รีวิว Samsung Galaxy Watch4 / Watch4 Classic การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของนาฬิกาจาก Samsung
กลับมาพบกับรีวิวจากทีม Sanook Hitech อีกครั้ง ในรอบนี้ยังอยู่กับ Gadget ของ Samsung อยู่ครับ แต่เรามาพบกับ Smart Watch รุ่นใหม่ล่าสุดของ Samsung Galaxy Watch 4 ทีมได้รับมาคือรุ่น Classic ที่มีการตกแต่งที่สวยงาม มาดูกันว่า มันมีดีอย่างไรและน่าใช้แค่ไหน กับราคาจริงๆ เริ่มต้นที่ 7,990 บาท
แกะกล่องจะประกอบด้วย
- ตัวเรือน Samsung Galaxy Watch4
- สายชาร์จไฟแบบไร้สาย
- คู่มือการใช้งาน
รูปลักษณ์ดีไซน์
เริ่มต้นกับดีไซน์ของรุ่นนี้จะจะคล้ายกับ Samsung Galaxy Watch3 Classic เพราะมีวงแหวนให้เลือกดูหรูหรา ถ้าเป็นรุ่น Galaxy Watch 4 จะไม่มีวงแหวน ต้องเลือนโดยการใช้นิ้วลากไปที่ขอบเหมือนกับ Galaxy Watch Active ทั้ง 2 รุ่นด้วยกัน หน้าจอจะมาพร้อมกับ ขนาดหน้าจอให้เลือกระหว่าง 42 และ 46 มิลลิเมตร ซึ่งทีมได้รับมาเป็นขนาด 42 มิลลิเมตร ส่วน Galaxy Watch จะมีขนาด 40 และ 44 มิลลิเมตร
รอบตัวเรือจะเป็นวัสดุอลูมิเนียมสวยงาม ฝั่งซ้ายจะมีลำโพงตัวเครื่องที่มีขนาดใหญ่ และมีปุ่มสำหรับกดทั้งด้านบนจะเป็นปุ่มเข้าเมนู และด้านล่างจะเป็นปุ่ม Back สำหรับคนที่อยากกดปุ่มเปิดตัวเครื่องให้กดปุ่มด้านบน ถ้าเป็นสีแดงวงแหวนคือ รุ่น LTE ครับ
ส่วนบนสุดของนาฬิกานอกจากสายนาฬิกาแล้ว ยังติดตั้งไมโครโฟนขนาดรูใหญ่เหมือนกันครับ ส่วนล่างไม่ได้ติดตั้งอะไรมาให้
ใต้นาฬิกานอกจากเป็นตัวที่อยู่ของระบบ Wireless Charging แล้วยังมาพร้อมกับเซนเซอร์ใหม่ที่มีชื่อว่า Samsung Bioactive Sensor ซึ่งเราจะมาเจาะลึกอีกครั้ง ส่วนสายนาฬิกานั้นจะเป็นขนาด 20 มิลลิเมตร แต่จะมีขนาดให้เลือกคือ S และไปที่ M/L ให้เลือกไปเลย และสามารถถอดได้โดยกดปุ่มที่ใต้นาฬิกา โดยสายของรุ่น Watch4 นั้นจะใส่แบบนาฬิกาทั่วไป แต่ถ้าเป็น Galaxy Watch 4 จะใส่แบบเดียวล็อสายโดยการม้วนสายเข้าไป
มาตรฐานกันน้ำของ Galaxy Watch 4
สำหรับการกันน้ำของ Samsung Galaxy Watch4 และ Watch 4 Classic จะมาพร้อมกับมาตรฐานกันน้ำ แบบ 5ATM สามารถลงน้ำได้ 10 เมตรเรียกได้ว่าทนทานมาก แต่ลงน้ำเสร็จแล้วถ้าเป็นน้ำทะเลจะต้องแช่น้ำปกติ แล้วก็ขึ้นมากดปุ่มไล่น้ำก่อนครับ
สวมใส่ลองและใช้งานจริง
Samsung Galaxy Watch4 ทุกรุ่นมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Wear OS + One UI Watch ทำให้มันจะดูแปลกตาไปสักหน่อย แต่การใช้งานเหมือนเดิม Galaxy Watch รุ่นก่อน จนกระทั่งเลื่อนขึ้นมาดูเมนูข้างในที่จัดเรียงแบบเดียวกับ Huawei Watch 3 รวมถึง Apple Watch มันเข้าใจง่ายและใช้งานง่ายกว่าแค่แตะลงไปเท่านั้นเอง
