เฉลยแล้ว "เกรดของมือถือ" วัดจากอะไร และทำอย่างไรให้ได้ราคาดีสุด
ไม่นานมานี้ ผู้เขียนเองได้นำมือถือเครื่องหนึ่งไปแลกเป็นมือถือใหม่ แต่ปรากฏว่าตัวเครื่องตรวจสอบแล้วได้สภาพแค่เกรด B เท่านั้น หลายคนก็สงสัยว่า เกรด A B C และ D ของมือถือนั้นหมายถึงอะไร และวัดจากอะไร วันนี้ Sanook Hitech มีคำตอบ
ทำไมต้องวัดเกรดมือถือเวลาแลก
บริษัทที่เทรดเครื่องจะมักตรวจสภาพของเครื่องเพื่อประเมินราคาเหมือนกับร้านค้า แต่ว่าที่คัดเป็นเกรดเพื่อจะได้ง่ายต่อการจัดการ และกำหนดราคา ทำให้ต้องมีการคัดเกรดนั่นเอง
แต่ละเกรดหมายถึงอะไร
เกรดที่บริษัทรับเทรดมักจะตั้งไว้แบ่งออกเป็นดังนี้
- A = เครื่องสมบูรณ์ทั้งภายนอกและข้างใน
- B = เครื่องมีตำหนิอาจจะเป็นรอยที่มากกว่า 3 รอย และนับรอยขนแมว (แต่ล่าสุดผู้เขียนโดนรอยขนแมว!!!!)
- C = ความเสียหายประมาณหนึ่งเช่นหน้าจอรอยเยอะรอบตัว หรือกล้องไม่ทำงาน แต่บางการทำงานภาพรวมยังใช้ได้
- D = ความเสียหายเยอะ เช่นหน้าจอแตก หรือ หน้าจอกระพริบ ซึ่งเกรดนี้จะได้ราคาน้อยที่สุด
ทั้งนี้ต้องบอกว่า การพิจารณาบางครั้งเราประเมินเองว่า A อาจจะโดยปรับโดยฝ่ายวิเคราะห์ของบริษัทนั้นๆ ได้ ซึ่งเราสามารถยื่นขอใหม่หากไม่พอใจได้ แต่ทั้งนี้ควรดูที่ตัวเครื่องให้แน่ใจก่อนว่าสภาพมันจะได้กรดนั้นๆ จริงๆ หรือไม่
อยากได้เกรดสูง ต้องทำอย่างไร
สำหรับวิธีที่จะให้เกรดสูงนั้นเราควรจะทำดังนี้
- เคลมเครื่องทั้งหมด ก่อนเทรด คำแนะนำนี้ให้ทำเฉพาะคนที่ประกันเหลือก่อนที่จะเปลี่ยนจากเครื่องใหม่ เพราะบางจะได้ไม่เป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายและใช้ประกันไปเลย
- ลองถามร้านค้ามือถือ ถ้าขายออกแล้วได้เงินเยอะกว่าเทรด หรือใกล้เคียงกับเทรดแล้วรวมส่วนลด เราก็สามารถใช้ส่วนนี้ในการขายออกไปก็ได้เช่นเดียวกันครับ
- ขายร้านมือถือ และเอาส่วนต่างนี้ไปซื้อมือถือรุ่นใหม่ที่สภาพแกะกล่อง แล้วไปแลกกับมือถือ แต่แนะนำว่าลองเช็คจากเว็บไซต์ของผู้รับแลกก่อนว่า รุ่นไหนคุ้มที่สุด และรวมส่วนลดด้วยนะครับ
สุดท้ายแล้ว การแลกมือถือเก่าเป็นมือถือใหม่ จะคุ้มกับคนที่มีรุ่นที่มีอายุเก่าระหว่าง 1 – 2 ปี จะได้ราคาสูงกว่าคนที่ใช้เกิน 2 ปีแล้ว แต่อย่างไรก็ตามแล้ว มันก็มีวิธีที่ทำให้ได้มือถือที่ราคาถูกเช่นติดสัญญาผู้ให้บริการ หรือ ใช้ Cash Back จากบัตรเครดิต ก็ได้เช่นเดียวกันครับ
ทั้งนี้ Sanook Hitech ก็ขอแสดงความยินดีกับคนที่ได้มือถือรุ่นใหม่ที่แลกจากเครื่องเก่าที่รับใช้คุณมานานไว้ ณ ที่นี้ครับ