่าถ้ารุ่น Prime จะมีน้ำหนัก 6 กรัมเท่านั้น ถือว่าเบามากเลยครับ และยังจับได้ถนัดมือ สำหรับคนมือใหญ่แต่ถ้าคนที่เอามาทำงานเมาส์ตัวนี้อาจจะใหญ่ไปหน่อยครับ จับแล้วไม่ถนัดมือเท่าไหร่
เสียบปลั๊กลองใช้งาน SteelSeries Prime Series
ในส่วนนี้ทีมของเจาะรายละเอียดลงเฉพาะ SteelSeries Prime Wireless เพราะเป็นรุ่นที่น่าสนใจที่สุด แต่สเปกของรุ่นที่เหลือพูดเลยว่าไม่ได้แตกต่างกันมา เรามาเริ่มจากการจะเริ่มใช้งาน ถ้าเป็น SteelSeries Prime และ Prime+ แค่ต่อสาย Micro USB แล้วต่อกับคอมพิวเตอร์ เท่านั้นก็เรียบร้อย
แต่สำหรับรุ่น Prime Wireless จะต้องต่อ Wireless Dongle เข้ากับคอมพิวเตอร์ ถ้าเครื่องไหนไม่มีช่องเสียบ USB-C สามารถ เสียบผ่านตัวแปลงที่ให้มาในกล่องจะได้ความยาวประมาณหนึ่งและเสียบกับคอมพิวเตอร์ด้วย USB-A ปกติ ได้ทันที
การส่งสัญญาณนั้นมีการรบกวนที่น้อยเพราะว่ามีการเลือกใช้เทคโนโลยี Quantum 2.0 Wireless จะมีการหาคลื่นความที่ถือว่าและมีการแบ่งการจับคลื่นความถี่ว่าอยู่อัตโนมัติ ทำให้เมาส์ไม่มีการหายของสัญญาณเลยครับ โดยความถี่ของเมาส์รุ่นนี้ใช้คือ 2.4GHz ซึ่งมีความเสี่ยงที่อาจจะไปตีกับอุปกรณ์ภายในบ้านของคุณได้หลากหลายตัวเลยครับ การมีเทคโนโลยีนี้ทำให้คลายความกังวลไปได้เยอะเลย
เทคโนโลยีของปุ่ม / เซนเซอร์ในการควบคุมเมาส์
ปุ่มกดทั้ง 3 รุ่นใช้เทคโนโลยีการออกแบบที่เรียกว่า Prestige OM ปุ่มดังกล่าวนั้นจะมีการจับเรื่องการแรงกดได้ดี หลังการทำงานนั้นง่ายมากครับ มันจะมีสปริงจับเรื่องการกด ยึดกับแม่เหล็กนีโอไดเมียม ที่สร้างความแม่นยำในการกด และทำให้แรงกดมาสม่ำเสมอ โดยปุ่มจะทำงานร่วมกับ IR LED ช่วยตรวจสอบความเร็ว ส่งสัญญาณกลับไปยัง IR Sensor ทำให้เกิดคำสั่งที่ถูกต้อง
สำหรับความละเอียดของเซนเซอร์นั้นต้องแยกออกเป็น 2 รุ่นด้วยกันได้แก่
- Prime และ Prime+ จะใช้เซนเซอร์ TRUEMOVE PRO / PRO+ ที่มาพร้อมกับการตอบสนองที่ดีกว่าเมาส์เล่นเกมของค่ายอื่นถึง 2 เท่า โดยรองรับค่า CPI สูงสุดที่ 18000 CPI ทั้งหมดทำงานได้ดีผ่านสาย Super MESH Cable แบบ Micro USB แต่มีความยาวแค่ 2 เมตรเท่านั้น
- Prime Wireless จะใช้เซนเซอร์แบบ TRUEMOVE AIR ที่ให้ความแม่นยำกว่าเมาส์เล่นเกมทั่วไปถึง 3 เท่าและมีขนาดเล็กทำให้สามารถเลื่อนและปรับเปลี่ยนค่าได้รวดเร็วมากขึ้น
โปรแกรม SteelSeries GG
สำหรับโปรแกรมที่ไว้เชื่อมต่อกับเมาส์และปรับต่างค่าของ SteelSeries คงไม่พ้นโปรแกรมชื่อว่า SteelSeries GG ที่ไม่มีความซับซ้อน เพราะในนั้นมีการนำเสนอข่าวสารเกม และสิทธิพิเศษของสมาชิกที่สมัครของ SteelSeries
