บริการออนไลน์จะไปต่อหลังโควิดระบาด?
การระบาดใหญ่ของโควิด-19 ได้ผลักดันให้เกิดธุรกิจออนไลน์มากมาย แต่มุมมองของชาวอเมริกันจะเปลี่ยนไปอย่างไรเกี่ยวกับธุรกิจเหล่านี้?
ผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนเมื่อไม่นานมานี้ชี้ให้เห็นว่า มีชาวอเมริกันบางส่วนที่มีแนวโน้มที่จะใช้บริการออนไลน์ที่มีขึ้นในช่วงที่มีข้อจำกัดต่าง ๆ เกี่ยวกับโควิด-19 ต่อไป
ในปี ค.ศ. 2020 กิจวัตรประจำวันจำนวนมากของผู้คนคือการเข้าสู่โลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนและการทำงาน นอกจากนี้ บริการส่งอาหาร กิจกรรมออนไลน์ต่าง ๆ การทำงานทางไกล และการพบแพทย์ออนไลน์ กลายเป็นเรื่องปกติมากขึ้น
แม้ว่าการให้บริการหลาย ๆ อย่างจะถูกสร้างขึ้น เปลี่ยนรูปลักษณ์ใหม่ หรือได้รับความนิยมในช่วงการระบาดใหญ่ แต่บริการบางอย่าง เช่น การซื้อของออนไลน์และการประชุมทางวิดีโอนั้น มีใช้กันอย่างแพร่หลายก่อนที่จะเกิดการแพร่ระบาดแล้ว
นักวิจัยของ Associated Press-NORC Center for Public Affairs Research ต้องการศึกษาว่าบริการออนไลน์ใหม่ ๆ เหล่านั้นจะยังคงเป็นที่นิยมอยู่ต่อไปหรือไม่หลังจากที่การระบาดใหญ่สิ้นสุดลง
ผลการศึกษาพบว่าชาวอเมริกันจำนวนน้อยกว่าหนึ่งในสามกล่าวว่า พวกเขามีแนวโน้มที่จะใช้บริการออนไลน์ใหม่ ๆ อย่างน้อยก็เป็นครั้งเป็นคราว
เกือบครึ่งหนึ่งของผู้ใหญ่ในสหรัฐฯ กล่าวว่า ตนคงไม่เข้าร่วมกิจกรรมออนไลน์หรือกิจกรรมเสมือนจริงหรือรับการดูแลสุขภาพเสมือนจริง
นอกจากนี้ มีชาวอเมริกันจำนวนมากที่บอกว่า พวกเขาคงจะไม่ใช้บริการจัดส่งอาหารหรือรับสินค้าหลังจากการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัสสิ้นสุดลงแล้ว และเกือบครึ่งของผู้เข้าร่วมการสำรวจกล่าวว่า พวกเขาต้องการให้ทางเลือกเสมือนจริงในเรื่องของการพบแพทย์ กิจกรรมต่าง ๆ ในชุมชน การออกกำลังกาย หรือบริการทางศาสนา ดำเนินการต่อไปหลังการระบาดใหญ่
ดอนน่า ฮอฟฟ์แมน (Donna Hoffman) ผู้อำนวยการศูนย์ Center for Connected Consumer at George Washington School of Business กล่าวว่า “เราคงจะมีอนาคตแบบลูกผสม แทนที่จะต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง” และว่า หลาย ๆ คนพบว่ามีความสะดวกสบายในทางเลือกเสมือนจริงเหล่านี้ซึ่งก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
เธอกล่าวต่อไปอีกว่า แม้ว่าทางเลือกเสมือนจริงจำนวนมากอาจจะเริ่มต้นขึ้นในช่วงการระบาดใหญ่ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยด้านสุขภาพเสมอไป แต่เป็นเพราะทางเลือกเหล่านี้มีความง่ายกว่าเท่านั้นเอง
