[Hands On] Samsung Galaxy Watch4 สมาร์ทวอทช์รุ่นใหม่ ดีไซน์สวยอัดแน่นด้วยฟีเจอร์ด้านสุขภาพ
หลังจากที่เราดูสมาร์ทโฟนกันไปแล้ว ในครั้งนี้ Samsung ได้มีการเปิดตัวสมาร์ทวอทช์รุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Galaxy Watch 4 รุ่นใหม่ด้วยเช่นกัน แม้จะไม่ได้เป็นพระเอกของงานแต่สมาร์ทวอทช์อย่าง Galaxy Watch 4 ก็สามารถเรียกความสนใจคนรักสุขภาพได้ไม่น้อยเลยครับ วันนี้เราจะพาคุณไปชมสัมผัสแรกกันว่าจะเป็นอย่างไร
- [Hands On] Samsung Galaxy Buds2 หูฟังน้องเล็กตัวใหม่ เด็ดที่ใส่ ANC มาให้ด้วย
- [Hands On] ครั้งแรกกับ "Samsung Galaxy Z Flip3" มือถือพับได้สุดแนวมีให้เลือกหลากสีสัน
- [Hands On] Samsung Galaxy Z Fold3 มือถือพับได้ที่ดีที่สุดแห่งปี กับการใช้ปากกาและกันน้ำได้
รูปลักษณ์ดีไซน์ที่แรกเห็น
เริ่มต้นสิ่งแรกที่เห็นคือหน้าปัดทรงกลมเหมือนกัน โดยสิ่งที่แยกออกชัดเจนระหว่าง Galaxy Watch 4 และ Galaxy Watch 4 Classic คือ วงแหวนและขอบตัวเครื่องเท่านั้น ถ้ามีขอบวงแหวนและดีไซน์ดูพรีเมี่ยมกว่า ก็จะเป็นรุ่น Classic และหน้าปัดของรุ่น Classic จะใหญ่กว่า นั่นเอง
รอบตัวเครื่องยังใช้วัสดุ สแตนเลสสตีล มีปุ่มให้กดใช้งาน โดยรายละเอียดปุ่มต่างๆ นั้นยังเหมือนกับรุ่นที่แล้ว โดยมี 2 ปุ่มทางขวามือ ปุ่มบนจะเป็นการ เข้าเมนูหลัก ปุ่มล่างจะเป็นปุ่มย้อนกลับ หรือกดค้างเพื่อสั่งปิด Smart Watch ได้ทันที อีกฝั่งจะเป็นลำโพงสำหรับฟังสายเรื่องเข้า
พลิกมาด้านใต้ มันเปลี่ยนแปลงชัดเจนมาก เพราะเซนเซอร์ที่ Samsung เรียกชื่อใหม่ว่า Samsung BioActive Sensor มันกลับบางลงทำให้เมื่อใส่ไปแล้วจะไม่มีการกดทับกับข้อมือของคุณ หรือถ้ากดทับก็น้อยมากๆ ทั้งนี้จุดนี้จะสามารถรองรับการจ่ายพลังงานเข้าไปแบบ Wireless Charge กระจกทั้งบนและล่างเป็น Gorilla Glass DX+ แล้ว แข็งแรงแน่นอน ส่วนสายนั้นมีขนาด 20 / 22 มิลลิเมตรแล้วแต่ขนาดของหน้าปัด หาเปลี่ยนได้ง่าย และถอดง่ายกว่าเดิม ไม่ต้องห่วงเรื่องการดูแล
โดยขนาดของ Galaxy Watch4 จะมีขนาด 40 / 44 มิลลิเมตร และ Galaxy Watch 4 Classic ที่ขนาด 42 / 46 มิลลิเมตร
- Galaxy Watch4 = ดำ, เงิน, เขียว(เฉพาะขนาด 44 มิลลิเมตร), Rose Gold (เฉพาะขนาด 40 มิลลิเมตร)
- Galaxy Watch4 Classic = ดำ และ เงิน
ฟีเจอร์ของ Samsung Galaxy Watch 4 ที่จัดว่าเด็ดมาก
Samsung Galaxy Watch 4 ถือว่าเป็นอีก Smart Watch ที่มีการปฏิวัติวงการของ Smart Watch จากค่ายมือถืออย่างมาก เพราะมันรวมครั้งแรกไว้หลายเรื่องไม่ว่าจะเป็น ระบบปฏิบัติการมาพร้อมกับ Wear OS + One UI Watch ที่มีประสิทธิภาพในการทำงานได้ดีมากขึ้น และยังมีระบบการดาวน์โหลด Application อัตโนมัติจากมือถือเข้าสู่มือถือ หากมีดาวน์โหลดแบบเดียวกันด้วยกัน
การเชื่อมต่อนั้นรองรับทั้ง Bluetooth V5.2 LE และบางรุ่นสามารถรองรับ 4G LTE ผ่าน eSIM, และมีเทคโนโลยี Samsung KNOX สร้างความมั่นใจใจการใช้งานขึ้น
การรวมเซนเซอร์วัดสุขภาพ 3 รูปแบบภายในตัวเดียวกัน โดย Samsung เรียกว่า Samsung BioActive Sensor จะรวมทั้งหมด 3 เซนเซอร์ ได้แก่ Optical Head Rate Sensor (PPG) Electrical Heart Rate Sensor (ECG) และ Bioelectrical Impedance Analysis Sensor (BIA) ทั้งหมดอยู่ใต้นาฬิกาทั้งหมด
