ทบทวนก่อนเปิดตัวกับสเปก iPhone 13 ที่จะเผยโฉมคืนนี้คุณจะได้เจออะไรบ้าง?
ใกล้ได้เวลาที่งาน Apple Event ที่มี Theme ว่า California Streaming ที่หลายคนลุ้นกันดีกันว่า iPhone 13 และ Apple Watch จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในคืนนี้
วันนี้ก่อนที่จะพบของจริงรอบนี้ทีม Sanook Hitech จะสรุปให้คุณได้รับชมอีกครั้งสำหรับสเปกของ iPhone 13 ที่จะเปิดตัวในคืนนี้ว่ามันมีรายละเอียดเป็นอย่างไรจากข่าวหลุดก่อนหน้านี้
เริ่มต้นที่ชื่อก่อน
ตั้งแต่ iPhone 8 เปิดตัวแต่ก็ไม่นานมีการเผยโฉมพร้อมรุ่นใหม่อย่าง iPhone X หรือ iPhone Ten ในปี 2017 ทำให้การเรียกชื่อนั้นเปลี่ยนไปเลย โดยเฉพาะการของปี 2018 อย่าง iPhone XS, XS Max และ XR จนมาเปลี่ยนในปี 2019 เป็น iPhone 11, 11 Pro และ 11 Pro Max ถ้าเรียงแล้วจะเป็นดังนี้
- 2007 - iPhone
- 2008 - iPhone 3G
- 2009 - iPhone 3GS
- 2010 - iPhone 4 (เปลี่ยนดีไซน์)
- 2011 - iPhone 4s
- 2012 - iPhone 5 (เปลี่ยนดีไซน์)
- 2013 - iPhone 5s และ iPhone 5c
- 2014 - iPhone 6 และ iPhone 6 Plus (เปลี่ยนดีไซน์)
- 2015 - iPhone 6s และ iPhone 6s Plus
- 2016 - iPhone 7 และ iPhone 7 Plus
- 2017 - iPhone 8, iPhone 8 Plus, และ iPhone X (เปลี่ยนดีไซน์)
- 2018 - iPhone XR, iPhone XS, และ iPhone XS Max
- 2019 - iPhone 11, iPhone 11 Pro, และ iPhone 11 Pro Max
- 2020 - iPhone 12 mini, iPhone 12, iPhone 12 Pro, และ iPhone 12 Pro Max
ดีไซน์ของ iPhone 13
สิ่งแรกที่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงชิ้นสำคัญคือดีไซน์ของ iPhone 13 คือจะมีติ่งที่เล็กลงจากที่เห็นคือ 5.4 นิ้วสำหรับ iPhone 13 Mini, iPhone 13 และ iPhone 13 Pro จะมีขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้ว และ iPhone 13 Pro Max จะมีขนาด 6.7 นิ้วแต่สิ่งที่แตกต่างคือขนาดของติ๊กที่เล็กลงจากเดิมรวมไปถึงว่า iPhone 13 อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงแม่เหล็กให้มีแรงดูดได้ดีมากขึ้น ทั้งนี้อาจจะมีสีทั้ง ดำ, น้ำเงิน, ม่วง, ชมพูและ แดง Product (RED) ส่วน iPhone 13 Pro / 13 Pro Max จะมาพร้อมกับ สีดำ, สีเงิน สีทอง และ สีบรอนซ์ จะออกทองแดง
ส่วนการดีไซน์ของเครื่องจะเป็นแบบเหลี่ยมเหมือนเดิม ส่วนช่องเสียบชาร์จไฟก็ยังคงเป็น lightning Port เหมือนเดิม แม้ว่าทาง EU จะบังคับว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงก็ตาม แต่ยังไง iPhone ก็ยังคงใช้เหมือนเดิม
ไม่มี Touch ID
โดยล่าสุดนี้ Touch ID ที่เคยเปิดเผยว่าจะมีใส่ในเร็วๆ นี้แต่สุดท้ายแล้วของ iPhone 13 Series ยังคงไม่ได้ให้มา โดยสำนักข่าว Bloomberg อาจจะมาพร้อมกับดีไซน์ของสแกนนิ้วมือมาก่อนหน้านี้แต่สุดท้ายก็ถูกพับเก็บไปนั่นเอง