ส่วนการใช้งานง่ายโดยการแตะไม่ว่าจะเป็น
- เลื่อนจากบนลงล่างเป็นส่วนการแจ้งเตือน
- เลื่อนไปทางซ้าย = การแจ้งเตือนจากมือถือ
- เลื่อนไปทางขวา = Widget ที่เราได้เลือกไว้สามารถเพิ่มหรือลดได้
ข้อดีของการที่มาใช้ Wear OS คือ Application ของตัว Smart Watch จะมีการใช้งานได้ทั้ง Google Play Store และ Samsung Galaxy Apps Store และให้มือถือติดตั้ง Apps ผ่าน Smart Watch ได้ ทั้งนี้การควบคุม Smart Watch ยังคงอยู่ใน Galaxy Wearable เท่านั้น ไม่ต้องลงโปรแกรมของ Google แต่อย่างใด และใช้งานได้กับมือถือระบบปฏิบัติการ Android เท่านั้น ส่วนมือถือ Samsung จะพิเศษกว่าคือ ฟีเจอร์อย่างการวัดค่าคลื่นหัวใจหรือ ECG จะสามารถใช้งานได้ (เฉพาะมือถือ Samsung ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชั่น 9 ขึ้นไป) ส่วนระบบ eSIM สามารถลงทะเบียนผ่าน Galaxy Wearable บนมือถือได้เลย
นอกจากนี้หากคุณมีการใช้งาน Apps นำทาง ก็สามารถใช้แสดงผลบน Smart Watch ได้เลย และยังสามารถรับสายคุยสายพร้อมกับส่งข้อความไปใน Messenger ได้ด้วยแต่ว่ายังมีข้อจำกัดเรื่องภาษาอยู่บ้าง เพราะภาษาไทยยังไม่รองรับ ต้องรอไปก่อนนะ ยกเว้นแต่จะลองติดตั้ง Gboard สำหรับ Smart Watch ก็จะหมดห่วงเรื่องการพิมพ์ไปได้มาก
ส่วนการ Capture Screen ของนาฬิกาสามารถทำได้ผ่านการกดปุ่มทั้ง 2 ของนาฬิกาพร้อมกันแล้วปล่อย อย่ากดแชร์นะครับ
ฟีเจอร์เพิ่มความสะดวกในการใช้งาน
นอกจากเรื่องของระบบปฏิบัติการที่ว่ามาแล้วในตัว One UI Watch ก็ยังรองรับการเชื่อมต่อกับมือถือช่วยให้ปรับเวลาอัตโนมัติ, รองัรบการสั่งงานผ่าน Bixby Voice หรือ Google Assistant ได้แล้วแต่จะตั้ง และยังมี Gesture Control ทั้งหมด 3 ท่าได้แก่
- โบกมือขึ้นลง 2 ครั้ง = รับสาย
- หมุนข้อมือ 2 ครั้ง = ตัดสาย, ปิดการแจ้งเตือน และการปลุก
- ทำท่าเหมือนเคาะประตู 2 ครั้ง = เลือกคำสั่งเพิ่มเติมได้
และยังไม่หมดครับ เพราะยังมีฟีเจอร์ Auto Switch ควบคุมการทำงานของหูฟัง Samsung Galaxy Buds Live, Buds Pro และ Buds 2 สลับระหว่างมือถือ, Tablet หรือจะตั้งค่าฟังเพลงจาก Smart Watch ได้ ถ้ามีการต่อเชื่อมกับอินเทอร์เน็ต หรือ ใส่เพลงไว้ในเครื่องที่เดี๋ยวนี้มีคนทำแต่น้อยลงแล้ว ทั้งหมดนี้สามารถควบคุมผ่าน Apps Buds ใน Smart Watch
ทั้งหมดนื้ที่ทำได้เพราะขุมพลัง Exynos W920 ขนาดจิ๋วที่ออกแบบให้ทำงานได้อย่างลงตัวและนอกจากนี้ยังให้ความจำภายใน 16GB และ RAM 1.5GB นั่นเอง
รองรับการใช้งานโทรแทนมือถือ
