รีวิว "iPad Air 5" คุ้มมากขึ้นด้วยชิพ M1 แบบเดียวกับรุ่นโปร แถมรองรับ 5G
iPad Air 5 รุ่นใหม่ล่าสุดของ Apple เรียกว่าเป็นการอัปเกรดใหม่ ทั้งเรื่องของความแรงที่มาพร้อมชิป M1 เทียบเท่ารุ่นพี่อย่าง iPad Pro มีกล้องกล้องหน้าอัลตร้าไวด์ความละเอียด 12MP ที่วางไว้ตรงกลาง และลก้องหลัง 12MP รองรับการถ่ายวิดีโอระดับ 4K และมีสีสันให้เลือกมากถึง 5 สี ทั้ง เทาสเปซเกรย์ สตาร์ไลท์ ชมพู ม่วง และฟ้า
iPad Air 5 จะมีให้เลือก 2 ความจุ ทั้ง 64GB และ 256GB แบ่งออกเป็นรุ่น Wi-Fi มีราคาเริ่มต้นอยุ่ที่ 20,900 และรุ่น Wi-Fi + Cellular ราคาเริ่มต้น 25,900 บาท
แกะกล่องสัมผัสแรกกับเรื่องของ Design – การออกแบบของ iPad Air 5
เริ่มจากกล่องของ iPad Air 5 ก็ยังคงมาในรูปแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้า โดยที่ด้านหน้าจะมีรูป iPad พร้อมกับวอลเปเปอร์ที่มีสีตรงกับตัวเครื่อง โดยสีที่เราได้มารีวิวจะเป็นสีฟ้า ส่วนด้านข้างก็จะมีเขียนว่า iPad Air ทั้ง 2 ฝั่ง พร้อมกับโลโก้ Apple ที่ข้างกล่องบน-ล่าง และจะเห็นว่าตัวหนังสือและโลโก้ก็จะใช้สีเดียวกับตัวเครื่องเช่นกัน
เปิดออกมาด้านในก็จะพบกับ ตัวเครื่องของ iPad Air 5 หากเทียบกับรุ่นที่แล้วเรียกว่าไม่ได้เปลี่ยนมากเท่าไหร่ แต่จะมีสีตัวเครื่องและการวางตำแหน่งบางจุดที่ต่างกัน
iPad Air 5 ยังคงมีขอบข้างแบบแบนเท่ากันทุกด้าน ความหนาอยู่ที่ 6.1 มิลลิเมตร โดยที่ของมุมทั้ง 4 ด้านมีความโค้งมนสวยงาม และตัวเครื่องด้านบนจะมีลำโพงเสียง ไมโครโฟน พร้อมกับเซ็นเซอร์ Touch ID ที่มุมขวา ใช้สำหรับปลดล็อกลายนิ้วมือเพื่อเข้าสู่หน้าจอหลัก
ด้านล่างตัวเครื่องก็ยังใส่ลำโพง พร้อมพอร์ตชาร์จแบบ USB Type-C ที่รองรับการโอนถ่ายข้อมูลกับอุปกรณ์ที่มี Type - C ได้สูงสุด 10Gbps ไม่ว่าจะต่อกับกล้องถ่ายรูป Hard Disk ก็เชื่อมต่อกันได้ทันที
ตัวเครื่องด้านซ้ายออกแบบให้เรียบไม่มีพอร์ตใดๆ ส่วนด้านขวาจะมีปุ่มปรับระดับเสียงเพิ่ม - ลด ถัดมาตรงกลางจะมีแถบแม่เหล็กสำหรับใช้ติดกับ Apple Pencil โดยจะรองรับการใช้งานกับรุ่นที่ 2
ด้านหลังตัวเครื่องของ iPad Air 5 สีฟ้า จะมีผิวสัมผัสแบบเรียบและใช้วัสดุที่มีความด้านเล็กน้อย ทำให้จับถือไม่ลื่นและยังลดการเกิดรอยนิ้วมือได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ ที่มุมซ้ายบนจะมีเลนส์กล้องไวด์ ความละเอียด 12MP ถัดลงมาเล็กน้อยจะมีไมโครอีกหนึ่งตัว โดยที่ตรงกลางเครื่องมีโลโก้ Apple ที่มีลักษณะเงาวางอยู่