หน้าจอแบบ 120Hz ProMotion Display
นอกจาก iPhone 13 จะมาพร้อมกับ ติ่งเล็กลงดีไซน์ด้านหลังคล้ายกับของเดิม และยังมาพร้อมกับหน้าจอแบบ Refresh Rate สูงระดับ 120Hz ที่เคยใส่ใน iPad ไปก่อนหน้านี้ โดยคาดว่าที่ดีเลย์นั้นเพราะเทคโนโลยีนี้กินพลังงานสูงนั่นเอง ก็เลยทำให้จะต้องมีการปรับหน้าจอเป็นแบบ LTPO ที่มีการใช้พลังงานลดลงและพัฒนาให้หเกิดความเสถียร
ใส่ Always On Display
สำนักข่าว Bloomberg ได้มีการมีการเปิดเผยข้อมูลออกมาว่า iPhone 13 จะมาพร้อมกับฟีเจอร์ Always On Display ที่สามารถแสดงผลเวลาหรือการแจ้งเตือนแม้ว่าจะล็อคเครื่องอยู่ลักษณะเดียวกับ Apple Watch นั่นเองแต่อาจจะถูกจำกัดเฉพาะรุ่น Pro และ Pro Max ทั้งนี้ต้องรอติดตามกันต่อไป
ชิป A15 พร้อมกับ 5G และ Wi-Fi 6E
การปรับโฉมของ iPhone มักจะมาพร้อมกับชิปใหม่อย่าง Apple A15 Bionic ซึ่งจะมีการพัฒนาใหม่ให้เร็วขึ้นและประหยัดพลังงานกว่าเดิม แถมยังมีชิป 5G ใหม่ทำให้ตอบสนองกับการรับส่งข้อมูลได้และที่สำคัญคือ รองรับ Wi-Fi 6E ที่เร็วเหมือนกับยกระดับ 5G มาไว้ในอินเทอร์เน็ตบ้าน ที่สำคัญคือปรับปรุง การใช้พลังงานให้ลดลง จากเดิม
แบตเตอรี่ใหญ่ขึ้น / ชาร์จไฟเร็วขึ้น 25W
ในรอบนี้จะมีการเพิ่มความจุแบตเตอรี่จากเดิมสำหรับ iPhone 12 Pro Max อยู่ที่ 3687 mAh ให้ใหญ่ขึ้นเป็น 4352 mAh เรียกได้ว่าใหญ่มากเลยทีเดียวสำหรับ และคาดว่าจะมาพร้อมกับระบบชาร์จไฟเร็วขึ้น 25W เช่นเดียวกัน
ความจำสูงสุดขนาด 1TB
ถือว่าเป็นประเด็นล่าสุดที่มีการพูดถึงคือ iPhone 13 Pro และ 13 Pro Max อาจจะมีความจำขนาด 1TB ให้เลือก ซึ่งที่ผ่านมานั้น iPhone 12 จะมีความจำขนาด 512GB คือรุ่นสูงสุดให้เลือกแล้วแต่อย่างไรก็ดีมีการยืนยันจากทาง Ming Chi Kuo ออกมาแล้วว่ามีแน่นอน แต่ต้องรอดูกันต่อไป
กล้องจะเปลี่ยนแปลงใหม่
แม้ว่ากล้องของ iPhone ในปีนี้ยังคงมีจำนวนเท่าเดิม แต่คาดว่าจะมีการปรับปรุงรายละเอียดเช่นรูรับแสงที่กล้อง Ultra Wide ให้รับแสงได้มากขึ้น และยังมีการเพิ่มระบบ Auto Focus และในรุ่น Pro ก็จะเพิ่มความสามารถของเลนส์ Telephoto และคาดว่าจะมีการติดตั้งระบบกันภาพสั่นไหวเข้าไปด้วย เท่ากับ iPhone 13 จะถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดีและนิ่งทั้งเลนส์ปกติ และ Ultra Wide คาดว่าจะรองรับการถ่ายภาพ Apple ProRAW และยกระดับคุณภาพในการถ่ายวิดีโอ
LiDAR
สำหรับรอบนี้ยังคงมีเทคโนโลยี LiDAR ติดตั้งแต่ยังคงเป็นเฉพาะรุ่น Por สิ่งที่เพิ่มคือมันจะมีการจับรายละเอียดของวัตถุ และช่วยให้การทำงานของระบบ Auto Focus ในเวลากลางคืนทำได้ดีมากขึ้น
ส่วนราคานั้นมีการรายงานว่าอาจจะไม่แตกต่างงจากเดิม แม่ว่าจะมีการขอขึ้นราคาชิปจาก TSMC ก็ตาม ทั้งหมดนี้จะเป็นจริงหรือไม่ต้องรอติดตามรับชมกันต่อในคืนนี้
อัลบั้มภาพ 48 ภาพ