7 พฤติกรรมในโซเชียลมีเดีย ที่บ่อนทำลายความสัมพันธ์
การมาของโซเชียลมีเดียนั้นทำให้เราสามารถติดต่อสื่อสารกับผู้คนอื่น ๆ ได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะกับพวกเพื่อนเก่า ๆ ที่ห่างหายกันไปนานหลังจากเรียนจบ หลายคนจำความรู้สึกในช่วงแรก ๆ ที่เราได้รู้จักกับโซเชียลมีเดียได้ดี ตอนที่ต่างคนต่างถามไถ่กันถึงช่องทางโซเชียลมีเดียของกันและกัน ทั้งที่ก็เป็นเพื่อนกันอยู่ในโลกออฟไลน์ ทำให้เป็นเพื่อนกันทั้งในโลกจริงและโลกเสมือน ซึ่งมันก็ดีทีเดียว เพราะหลังจากที่แยกย้ายจากกัน ก็ยังมีช่องทางให้ได้ติดต่อหากันให้หายคิดถึงบ้าง
แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป สำหรับคนอื่น ๆ โซเชียลมีเดียคือช่องทางที่ทำให้บรรดาเพื่อน ๆ ได้กลับมาเจอหน้ากันอีกครั้งในรอบหลายปี หรือการได้ติดตามและอัปเดตสารทุกข์สุกดิบของกันและกัน แต่ในขณะเดียวกัน สำหรับหลาย ๆ คน โซเชียลมีเดียกลับบ่อนทำลายความสัมพันธ์ของเพื่อนที่ในชีวิตจริง “เคย” สนิทกันเสียอย่างนั้น ไม่เว้นแม้แต่คนในครอบครัวที่ต้องมาทะเลาะกันเนื่องจากเป็นเพื่อนหรือติดตามกันในโลกออนไลน์ จนถึงขั้นที่ต้องกดอันฟอลโลว์ อันเฟรนด์ หรือกดบล็อกกันไปเลย เพราะไม่อยากจะเห็นตัวตนของอีกฝ่ายบนโลกออนไลน์อีกต่อไป ทำไมโซเชียลมีเดียที่สร้างขึ้นเพื่อให้มนุษย์สานสัมพันธ์กันได้ง่าย ๆ ถึงได้บ่อนทำลายความสัมพันธ์บางความสัมพันธ์ได้ขนาดนั้น
แน่นอนว่าใครหลายคนคงไม่แคร์หรอกว่าตัวเองจะถูกเพื่อน (เคยสนิท) ในโซเชียลมีเดียอันฟอลโลว์ อันเฟรนด์ หรือบล็อกหนี ไม่อยากตามก็ไม่ต้องตาม เพียงแต่อยากให้รู้ไว้ว่าบางพฤติกรรมในโซเชียลมีเดียของคุณนั้นมันบั่นทอนความสัมพันธ์กับเพื่อนหลาย ๆ คนที่เคยรู้จักตัวจริงของคุณได้จริง ๆ ก็เท่านั้น พวกเขาก็คงไม่คิดหรอกว่าตัวตนของคุณบนโลกออนไลน์จะแตกต่างกับออฟไลน์มากขนาดที่ทำให้พวกเขารับไม่ได้ขนาดนี้!