อีกหนึ่งจุดที่แตงต่างจาก iPad Air รุ่นที่แล้วคือด้านหลังเครื่องจะมีตัวหนังสือบอกชื่อรุ่นติดมาด้วย อย่างรุ่นนี้ก็สกรีนติดไว้ว่าเป็น iPad Air และถัดลงมาด้านล่างเล็กน้อยก็จะเป็นแถบแม่เหล็กแบบวงกลมสีทอง 3 จุด หรือเรียกว่า Smart Connector สำหรับเชื่อมต่อกับ Magic Keyboard
หน้าจอ
iPad Air 5 มาพร้อมจอภาพ Liquid Retina ขนาด 10.9 นิ้ว ความละเอียด 2360 x 1640 พิกเซล ซึ่งยังไม่ได้เต็มขอบจอ แต่ยังมีขอบดำรอบด้าน
โดยเป็นจอแสดงผลแบบ True Tone ขอบเขตสีกว้างแบบ P3 ทำให้ได้จอที่มีสีสันสดใสและสมจริง ยังสว่างสูงสุด 500 นิต เมื่อใช้ในที่แจ้งก็ยังสู้แสงได้ดี และการเคลือบผิวป้องกันแสงสะท้อน และเคลือบสารกันรอยนิ้วมือ ไม่ให้เกิดรอยนิ้วมือง่าย
ชิป M1
iPad Air 5 เป็นอีกรุ่นที่สเปคน่าสนใจ เพราะให้ชิป M1 ที่ทั้งเร็วและแรงเหมือนกับ iPad Pro พร้อมด้วย CPU แบบ 8‑core ที่เร็วขึ้นสูงสุด 60% กว่ารุ่นก่อน ไม่ว่าจะเล่นเกม ตัดต่อ หรือแม้แต่การสลับแอปฯ ก็จะเห็นได้ว่าตัวเครื่องทำงานได้เร็ว เล่นเกมที่มีกราฟิกเยอะๆ ก็แสงภาพที่สวยงามและลื่นไหล
นอกจากนี้ GPU ก็ให้มาแบบ 8-core ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้านกราฟิกได้เร็วขึ้นสูงสุด 2 เท่า มาพร้อม RAM 8GB ไม่ว่าจะเป็นงานออกแบบ ดีไซน์ หรือการใช้ สร้าง 3D ด้วย uMake หรือจะออกแบบฟิลเตอร์ AR สำหรับใช้บนโซเชียลมีเดียใน Procreate ก็ทำได้บนเครื่องนี้ทั้งหมด ทำให้งานสร้างสรรค์ทั้งหลายเป็นเรื่องง่าย
iPad Air 5 ยังมาพร้อม Apple Neural Engine แบบ 16‑core ซึ่งจะช่วยเร่งการเรียนรู้ของระบบให้ทำงานเร็วขึ้น ช่วยเรื่องของการแต่งภาพบน Adobe Lightroom ที่ทำงานเร็ว ประมวลผลภาพที่แต่งออกมาได้ทันและฉลาดเพียงคลิกเดียว
กล้องหน้า Wide
กล้องหน้าถูกจัดวางไว้ในตำแหน่งใหม่คือตรงกลางตัวเครื่อง มีความละเอียด 12MP รูรับแสง f/2.4 มุมมองภาพ 122° ซึ่งเป็นข้อดีในการใช้งานวิดีโอคอล ถ่ายภาพเคลื่อนไหว ให้ออกมาเป็นธรรมชาติ และยังมีฟีเจอร์ Center Stage ที่จะช่วยปรับภาพให้อยุ่กลางเฟรม เช่น ขณะที่กำลังใช้งานกล้องหน้าแล้วมีคนเข้ามาเพิ่มในเฟรม กล้องก็จะปรับขยายหรือซูมเข้าเอง เพื่อให้วัตถุอยู่ตรงกลาง
นอกจากนี้ กล้องหน้ายังรองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียด HD 1080p ที่ 25 fps, 30 fps หรือ 60 fps มีระบบป้องกันภาพสั่นไหวอัตโนมัติที่เข้ามาช่วยให้การถ่ายวิดีโอด้วยกล้องมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น
กล้องหลัง
กล้องถ่ายรูปด้านหลังของ iPad Air 5 เป็นกล้องไวด์ความละเอียด 12MP รูรับแสง f/1.8 รองรับดิจิตอลซูมสูงสุด 5 เท่า ออโต้โฟกัสด้วย Focus Pixels มีโหมดถ่ายภาพต่อเนื่อง ทั้งยังรองรับการบันทึกภาพถ่ายและ Live Photos ด้วยขอบเขตสีกว้าง รวมถึงระบบ HDR อัจฉริยะ สำหรับถ่ายภาพในที่แสงจ้า
