รีวิว Amazfit GTR 3 Pro นาฬิกาสุดฉลาดที่ครบทั้งลุยและดูแลสุขภาพคุณได้
กลับมาพบกับรีวิวจากทีม Sanook Hitech อีกครั้งในรอบนี้เอาใจคนรักสุขภาพสักหน่อยแต่ยังคงติดภาพหรูอยู่ เพราะอุปกรณ์ที่วันนี้จะมาทดลองให้คุณได้รับชมกันคือ Amazfit GTR 3 Pro ซึ่งถือเป็นรุ่นท็อปสุดของปี 2021 มันจะดีแค่ไหนและน่าใช้จริงไหน รับชมได้เลย
แกะกล่อง Amazfit GTR 3 Pro ประกอบด้วย
- ตัวเรือน Amazfit GTR 3 Pro
- คู่มือ / ใบรับประกัน
- สายชาร์จไฟ
รูปลักษณ์หน้าตา
เริ่มต้นกับดีไซน์ของ Amzfit GTR 3 Pro รุ่นใหม่ล่าสุดนี้มา มาพร้อมกับหน้าจอ AMOLED ความสว่าง 1,000 Nits, วงกลมและเป็นแบบปัดขึ้น ลง ซ้าย และขวาได้รองรับแบบ Multi Touch ด้วยครับ
รอบตัวเครื่องเป็นแบบอลูมิเนียมที่สวยงามเลยครับ โดยมีลำโพงอยู่ฝั่งซ้ายมือ
ขณะที่ฝั่งขวามาปุ่มด้านบนจะเป็นแบบเม็ดมะยมทำให้ขยันและหมุนได้ ตรงกลางคือไมโครโฟน และปุ่ม Quick Menu
ส่วนสายนั้นสามารถถอดเปลี่ยนได้โดยสายมีขนาด 20 มิลลิเมตร และสามารถเปลี่ยนได้ โดยตัวที่ได้รับมาคือสีดำ และมีอีกสีคือ สายสีน้ำตาลมาพร้อมกับขอบตัวเครื่องเป็นสีทอง
ทางด้านล่างของเครื่องเป็นแบบพลาสติกที่สวยงาม โดยมีขั้วชาร์จไฟ และ ระบบวัดชีพจรที่ละเอียดมากพอสมควร
กันน้ำได้หรือไม่
สำหรับการกันน้ำของ Amazfit GTR 3 Pro สามารถกันน้ำได้แบบ 5ATM หรือกันน้ำได้ 50 เมตร แต่ถ้าลงน้ำทะเล แนะนำว่า ควรทำความสะอาดด้วยน้ำเปล่าด้วยจะดี
ความรู้สึกเมื่อสวมใส่
น้ำหนักของนาฬิกาเรือนนี้อยู่ที่ 32 กรัม เมื่อสวมใส่แล้วก็พบว่าน้ำหนักของเรือนไม่ได้หนักมาก และทำให้คุณรู้สึกว่ายังมีนาฬิกาอยู่ข้างๆ แต่เมื่อต้องใส่ออกกำลังกาย
ฟีเจอร์ทั่วไป
ตัวเรือนเองจะมีระบบปฏิบัติการที่เรียกว่า Zepp OS การทำงานถือว่าลื่นไหลได้อย่างดี รองรับ การสั่งงานด้วย Touch Screen ทำให้คุณสามารถปัดเลื่อนขึ้นลงซ้ายขวาและกดลงได้อย่างสบายๆ นอกจากนี้ยังมียังมีฟีเจอร์ในเรื่องของการแจ้งเตือนจากมือถือ, การแสดงผลนาฬิกา, จับเวลา และสามารถเปลี่ยนหน้าปัดได้ด้วย และมี NFC มาให้ด้วย และยังควบคุมเพลงได้
นอกจากนี้สำหรบัคนที่ต้องการนาฬิการุ่นนี้ไว้คุยสายสนทนาสามารถใช้งานได้ครับ แต่ว่าทำได้เฉพาะมือถือในระบบปฏิบัติการ Android เท่านั้น ยังคงเป็นข้อจำกัดอยู่ในเรื่องนี้ และยังมีเซนเซอร์ครบครันเช่น
- เซ็นเซอร์ตรวจวัดแสง (RGB Light Sensor)
- เซ็นเซอร์วัดหัวใจแบบออปติคอล (Optical Heart Rate Sensor)
- ไจโรสโคป (ควบคุมการหมุนและการทรงตัว) (Gyroscope)
- ตรวจจับการเคลื่อนไหว (Accelerometer)
- ตรวจจับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Wave Sensor)
- มาตรวัดความดันอากาศ (Barometer | Air Pressure Sensor)
การเชื่อมต่อกับมือถือ