การแสดงออกบนโลกออนไลน์กับออฟไลน์ไม่เหมือนกัน
หลายคนทีเดียวที่ต้องการพื้นที่ส่วนตัวในการปลดปล่อยด้านมืดของตัวเอง อย่างไรก็ตาม คนเหล่านั้นกลับเลือกให้โซเชียลมีเดียเป็นพื้นที่ส่วนตัวที่ว่า ทั้งที่มันออนไลน์อย่างเป็นสาธารณะ โพสต์ด่านั่นว่านี่ แสดงความหยาบคายต่าง ๆ นานา หรือปลดปล่อยความเป็นตัวเองออกมาอย่างไร้กฎเกณฑ์ อยู่เหนือมารยาททางสังคมในการอยู่ร่วมกัน ตรรกะพัง ทัศนคติติดลบ จัดเป็นคน toxic คนหนึ่งเลยก็ว่าได้ ไม่ได้กระอักกระอ่วนเรื่องภาพลักษณ์ตนเองหากคนรู้จักจะไถมาเจอข้อความเหล่านั้น ก็ไม่แปลกนะถ้าจะมีคนรับไม่ได้กับธาตุแท้ ที่ตัวตนในโลกออนไลน์-ออฟไลน์ต่างกันโดยสิ้นเชิง
ไม่สนใจผู้คนรอบข้าง
สังคมก้มหน้าอยู่แต่กับโลกออนไลน์ เอาแต่ไถอ่านโพสต์ต่าง ๆ ในเฟซบุ๊ก ตั้งหน้าตั้งตาถ่ายรูปลงไอจี เสพดราม่าในทวิตเตอร์ ทั้งที่เจอหน้ากันอยู่จัง ๆ แบบออฟไลน์ บางทีมันก็ทำให้การพบปะกันของเพื่อนฝูงกร่อยลงได้ ถ้ามีใครสักคนเอาแต่ก้มหน้าไถมือถือ ความสนุกสนานขาดหายไป และการมีส่วนร่วมกับช่วงเวลาดี ๆ ในการสานสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้างก็ลดลง ความเป็นแก๊งเพื่อนสนิทเริ่มไม่ใกล้ชิดกันเหมือนแต่ก่อน เพราะเอาความสนใจทั้งหมดไปจดจ่ออยู่กับโลกออนไลน์มากกว่าคนจริง ๆ ที่อยู่ตรงหน้า ไม่สนใจที่จะปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนฝูงหรือคนรอบข้างนั่นเอง
โพสต์รัว ๆ แชร์ซ้ำ ๆ บ่อยจนน่ารำคาญ
การมีโซเชียลมีเดียใช้ ไม่ได้แปลว่าเราต้องแอคทีฟมันตลอดเวลาเสียหน่อย ให้มันร้าง ๆ ไปสักวันสองวันก็ได้ ไม่ต้องโพสต์หรือแบ่งปันความสุขของตัวเองไม่หยุดหย่อนขนาดนั้น ยิ่งกับเรื่องเดิม ๆ สถานที่เดียวกัน ครั้งเดียวก็พอแล้ว หรือบางอย่างตั้งใจจะแชร์เก็บไว้ เปิดเป็น Only Me ก็สะดวกดี จะบอกว่าการกระทำที่ว่าจะทำให้เพื่อน ๆ ในโซเชียลมีเดียของคุณต้องเบื่อหน่าย รำคาญ ถึงขั้นกรอกลูกกะตาหนีเลยทีเดียว หลายคนจึงตัดสินใจเริ่มที่จะเริ่มที่ตัวเอง นั่นก็คือ จำกัดการมองเห็นเพื่อนคนนั้น ไม่ก็บล็อกไปเลยเพราะรำคาญเต็มทน!