ยังมีการใส่ระบบวัดมวลร่างกายหรือ Body Composition Analysis ที่สามารถบอกค่าได้มากไม่ว่าจะเป็น
- Skeletal Muscle หรือ มวลกล้ามเนื้อ
- Fat Mass ไขมันช่วงท้อง
- Body Fat ไขมันทั้งร่างกาย
- BMI
- Body Watch ระดับน้ำในร่างกาย
ทั้งหมดนี้ไว้ให้คุณได้พิจารณาว่าการออกกำลังกายของคุณจะไปในรูปแบบไหน และวางแผนได้ง่าย โดยการทำงานง่ายมาก แค่นิ้วไปวางที่ปุ่มทั้ง 2 ปุ่มระบบจะวัดข้อมูลโดยอัตโนมัติเพียง 15 วินาที
นอกจากนี้ในโหมดของการออกกำลังกายก็จะมีตัวช่วยทำให้ออกกำลังกายกับเพื่อนได้สนุกเช่นการทำ Group Challenge และ Fitness Routines แถมยังมีฟีเจอร์การออกกำลังกายผ่าน Smart TV โดยแสดงผลเวลาและการออกกำลังกายผ่านทีวี
ระบบการวัดการนอนที่จับได้หลากหลายพฤติกรรมเช่น Snoring Detection จับการนอนกรนของคุณว่าระยะเวลาเท่าไหร่) Blood Oxygen Tracking วัดระดับ Oxygen ในเลือดระหว่างการนอน และคะแนนการหลับนอนที่แสดงผลละเอียดผ่านทาง Samsung Health และมีการวัดการนอน
การปรับปรุงสำคัญอีกครั้งคือมีการใช้ One UI Watch มาปรับปรุงพร้อมกับรองรับ Apps จากฝั่งของ WearOS ทำให้สามารถรองรับโปรแกรมมากขึ้นและสามารถทำงานร่วมกับมือถือได้มากขึ้นและสามารถติดตั้งโปรแกรมจากมือถือในอัตโนมัติ และ Sync เวลาผ่านมือถือได้ รองรับการสั่งงานทั้ง Bixby Voice / Google Assistant, หมุน, วงแหวน และ Gesture Control มีท่าทางทั้งหมด 3 ท่าทางง่ายๆ เช่น
- โบกมือขึ้นลง 2 ครั้ง = รับสาย
- หมุนข้อมือ 2 ครั้ง = ตัดสาย, ปิดการแจ้งเตือน และการปลุก
- ทำท่าเหมือนเคาะประตู 2 ครั้ง = เลือกคำสั่งเพิ่มเติมได้
นอกจากนี้ยังสามารถทำงานมือถือและ Tablet ได้ลงตัวเช่นฟีเจอร์ Auto Switch ที่สามารถทำงานคล่องไปยังมือถือ Tablet, ควบคุมกับ หูฟัง หรือ Smart Watch หรือจะตั้งค่าหูฟังผ่านทางนาฬิกาได้เลย
ทั้งหมดประมวลผลบนขุมพลังใหม่ที่มีชื่อว่า Exynos W920X ขนาด 5 นาโนเมตร , หน้าจอความละเอียดสูง และความจำเพิ่มขึ้นกว่ารุ่นเดิมถึง 16GB ทำให้ประสิทธิภาพของ CPU แรงขึ้น 20% และมี RAM เยอะกว่าเดิม 50% (1.5GHz และการที่มีพื้นที่เพิ่มขึ้นทำให้ใส่เพลงเข้าไปได้ และแบตเตอรี่ใช้งานได้นาถึง 40 ชั่วโมง รองรับการใช้งานที่นาน และชาร์จไฟแค่ 30 นาที สามารถใช้งานได้ 10 ชั่วโมง
รวบรัดตัดความกับ Samsung Galaxy Watch 4
หากสรุปกันสั้นๆ แล้วเป็นนาฬิกาที่ออกแบบให้เหมาะสมกับคุณมากขึ้นเพราะคุณสามารถใส่ได้ดีเพราะมีความบางเบากว่าเดิม แต่มีการปรับปรุงรายละเอียดจนเรียกได้ว่าน่าใช้ขึ้นกว่าเดิมมากขึ้น
โดยราคาที่เปิดตัวมาก่อนหน้านี้จะเป็นของสหรัฐอเมริกาจะมีดังนี้
- Galaxy Watch4 หน้าปัดขนาด 40 มิลลิเมตร (BLT) ในสีดำและพิงค์โกลด์ วางจำหน่ายในราคา 7,990 บาท (BLT) และหน้าปัดขนาด 44 มิลลิเมตร มาในสีดำและ
สีเขียว ราคา 8,990 บาท (BLT) และ 10,900 บาท (LTE) - Galaxy Watch4 Classic = หน้าปัดขนาด 46 มิลลิเมตร กับตัวเลือกสีดำและ สีเงินสุดหรู ในราคา 11,900 บาท (BLT) และ 13,900 บาท (LTE) ในตัวเลือกสีดำ
เริ่มจำหน่าย 27 สิงหาคม ทั่วโลก ส่วนประเทศไทยรอติดตามกันอีกครั้ง
อัลบั้มภาพ 23 ภาพ