สำหรับ Application ที่ไว้เชื่อมต่อกับนาฬิการวมถึงการ Update Software มีชื่อว่า Zepp ที่สามารถโหลดได้ทั้ง Android และ iOS อีกด้วย และควบคุม Smart Watch ได้เต็มที่ด้วยเช่นเดียวกัน และเลือกการแจ้งเตือนได้เช่นเดียวกัน และสามารถนำคุณภาพของสุขภาพของคุณได้ด้วยเรียกได้ว่าคลอบคลุม
ลองใส่ออกกำลังกาย
สำหรับฟีเจอร์การออกำลังกายรุ่นนี้บอกมาอย่างเต็มที่เลยครับ เพราะเซนเซอร์ต่างๆ นั้นมาให้แบบครบครันไม่ว่าจะเป็นการออกทั้งแบบกลางแจ้งและในที่ร่ม รองรับการบอก GPS ด้วยและนอกจากนี้ยังมีโหมดการออกกำลังกายได้ครบเช่น
- การวิ่ง (Running)
- ว่ายน้ำ (Swim)
- โยคะ (Yoga)
- ปั่นจักรยาน (Cycle)
- ปีนเขา (Climbing)
- การเดิน (Walking)
- บาสเกตบอล (Basketball)
- ฟุตบอล (Soccer)
- แบดมินตัน (Badminton)
- ฟิตเนส (Fitness)
- แอโรบิค (Aerobic)
- กระโดดเชือก (Skipping rope)
- ไตรกีฬา (Triathlon)
- สกี (Ski)
- พายเรือ (Boating)
- เทเบิลเทนนิส (Table Tennis)
- สเก็ตบอร์ด (Skateboard)
- เซิร์ฟ (Server)
- สตรีทแดนซ์ (Street dance)
- เดินป่า (Hiking)
- เทนนิส (Tennis)
- วอลเลย์บอล (Volleyball)
- เบสบอล (Baseball)
นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ทั้งการนับก้าวเดิน, เป้าหมายของกิจกรรม, วัดแคลอรี่ที่ใช้ไป รวมไปถึงระยะการเดิน และยังวัดการนอนได้ โดยมีการบอกเรื่องของคุณภาพการนอนด้วย
แบตเตอรี่ / ระบบชาร์จไฟ
สำหรับแบตเตอรี่ทาง Amazfit GTR 3 Pro สามารถใช้งานได้ 12 วัน อันนี้คือการปล่อย Standby เฉยๆ แต่ว่าถ้าเทียบกับการใช้งานจริงและยิ่งใช้ออกกำลังกายบ่อยๆ ก็จะพบว่า แบตเตอรี่อยู่ได้นานสุดที่ 7 วัน
แต่น่าเสียดายที่ระบบชาร์จไฟนั้นจะต้องใช้เฉพาะของติดกล่องเท่านั้น ไม่รองรับระบบชาร์จไฟไร้สาย และใช้กับรุ่นอื่นในเครือไม่ได้เลย
สรุปหลังจากทีม Sanook Hitech ทดลองใช้งาน Amazfit GTR 3 Pro สักพักใหญ่
ภาพรวมที่ได้ทลองใช้งานมาประมาณ 2 – 3 สัปดาห์ถือว่าเป็น Smart Watch รุ่นท็อปครบเครื่องที่จัดมาเต็มในเรื่องของการดูแลสุขภาพ แจ้งเตือน หน้าจอคมชัด ปัดทำงานไม่ช้า และแบตเตอรี่ถือว่าทน อาจจะมีจุดที่ต้องปรับปรุงเช่นในเรื่องของ ระบบชาร์จ และ การทำงานบางอย่างที่ยังไม่ได้เหมือนกับ Wear OS และ Apple Watch แต่คุณแลกมากับราคา
ที่อยู่เพียง 7,390 บาท เท่านั้น ถือว่าถูกมากเลยครับ อย่างไรก็ตามถ้าคุณอยากได้ Smart Watch ท็อปราคาสมเหตุสมผล นี่เป็นอีกทางเลือกที่ผมแนะนำให้คุณได้ซื้อมาใช้งานกันครับ
จุดเด่น
- แบตเตอรี่ทนทาน
- มีการตกแต่งให้เลือก 2 แบบทั้งหรูและลุย
- ระบบปฏิบัติการไม่หน่วงทำงานได้ลื่น
- ฟีเจอร์การออกกำลังกายมาครบครัน
- ระบบวัดต่างๆ ครบ
- ราคาไม่แพง
ข้อสังเกต
- ระบบชาร์จไฟยังเป็นแบบเฉพาะรุ่น ต้องทำใจในจุดนี้
- ปุ่มกดอาจจะดูยื่นเกินไปทำให้อาจจะพลาดไปโดยเวลาออกกำลังกาย