นอกจากนี้ ยังรองรับการบันทึกวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุด 4K พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหว ช่วยให้วิดีโอที่ถ่ายออกมามีความสมูทมากขึ้น
แบตเตอรี่
สำหรับแบตฯ ของ iPad Air 5 เป็นที่รู้กันว่า Apple ไม่เคยเปิดเผยข้อมูลความจุ แต่จากได้ทดลองใช้งานพบว่า iPad Air 5 แบตฯ ค่อนข้างอึด ใช้งานได้ทั้งวัน โดยเป็นแบตเตอรี่ลิเธียมพอลิเมอร์ชนิดชาร์จซ้ำได้ภายในตัวเครื่อง 28.6 วัตต์ต่อชั่วโมง ใช้งานท่องเว็บผ่าน Wi-Fi ได้สูงสุด 10 ชั่วโมง แต่สำหรับรุ่น Wi‑Fi + Cellular ใช้ท่องเว็บด้วยเครือข่ายใช้งานได้นาน 9 ชั่วโมง
ส่วนการชาร์จแบตฯ ก็ง่ายเพราะ iPad ยังมีอะแดปเตอร์มาให้ในกล่อง และสายชาร์จก็เป็น USB Type-C to Type-C ไม่ยุ่งยากต้องหาที่ชาร์จเอง
ระบบปฎิบัติการ
iPad Air 5 รันบนระบบปฎิบัติการ iPadOS 15 ที่ช่วยให้การใช้งานง่ายและสะดวก อย่างเช่น Multitasking ใช้งานบนหน้าจอขนาดใหญ่ของ iPad ด้วยหลายแอปฯ พร้อมกัน หรือจะใช้งานแบบ Slide Over, Split View แบ่งออกเป็นหลายหน้าต่างก็ทำได้เช่นกัน
ปุ่มลัดแป้นพิมพ์
เมื่อติดคีย์บอร์ดเข้ากับ iPad Air 5 สามารถดูปุ่มลัดทั้งหมดได้ด้วยการกด Command เท่านี้ก็เลือกใช้งานปุ่มลัดสำหรับแอปฯ และมัลติทาสก์ได้เลย
วิดเจ็ตบนหน้าจอโฮม
สามารถวางวิดเจ็ตบนหน้าโฮมของ iPad ได้ในแบบที่ต้องการ ทั้งกรอบเล็ก ใหญ่ ก็มีพื้นที่ให้วางได้แบบจุใจและตอบโจทย์การใช้งานที่ง่ายขึ้น
โน้ตด่วนและแอปโน้ต
โน้ตด่วน ออกแบบมาให้ใช้งานได้เร็วและง่ายขึ้น สามารถจดโน้ตได้ทุกที่ที่ต้องการ โดยการเริ่มใช้งานจากปุ่มลัดบนแแอแป้นพิมพ์ หรือปัดขึ้นจากมุมโดยใช้นิ้วหรือ Apple Pencil นอกจากนี้ ยังสามารถเพิ่มลายมือ ลิงค์ หรืออะไรก็ได้ลงโน้ตด่วน เรียกว่าใช้งานได้ครบและครอบคลุมทั้งหมดในโน้ตเดียว
SharePlay
แชร์ประสบการณ์กับครอบครัวได้ง่ายขึ้นด้วยฟังก์ชั่น SharePlay ที่สามารถใช้งาน FaceTime ไปพร้อมกับการรับชมรายการทีวีหรือภาพยนตร์ หรือจะแชร์หน้าจอให้ครอบครัวก็ได้เช่นกัน
อุปกรณ์เสริม
Apple Pencil รุ่นที่ 2 iPad Air 5 ยังคงรองการทำงานกับอุปกรณ์เสริมของ Apple ได้อย่างลงตัวไม่ว่าจะเป็น Apple Pencil รุ่นที่ 2 สำหรับการขีดเขียนโน้ต วาดรูป จะจดหรือขีดเขียนก็ทำได้เหมือนปากกา เพราะ Apple Pencil 2 ออกแบบมาให้เหมือนปากกาที่เราใช้งานทั่วไป ตัวหัวปากกาไวต่อแรงกดและการเอียง เขียนง่าย และยังสามารถพกง่ายด้วยแถบแม่เหล็กที่ติดกับด้านข้างของ iPad ได้เลย และยังเป็นการชาร์จแบตฯ ไปด้วยในตัว
