เปิดตัว OnePlus 11 และ Buds Pro 2 รุ่นขายทั่วโลก สเปกระดับ Flagship Killer กลับมาแล้ว
ในที่สุด OnePlus ได้เผยโฉม OnePlus 11 มือถือเรือธงของค่ายและมีชื่อเล่นๆ ว่า Flagship Killer อีกเช่นเคย และพร้อมกับหูฟัง OnePlus Buds Pro 2 โดยรอบนี้ได้ Jackson Wang เป็นพรีเซนเตอร์ แต่วันนี้เราจะไม่ได้เจาะลึกพรีเซนเตอร์รายนี้เพราะต้องมาดูว่าสเปกที่วางขายทั่วโลกกับในประเทศจีนต่างกันแค่ไหน
OnePlus 11
สำหรับ OnePlus 11 จะมาพร้อมกับหน้าจอ Fluid AMOLED LTPO3 พร้อมกับ Refresh Rate 120Hz แบบ Adative แต่ไม่บอกว่าตั้งแต่เท่าไหร่ ความสว่างอยู่ที่ 1,300 nits
กล้องด้านหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ส่วนกล้องด้านหลังรายละเอียดมีดังนี้
- กล้องหลักความละเอียด 50 ล้านพิกเซล F/1.8 ความกว้าง 24 มิลลิเมตร พร้อมกับ IMX890 ขนาดเซนเซอร์ 1/1.56
- กล้องมุมกว้าง 48 ล้านพิกเซลให้มุมมอง 115 องศา รองรับ Auto Focus และ Macro ใช้เซนเซอร๋ IMX581
- กล้อง Telephoto 2x 1ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล
ทั้งหมดถือว่าเป็นการปรับจูน Software จากทาง Hasselblad รุ่นที่ 3 ที่เพิ่มเรื่องของการการปรับสีให้ธรรมชาติดีขึ้น พร้อมกับมี Multi Spectral Sensor ที่มีทั้งหมด 13 Channel และมี Hasselblad Portrait Mode ทำให้สามารถเลือกใช้การละลายเหมือนกับใช้เลนส์ Portrait ของกล้องค่ายดัง
นอกจากนี้ยังมี TurboRAW HDR สามารถถ่ายภาพในรูปแบบของ RAW File และปรับแต่งสีสันได้หรือให้กล้องช่วยก็ทำได้เช่นเดียวกัน
ด้านขุมพลังไม่ต้องเดาอะไรมากเพราะใช้ Qualcomm Snapdragon 8 Gen 2 มาพร้อมกับ RAM 8GB / 16GB ส่วนพื้นที่ความจำ 128 / 256GB ด้วยกัน แบตเตอรี่มีขนาด 5000 mAh รองรับกำลังชาร์จไฟสูงสุด 100W (SuperVOOC) แต่ถ้าคุณอยู่สหรัฐอเมริกาจะได้ที่ชาร์จ 80W แบบ SuperVOOC เช่นเดียวกัน ข่าวร้ายครับ OnePlus 11 ไม่รองรับ Wireless Charge นะ
OnePlus 11 ยังใช้ OxygenOS อยู่การันตีอัปเกรด 4 ปีสำหรับเวอร์ชั่น และ 5 ปีสำหรับ Security Patch
และสีสันมีให้เลือกทั้ง Titan Black และ Eternal Green โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 699 ดอลล่าร์สหรัฐฯ หรือ 23,xxx บาท กับรุ่น RAM 8/128GB และ 799 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือ 26,xxx บาท ในรุ่น RAM 16/256GB
OnePlus Buds Pro 2
มาถึงอีกชิ้นกันบางกับหูฟังตัวใหม่ที่มาพร้อมกับลำโพงที่มีขนาด 11mm + 6 mm. โดยมีชื่อเรียกเก๋ๆ ว่า MelodyBoost โดยพัฒนาร่วมกับ Dynaudio ทำให้ระบบเสียงถือว่ามีความไว้ใจได้นอกจากนี้ เมื่อใช้กับ OnePlus 11 จะมาพร้อมกับระบบ 3D Audio Effect ในตัวทำงานกับ YouTube และ Disney+ ได้
มีระบบลดเสียบรบกวน Smart Adative Noise Cancellation ที่ลดเสียนงได้มากถึง 48 เดซิเบล ส่วนแบตเตอรี่รองรับการใช้งานสูงสุด 39 ชั่วโมงเมื่อไม่เปิด ANC รองรับการชาร์จไฟทั้งแบบไร้สาย และสาย USB-C แถมมีให้เลือก 2 สีคือ Black และ Green ในราคา 179 ดอลล่าร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 5,990 บาท
ทั้งคู่นี้ก็จะเปิดตัวในเมืองไทย 14 กุมภาพันธ์ ที่จะถึงนี้ต้องรอติดตามกันว่าราคาอย่างเป็นทางการจะอยู่ที่เท่าไหร่