ในบางออฟชั่นของ Samsung Galaxy Watch 4 ติดตั้งระบบ eSIM มาให้คือเราสามารถใช้งานลงทะเบียนและติดตั้งเพื่อให้สามารถใช้งานได้ทันที โดยไม่ต้องไปศูนย์บริการที่ทำได้แล้วคือทุกค่ายที่รองรับจะเป็น AIS, dtac และ Truemove H การลงทะเบียนทำผ่านที่ Apps Galaxy Wearable นั่นเอง
ฟีเจอร์ในการบอกสุขภาพของคุณ
ในเรื่องฟีเจอร์การบอกสุขภาพนั้น Samsung ได้พัฒนาให้มีเซนเซอร์วัดร่างกายตัวใหม่ที่มีชื่อว่า Samsung BioActive มันคือการรวม 3 เซนเซอร์ไว้ภายในประกอบด้วย
- Optical Head Rate Sensor (PPG)
- Electrical Heart Rate Sensor (ECG)
- Bioelectrical Impedance Analysis Sensor (BIA)
ดังนั้นในนาฬิการุ่นนี้ยังมีการเพิ่มฟีเจอร์ดูแลและรายงานสุขภาพของคุณครบไม่ว่าจะเป็น
- ระบบวัดมวลร่างกายหรือ Body Composition Analysis ซึ่งระบบสามารถบอกค่าเกี่ยวกับร่างกายวิธีการคือ ย้ายนาฬิกาให้อยู่เลยจากข้อมือลงไปประมาณ 2 นิ้วใช้นิ้วกลางและนิ้วนางแตะที่ปุ่มของนาฬิกาค้างไว้ 15 วินาทีหรือจนกว่าระบบจะประมวลผลจบ โดยมีการบอกข้อมูลครบทั้ง
- Skeletal Muscle หรือ มวลกล้ามเนื้อ
- Fat Mass ไขมันช่วงท้อง
- Body Fat ไขมันทั้งร่างกาย
- BMI
- Body Water ระดับน้ำในร่างกาย
- SpO2 ระบบวัดค่า Oxygen ในเลือดของคุณที่บอกครบถ้วน
- ระบบวัดการนอนที่มีเซนเซอร์จับพฤติการณ์ได้แก่
- Snoring Detectionจับการนอนกรนของคุณว่าระยะเวลาเท่าไหร่) หลักการทำงานคือ คุณต้องเสียบชาร์จมือถือไว้ข้างเตียงวางแนวราบ ไม่มีอะไรบังไมโครโฟน หลังจากนั้นเปิดโหมดการนอนหลับในนาฬิกาเพื่อให้นาฬิกาช่วยจับการนอน และการแสดงผลจะเป็นคลื่นเสียงใน Application Samsung Health
- Blood Oxygen Tracking วัดระดับ Oxygen ในเลือดระหว่างการนอน และคะแนนการหลับนอนที่แสดงผลละเอียดผ่านทาง Samsung Health ซึ่งทั้งหมดต้องจับแม่นยำขึ้นเมื่อคุณใส่บริเวณใกล้ข้อมือเท่านั้น
- ฟีเจอร์การออกกำลังกายส่วนนี้มีอยู่แล้วแต่จะเพิ่ม Group Challenge และ Fitness Routines แถมยังมีฟีเจอร์การออกกำลังกายผ่าน Smart TV โดยแสดงผลเวลาและการออกกำลังกายผ่านทีวี
- มีฟีเจอร์ ECG และ ฟีเจอร์แจ้งเตือนการล้มมาให้ ทั้งนี้ฟีเจอร์นี้จะทำงานกับ Samsung Galaxy ที่เป็นเวอร์ชั่น Android 9.0 ขึ้นไป
Apps ที่ทำงานร่วมกับ Smart Watch
สำหรับ Samsung Galaxy Watch 4 นั้นจะมี Apps ทำงานร่วมกันทั้งหมด 2 ตัวได้แก่ Galaxy Wearable ไว้ควบคุม Smart Watch สามารถปรับแต่งนาฬิกา, Update Firmware, ติดตั้ง Apps, ตั้งค่าต่างๆ และ Update Firmware ของ Smart Watch ได้ และถ้าอยากดาวน์โหลด Apps เพิ่มสามารถกดได้ที่ Google Play Store ได้เลย