และยังสามารถปรับตั้งค่าเมาส์ได้มากมายไม่ว่าจะเป็น
- ค่าความละเอียด CPI
- การหลับระหว่างไม่ได้ใช้งานเพื่อประหยัดพลังงาน
- Dim แสงไฟที่ปุ่ม Scrolling
- โหมด High Efficency Mode โหมดนี้จะปรับการทำงานเพื่อให้ประหยัดพลังงาน
- สามารถปรับค่าความละเอียด
- และการปรับ Polling Rate หรือค่าตอบสนองการใช้ในการเลื่อนเมาส์นั่นเอง
- ตั้งค่าปุ่มกดทั้งหมด 6 ปุ่ม
- และตั้งค่าไฟเรืองแสงสามารถกำหนดเปลี่ยนสีได้ด้วย
แต่ถ้าไม่ได้ลงโปรแกรมและอยากปรับค่า สามารถกดปุ่มใต้เมาส์เลือกได้ถึง 5 ระดับด้วยกันครับ
แบตเตอรี่ / ระบบการชาร์จไฟ
ส่วนเรื่องอายุแบตเตอรี่ของ Prime Wireless จะสามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง 100 ชั่วโมง เมื่อใช้ค่าความละเอียดที่ 1000 dpi แต่ถ้าใช้มากกว่านี้ก็จะลดลง อย่างไรก็ตามการชาร์จไฟสามารถทำได้แค่เสียบ USB-C ใช้เวลาแค่ 15 นาทีก็สามารถใช้เล่นเกมได้อย่างต่อเนื่อง 40 ชั่วโมงได้ แต่ถ้าชาร์จไฟให้เต็ม จะใช้เวลา 30 นาที เท่านั้น
Prime, Prime Wireless กับ Prime + แตกต่างกันอย่างไร
ก่อนที่จะพูดถึงข้อสรุปทั้งหมด ขอพูดถึงความแตกต่างที่ StreelSeries Prime+ ที่ไม่เหมือนใครก็เพราะจะมีเซนเซอร์ Lift Off Sensor ส่งผลให้การตอบสนองในเรื่องการยกและวางเมาส์ในการ Curser แกนไวทำได้ดีและเสถียรนั่นเอง เป็นรุ่นเดียวที่มี เพราะที่เหลือทั้ง Prime / Prime Wireless จะไม่มีเซนเซอร์ดังกล่าว
สรุปหลังจากทีม Sanook Hitech ได้ทดลอง SteelSeries Prime ทั้ง 3 รุ่น
จากที่ได้ลองใช้งาน SteelSeries Prime Series ทั้งหมด 3 รุ่น ถือว่าเป็นเมาส์เล่นเกมที่มีประสิทธิภาพที่ดีมาก และมาพร้อมกับสเปกที่เรียกได้ว่าดูดีไม่น้อยเลย และมีปุ่มที่กดแล้วแม่นยำ ขนาดเมาส์เหมาะกับคนที่ต้องการใช้เมาส์เล่นเกมจริงๆ ครับ
ส่วนรุ่นไหนจะเหมาะกับใครและราคาจะเป็นอย่างไรขอปิดท้ายด้วยการสรุปดังนี้
- SteelSeries Prime จะเหมาะกับคนที่เริ่มต้นอยากได้เมาส์เกมที่ดีสักตัว ในราคาไม่แพงแต่ได้สเปกครบเครื่อง โดยมีราคาอยู่ที่ 2,690 บาท
- SteelSeries Prime+ จะเหมาะกับคนที่การเมาส์เล่นเกม ที่มีการตอบสนองที่ดี ขึ้นมาในราคา 3,690 บาท
- SteelSeries Prime Wireless จะเหมาะกับคนที่ต้องการเมาส์เล่นเกมที่เป็นแบบไร้สายไม่มีอะไรซับซ้อนไม่ต้องต่อ Bluetooth ชาร์จไฟได้เร็วมากและใช้งานได้นานในราคาของเครื่อง 4,990 บาท
ทั้งหมดนี้สามารถหาซื้อได้ที่ตัวแทนจำหน่ายของ SteelSeries และร้านค้า IT ชั้นนำทั่วประเทศครับ