ตอบให้ชัด "Nothing Phone (1)" มือถือตัวแรกของค่ายนี้ สเปกระดับกลาง ได้กล้องคู่ น่าซื้อจริงไหม
ครบ 1 สัปดาห์ของการเปิดตัวและเปิดจำหน่าย Nothing Phone (1) อย่างเป็นทางการแล้วทั่วโลก แน่นอนว่าในตลาดโลกด้วยราคาในประเทศไทเปิดตัวที่ 18,900 บาท ด้วยกระแสที่ชอบและไม่ชอบกัน จากรายละเอียดที่เปิดเผยออกมาตั้งแต่ก่อนเปิดตัว วันนี้ทีม Sanook Hitech จะมาตอบคำถามกันว่า Nothing Phone (1) มือถือจาก Carl Pei อดีตผู้ก่อตั้ง OnePlus เลือกสเปกออกมาแบบนี้เพราะอะไร และสุดท้ายรุ่นนี้ยังคงน่าเลือกอยู่หรือไม่
Nothing กับขุมพลังระดับกลาง
อย่างที่ทีม Sanook Hitech ได้เคยนำเสนอข่าวก่อนที่ Nothing Phone จะเปิดตัวว่า ขุมพลังของมือถือรุ่นนี้จะได้ใช้ Snapdragon แน่นอนแต่ยังไม่ระบุว่ารุ่นไหน หลุดตั้งแต่ Snapdragon 8 Gen 1 ตัวท๊อป, Snapdragon 7 Gen 1 ที่ยังไม่เปิดตัวที่ไหน มาจนสุดท้ายคือ Snapdragon 778G+ เหตุผลนี้ได้ถูกกล่าวในข่าวก่อนหน้านี้ว่า
“เขาต้องการมือถือที่เหมาะสมทั้งเรื่องของศักยภาพการทำงานของตัวเครื่องให้เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไป หลายคนมองว่าทำไมไม่เลือก Snapdragon 8 Gen 1 คำตอบคือ มันจะทำให้ราคาของมือถือรุ่นนี้สูงเกินไป และยังจัดการพลังงานไม่ดีพอ”
และหากมองถึงเรื่องของขุมพลัง Snapdragon 778G+ ถือว่าเป็นขุมพลังที่สมดุลที่สุด ได้ทั้งความแรงกำลังดีและเมื่อเทียบกับชิปเซ็ตเรือธงในสมัยก่อนได้อย่างสบายๆ และ Carl Pei ยังเผยว่า "ชิปเซ็ตระดับกลางทุกวันนี้มอบประสิทธิภาพที่ลื่นไหลมากพออยู่แล้ว" และราคาไม่สูง ความร้อนที่ไม่สูงเกินไป ประกอบกับปัญหาชิปเซมิคอนดักเตอร์ขาดแคลนผลิตไม่ทัน นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม Snapdragon 778G+ นั้นมีความแตกต่างจาก Snapdragon 778G กันตรงที่ระบบชาร์จไฟไร้สาย และ ระบบชาร์จไฟย้อนกลับ (Wireless Charging & Reverse Wireless Charing) แค่นั้นเอง
Nothing Phone กับกล้องหลังแค่ 2 ตัว
หากมองกันทั่วไปแล้วว่า มือถือระดับเดียวกับ Nothing Phone (1) มักจะมีกล้องมากกว่า ไม่ 3 ตัวก็ 4 ตัวบ้าง แต่สำหรับ Nothing Phone (1) ให้กล้องมาทั้งหมด 2 ตัว ซึ่งในคำตอบที่ Carl Pei นั้นแบ่งออกเป็นประเด็นที่น่าสนใจและเกรงว่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดตั้งแต่เรื่องของการลดต้นทุน ที่จริงแล้ว Carl Pel ได้ให้เห็นว่า