คอร์นีเลียส แฮร์สตัน (Cornelius Hairston) คุณพ่อวัย 40 ปี ซึ่งมีภรรยาเป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุขด่านหน้าเล่าว่า ครอบครัวของเขาใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังมากตลอดช่วงการระบาดใหญ่ โดยจะออกนอกบ้านเมื่อจำเป็นเท่านั้น
เขากล่าวอีกว่าลูกชายฝาแฝดวัย 4 ขวบของเขาเรียกได้ว่าเป็น “Covid Babies” เลยทีเดียว ลูก ๆ ของเขาไม่เคยได้เข้าร้านขายอาหาร เพราะทางครอบครัวจะใช้บริการจัดส่งเพื่อหลีกเลี่ยงการไปที่ร้านค้า แต่ในอนาคตเขาคาดว่าจะยังคงใช้บริการจัดส่งบ้าง “เป็นครั้งคราว”
ทั้งนี้ หลาย ๆ คนบอกว่าบริการส่งอาหารหรือรับอาหารบางอย่างไม่ดีเท่ากับการไปซื้อด้วยตนเอง
ทางด้านแองจี้ โลว์ (Angie Lowe) หญิงวัย 48 ปีจากรัฐอิลลินอยส์ สะดวกที่จะพบแพทย์ออนไลน์ หรือ telemedicine โดยการพบแพทย์ออนไลน์ครั้งแรกของเธอคือในช่วงเริ่มต้นของการระบาดใหญ่ เธอสามารถพูดคุยกับแพทย์โดยไม่ต้องขาดงานและไม่ต้องขับรถไปพบแพทย์อีกด้วย
โลว์บอกว่าเธอและสามีกลับไปทำสิ่งต่าง ๆ ในที่สาธารณะมานานกว่าหนึ่งปีแล้ว แต่เธอยังคงพบแพทย์แบบ telemedicine อยู่
คาเรน สจ๊วร์ต (Karen Stewart) วัย 63 ปีเข้าใจถึงประโยชน์ของวีดีโอคอล และเธอยังพบแพทย์บางคนทางออนไลน์ด้วย ถึงแม้ว่าเธอจะชอบที่ไม่ต้องขับรถไปหาหมอ แต่การที่ต้องพบแพทย์ออนไลน์ก่อนเข้ารับการผ่าตัดนั้นเป็นเรื่องที่น่ากลัว เพราะอาจมีบางสิ่งบางอย่างที่แพทย์ไม่สามารถมองเห็นได้ผ่านกล้องวีดีโอ
อลิเชีย เบน (Alycia Bayne) นักวิจัยที่ NORC กล่าวว่า การระบาดใหญ่ครั้งนี้ได้เปิดโอกาสในการสร้างสมดุลระหว่างการให้บริการแบบเจอตัวและแบบเสมือนจริง สำหรับการดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจของผู้สูงอายุ
เบนกล่าวอีกว่าการพบแพทย์ออนไลน์อาจเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่มีปัญหาในเรื่องการเดินทาง ผู้ที่ไม่ได้อยู่ใกล้ศูนย์การแพทย์ หรือผู้ที่อยู่ตัวคนเดียว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเทคโนโลยีก็มีขีดจำกัด ความยุ่งยากในการใช้เทคโนโลยีอาจเป็นสิ่งที่อธิบายได้ว่าเหตุใดผลการสำรวจความคิดเห็นของสาธารณชนจึงพบว่า ผู้สูงอายุมักไม่ค่อยใช้บริการออนไลน์ต่อไปหลังการระบาดใหญ่สิ้นสุดลง
อย่างไรก็ตาม การศึกษาของ AP-NORC ยังพบอัตราส่วนที่ใกล้เคียงกันของผู้ใหญ่ในทุกช่วงอายุที่บอกว่าทางเลือกเสมือนจริงควรดำเนินต่อไปหลังการระบาดใหญ่