ส่วนอีกตัวคือ Samsung Health เก็บผลทุกอย่างเกี่ยวกับสุขภาพตั้งแต่การออกกำลังกายไปจนถึงการหลับของคุณนั่นเอง
แบตเตอรี่ / ระบบการชาร์จไฟ
ด้วยขนาดแบตเตอรี่ที่ไม่ได้แตกต่างจากเดิมแต่ได้ขุมพลังเล็กลงส่งผลให้การใช้พลังงานนั้นลดลงจากเดิม โดยปกติแล้วในรุ่นที่ผ่านมาจะใช้งานได้ 1 วันหมด แต่ถ้าเป็นรุ่นนี้ ลากต่อไปได้อีก 1 คืนได้อย่างสบาย แต่ถ้ามีการแจ้งเตือนเข้ามาเยอะ ก็จะหมดเร็วเหมือนกัน แต่ Samsung เคลมว่ารุ่นขนาด 44 และ 46 มิลลิเมตรจะใช้งานได้นานสุด 40 ชั่วโมง ถือว่าดีกว่ารุ่นเดิมแล้วล่ะ
การชาร์จไฟนั้นง่ายมาก จะมีแทนสำหรับวางชาร์จไฟทำให้คุณสะดวกในการชาร์จไฟได้ง่ายมากขึ้น ผ่านระบบ Wireless Charging และยังรองรับไฟผ่านมือถือในยามจำเป็นอีกด้วย
สรุปหลังจากทีม Sanook Hitech ทดลองใช้ Samsung Galaxy Watch 4 มาสักระยะเวลาหนึ่ง
เรียกได้ว่าเป็นการกลับมาครั้งยิ่งใหญ่ของวงการ Smart Watch เมื่อ Samsung ไม่ใช้ระบบปฏิบัติการของตัวเองแต่เลือกไปใช้ Wear OS ซึ่งมีความสเถียรและปรับปรุงในแบบของตัวเองทำให้มันเลยดูมีอนาคตที่ดีขึ้นมาพอสมควร แม้สิ่งที่ผมยังรู้สึกหงุดหงิดใจคือ กำลังไฟของแบตเตอรี่ที่ให้มาน้อยพอจะข้ามได้ไม่กี่วันเท่านั้นเอง
แต่นี่ก็เป็นอีก นาฬิกา ที่มีความล้ำในเรื่องฟีเจอร์ไปไกลมากและใช้งานดีขึ้นและลงตัวแล้วสำหรับในตัว Galaxy Watch 4
สำหรับราคาในประเทศไทยมีดังนี้
- Galaxy Watch4 หน้าปัดขนาด 40 มิลลิเมตร (BLT) ในสีดำและพิงค์โกลด์ วางจำหน่ายในราคา 7,990 บาท (BLT) และหน้าปัดขนาด 44 มิลลิเมตร มาในสีดำและ
- สีเขียว ราคา 8,990 บาท (BLT) และ 10,900 บาท (LTE)
- Galaxy Watch4 Classic = หน้าปัดขนาด 46 มิลลิเมตร กับตัวเลือกสีดำและ สีเงินสุดหรู ในราคา 11,900 บาท (BLT) และ 13,900 บาท (LTE) ในตัวเลือกสีดำ และในรุ่น 42 มิลลิเมตรนั้นจะประกาศราคาเร็วๆ นี้
โดยจะเริ่มวางจำหน่ายทั่วโลก 27 สิงหาคม นี้ใครอยากได้กำเงินและรอไว้เลยครับอีกไม่นานเกินรอรับรองได้มาใช้งานบนข้อมือของคุณแน่นอนครับ
จุดเด่น
- ดีไซน์เรียบหรูและใช้งานง่าย
- ดูแข็งแรงกว่าเดิม
- ระบบปฏิบัติการยืดหยุ่นทำงานได้หลากหลาย
- เซนเซอร์บอกสุขภาพเยอะมาก
- มีระบบวัดมวลร่างกาย อันนี้ล่ำจริง
- ทำงานร่วมกับมือถือและหูฟังได้ดีมากขึ้น
- สายมีออฟชั่นให้เลือก
- ราคาถูกลงจนน่าคบหา
ข้อสังเกต
- แบตเตอรี่ยังไม่ถือว่าอึดระดับข้าม 2 -3 วันได้ (ถ้าจะทำให้มันได้ต้องปิดระบบ GPS ออกและ ปิดการแจ้งเตือนบางรายการออกถึงจะได้ถึง 40 ชั่วโมง)
- สายหนังไม่ได้มาเป็นตัวเลือกหลักแล้วซื้อเพิ่มเองนะ
อัลบั้มภาพ 14 ภาพ