ติดแท็กพร่ำเพรื่อ
การติดแท็กหาคนนั้นคนนี้พร่ำเพรื่อ ถือเป็นความน่ารำคาญระดับสิบกะโหลก โดยเฉพาะกับคนที่เขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น ๆ เลยแม้แต่น้อย ทุกครั้งที่มีคนติดแท็กหา เจ้าตัวก็จะได้รับการแจ้งเตือนด้วย หรือต่อให้เพื่อนคนนั้นจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่ถูกแท็กอยู่แล้ว แต่เขาอาจจะไม่ต้องการให้ใครแท็กหา แล้วให้กิจกรรมนั้น ๆ มาขึ้นอยู่ที่หน้าจอของเขาก็ได้เช่นกัน หลายครั้งจึงรู้สึกเหมือนถูกคุกคาม หรือรู้สึกว่าเป็นการพฤติกรรมที่ไม่ค่อยมีมารยาทก็ได้ เพราะไม่ถามก่อน ฉะนั้น เช็กให้ดีว่าจำเป็นต้องแท็กหาคนอื่นไหม ถูกคน ถูกกาลเทศะหรือเปล่า
ความคิดเห็นเราต่างกัน
สืบเนื่องมาจากการที่หลายคนมองว่าโซเชียลมีเดียมันเป็นพื้นที่ส่วนตัว ทำให้หลายคนมักจะแสดงความคิดเห็นในประเด็นต่าง ๆ ของสังคมหรือประเด็นอ่อนไหวทั้งหลายผ่านช่องทางที่ตัวเองมี เอาให้ชัดเจนไปเลยว่าฉันฝักใฝ่ฝ่ายนี้แบบสุดโต่ง แถมยังเป็นพวกที่ไม่รับฟังคนเห็นต่างด้วย ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเข้ามาแบบเป็นมิตร สุภาพ และใช้เหตุใช้ผลมากแค่ไหนก็ตาม ซึ่งถ้าหากว่าบัญชีเราดูหมกมุ่นอยู่แต่กับเรื่องแบบนี้มากเกินไป เพื่อนคนอื่น ๆ ก็จะรู้สึกอึดอัด ลำบากใจ ทุกวันนี้น่ะ แค่ไม่ใช่พรรคพวกเดียวกันก็ไม่อยากจะตามต่อแล้ว อันเฟรนด์ หรือบล็อกดีกว่า จะได้จบ ๆ ไป
ขายของเก่ง
เข้าใจได้ว่าการทำมาหากินมันเป็นเรื่องที่ต้องทำเพื่อความอยู่รอด แต่กับเพื่อนกับฝูงนั้นบางทีละเว้นบ้างก็ได้ ถ้าเขาอยากได้เขาก็จะติดต่อไปเองแหละ ซึ่งพวกที่ขายของเก่ง ๆ ในโซเชียลมีเดียนั้นมีอยู่หลายแบบ ทั้งขายตรง ขายประกัน ชวนเทรดหุ้น เทรดคริปโต พนันออนไลน์ เกมออนไลน์ ไม่ก็ทำทีเป็นโพสต์นั่นรีวิวนี่แต่โป๊ะว่า tie-in โฆษณา ไถฟีดทีเจอแต่โพสต์โปรโมตขายของทั้งที่เป็นหน้าเฟซบุ๊กบุคคล วันดีคืนดีก็ส่งอินบ็อกซ์มาแนะนำสินค้าอีก ที่ยังติดตาม ยังเป็นเฟรนด์กันอยู่ก็แค่อยากจะพบปะกับเพื่อนเก่า ไม่ได้อยากเจอคนที่จ้องจะขายของตลอดเวลาเสียหน่อย
โอ้อวดชีวิตกินหรูอยู่แพงถี่ยิบ
ข้อนี้ไม่มีอะไรมากหรอก มันก็แค่อาการ “หมั่นไส้” เท่านั้นเอง จริง ๆ ก็รู้แหละว่าคนมั่งคนมีก็คงอยากจะโพสต์อวดนั่นอวดนี่เป็นธรรมดา แต่ถ้าอวดจนเกินงามไปหน่อย ดูร่ำดูรวยทุกครั้งที่ไถเจอมันก็น่าเอือมระอาเหมือนกัน เพื่อนเก่าที่แสนดีของฉันในวันนั้น กลายเป็นคนขี้อวดขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน เสียความรู้สึกอยู่ลึก ๆ เหมือนกัน คนอิจฉาก็คงมี แต่คนที่แค่รำคาญเฉย ๆ ก็มีเยอะ และส่วนใหญ่จะพ่วงความหมั่นไส้เข้าไปด้วย สุดท้ายกลายเป็นว่าเขาพากันอนาจใจ กดซ่อนโพสต์ กดอันเฟรนด์ กดบล็อกกันหมด ดีไม่ดีอาจไปฟ้องสรรพากรให้ไปเคาะประตูบ้านตรวจสอบด้วยก็ได้