Magic Keyboard
Magic Keyboard เป็นอุปกรณ์คู่หูของ iPad โดยที่ครั้งนี้ใช้งานได้กับ iPad Air 5 เช่นกัน ไว้สำหรับพิมพ์งาน ตอบเมล ก็สะดวก และยังเป็นเคสที่ช่วยป้องกันรอยขีดข่วยได้อีกด้วย
Magic Keyboard ออกแบบมาให้ใช้งานสะดวก ตัวคีย์บอร์ดยกลอยและปรับองศาได้ตามที่ถนัด มีปุ่มแบบแบ็คไลท์และกลไกแบบกรรไกรที่มีการขยับขึ้นลงของปุ่มที่ระยะ 1 มม. ตอบสนองการพิมพ์ได้เร็วและเงียบ ทั้งยังมีทร็คแพดในตัว สำหรับใช้เป็น Multi-Touch ละเคอร์เซอร์ใน iPadOS
Smart Folio
เคส Smart Folio สำหรับ iPad Air 5 ที่ช่วยปกป้องหน้าจอทั้งด้้านหน้าและด้านหลังได้อย่างเรียบง่าย โดยที่ตัวเคสยึดกับ iPad ด้วยแม่เหล็ก สามารถใช้งานพับฝั่งที่เป็นปกและใช้เป็นขาตั้ง นอกจากนี้ ยังมีความบางและเบา ที่สำหรับมีสีใหม่อย่าง สีมารีนบลู ที่เข้ากับ iPad Air 5 สีฟ้าอีกด้วย
ปิดท้ายกันด้วยตัวอย่างของภาพที่ถ่ายด้วย iPad Air 5 ในสภาพแสงต่างๆ
ลองกล้องหน้ากันหน่อย เห็นเล็กๆ แบบนี้ภาพคือดีย์
สรุปท้ายรีวิว
iPad Air 5 เป็นอีกรุ่นที่น่าสนใจสำหรับใครที่ต้องการแท็บเล็ตที่มีขนาดหน้าจอกำลังดีไม่เล็กหรือใหญ่เกินไป ทั้งยังใช้งานได้ลื่นด้วยชิปตัวแรง M1 ไม่ว่าจะดูหนัง ทำงาน เล่นเกม หรือตัดต่อ ก็ทำได้หมดทุกอย่างบนเครื่องนี้ มาพร้อมสีสันหลากหลายให้เป็นเจ้าของ และใช้งานลงตัวสุดๆ กับอุปกรณ์เสริมของทาง Apple
ราคาและการวางจำหน่าย iPad Air 5 มีตัวเลือกทั้งมด 5 สี ได้แก่ สีเทาสเปซเกรย์ สีสตาร์ไลท์ สีชมพู สีม่วง และสีฟ้า วางจำหน่ายในราคา
- รุ่น Wi-Fi ความจุ 64GB ราคา 20,900 บาท และความจุ 256GB ราคา 25,900 บาท
- รุ่น Wi-Fi + Cellular ความจุ 64GB ราคา 25,900 บาท และความจุ 256GB ราคา 30,900 บาท
สเปค iPad Air 5
- หน้าจอ Liquid Retina กว้าง 10.9 นิ้ว ความละเอียด 2360 x 1640 พิกเซล
- เทคโนโลยีหน้าจอ : จอภาพขอบเขตสีกว้าง (P3), True Tone, Full Lamination, ความสว่าง 500 นิต
- ชิปเซ็ต Apple M1 CPU แบบ 8‑core
- กราฟิกแบบ 8‑core
- Apple Neural Engine
- RAM 8GB + ROM 64GB/256GB
- กล้องหลังไวด์ ความละเอียด 12MP, รูรับแสงขนาด f/1.8
- กล้องหน้าอัลตร้าไวด์ ความละเอียด 12MP, มุมมองภาพ 122°, f/2.4
- รองรับการเชื่อมต่อ Wi‑Fi 6, 2.4GHz และ 5GHz, Bluetooth 5.0
- ระบบปฏิบัติการ iPadOS 15
- ขนาดตัวเครื่อง 247.6 x 178.5 x 6.1 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก : รุ่น Wi‑Fi 461 กรัม, รุ่น Wi‑Fi + Cellular 462 กรัม
- สี : เทาสเปซเกรย์, สตาร์ไลท์, ชมพู, ม่วง และฟ้า
อัลบั้มภาพ 85 ภาพ