กล้องหลักของมือถือทุกวันนี้ก็ดีพอส่วนเลนส์เสริมบางตัวแทบไม่มีผลลัพธ์ที่ดี เช่นเลนส์จับระยะความลึก (Depth Sensor) ที่มีคุณภาพต่ำทำให้ไม่สามารถใช้ประโยชน์อะไรได้เลย และการออกแบบของเครื่องที่ต้องการให้ไฟ LED ด้านหลังล้อมเป็นตัว C นั้นจำเป็นจะต้องลดจำนวนกล้องที่จำเป็นจริงๆ เท่ากับยังไงก็เหลือแค่ 2 ตัวเท่านั้น ให้เกิดความสมมาตร นั่นเอง
อย่างไรก็ตามถ้าสังเกตกล้องของ Nothing Phone (1) ดีๆ แล้วก็ไม่ได้ด้อยกว่าใครเพราะกล้องหลัง 50 ล้านพิกเซลจาก IMX766 ซึ่งเป็นเซนเซอร์ของ Sony คุณภาพถือว่าโดดเด่น และมือถือเรือธงหลายรุ่นก็เลือกใช้กัน และกล้อง Ultra Wide จาก ISOCELL JN1 ของ Samsung ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล ทีให้มุมกว้างที่ดีแล้ว ยังรองรับการถ่ายภาพระยะใกล้ (Macro) ได้ถึง 4 เซนติเมตร และยังชดเชยการซูมด้วย Digital Zoom ที่ครอบคลุมก็ทำให้กล้องออกมาดูสดใสไม่ต้องมีการ
Nothing Phone (1) ไม่ใช่สินค้า Limited Edition แต่ยังผลิตได้ไม่มากในระยะแรก
อย่างที่ทราบกันดีว่า Nothing Phone (1) เริ่มเปิดให้ซื้อในประเทศไทยในวันที่ 18 กรกฎาคม ที่ผ่านมา โดยที่แรกในการวางจำหน่ายคือ Carnival ร้านอุปกรณ์สวมใส่ชื่อดังที่เป็นแนว Street แต่วางขายแค่เว็บไซต์ และ Apps โดยวิธีการใครมากดก่อนก็ได้ก่อน (First Come, First Serve) และหมดอย่างรวดเร็วจนหลายคนคิดว่าเป็น Limited Edition
แต่หลังจากนั้นจะวางจำหน่ายต่อในวันที่ 1 สิงหาคม ทางร้าน Dotlife และ Lazada ต่อไป
เหตุที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่าการผลิตในช่วงแรกยังไม่มากพอต่อความต้องการซึ่งแน่นอนว่าในการซื้อในช่วงแรกอาจจะหายากสักหน่อย แต่ไม่ต้องกังวลกันไปครับ เมื่อการผลิตเริ่มนิ่งและสามารถส่งมอบได้เรื่อยๆ รับรองรับ Nothing Phone (1) จะได้อยู่ในมือคุณอย่างแน่นอน
ฉะนั้นในความเห็นของทีม Sanook Hitech ภาพรวมกับ Nothing Phone (1) ว่าซื้อได้หรือไปเล่นรุ่นอื่นนั้นขอตอบโดยรวมว่า “ซื้อได้ครับ” ถ้าคุณเห็นรูปลักษณ์และชอบ และต้องการมือถือที่แปลกจากตลาด ไม่เหมือนใคร และรับได้กับสิ่งที่มันเป็นตั้งแต่ไม่ได้ให้ Adapter (ปลั๊กชาร์จไฟ) ที่เป็นเทรนด์ของมือถือทุกวันนี้
รับได้กับสเปกระดับกลางที่ได้เห็นหน้ากระดาษ ขุมพลัง Snapdragon 778G+ ถือว่าแรงกำลังดีกับยุคนี้แล้วตอบโจทย์การใช้งานได้ดีอย่างน้อยรองรับ 5G และได้กล้องหลัง 50 ล้านพิกเซลทั้งคู่ ความละเอียดไม่ต้องห่วงว่าจะไม่ดี และทำงานได้หลายอย่าง กับราคา หมื่นปลายๆ แบบนี้ก็ถือว่าซื้อมือถือที่ดีและได้การออกแบบที่ไม่เหมือนใคร ถือแล้วยังไงก็ดูดีอยู่นะ
อัลบั้มภาพ 27 ภาพ