ทำความรู้จัก Augmented Reality
คุณเห็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงตรงที่ที่เห็นรึเปล่า? คุณอาจเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดที่จะเข้าพักแรมสงบสติอารมณ์ในห้องที่บุนวมไว้อย่างดี หรือคุณอาจเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้บริโภคที่นิยมชมชอบเทคโนโลยีใหม่กลุ่มแรกๆ (early adopters) ที่จะนำมวลชนสู่ก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของ ค.ศ. 2010 นั่นคือ Augmented Reality
Augmented Reality หรือ AR เป็นวิธีหนึ่งในการวางชั้นข้อมูลลงไปบนสิ่งรอบๆ ตัวคุณ ทำให้คุณมองเห็นได้เหมือนคนเหล็กในหนังเรื่อง Terminator และทำให้การค้นหาศัตรูอย่างไร้ความปรานีเป็นไปได้ง่ายขึ้น รวมทั้งจุดเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไร้สาย
ในระดับหนึ่งนั้น Augmented Reality หรือการนำเอาโลกเสมือนมาผสานกับโลกจริงก็เป็นเพียงวิธีใหม่ในการเข้าถึงข้อมูล แต่ผลกระทบต่อสังคมของมันอาจจะรุนแรงใหญ่โตมโหฬารราวแผ่นดินไหว เป็นผลกระทบแบบเดียวกับการเปลี่ยนจากการครอบงำของคำที่พิมพ์ออกมา และใส่ลงบนสื่อสิ่งพิมพ์ไปเป็นการที่อินเทอร์เน็ตเข้ามาครอบครองสื่อต่างๆ แทน การปฏิวัติอินเทอร์เน็ตทำให้ข้อมูลมีความเฉพาะเจาะจงต่อบริบทมากขึ้น แทนที่คุณจะต้องค้นหาจากระบบทศนิยมดิวอี้ (Dewey Decimal System คือระบบการจัดหมวดหมู่หนังสือในห้องสมุดที่เป็นที่นิยมระบบหนึ่ง) ของห้องสมุดในท้องถิ่นที่คุณอยู่ และเสียเวลาพลิกไปยังบทที่ถูกต้องหรือบทที่คุณต้องการ ข้อมูลจะเข้าถึงได้ทันที และค้นหาได้ง่ายด้วย
Augmented Reality จะนำความก้าวหน้านั้นก้าวไปอีกหนึ่งก้าวกระโดดใหญ่ๆ ซึ่งจะทำให้ความสัมพันธ์ของเรากับข้อมูลเป็นไปในแบบที่เราจะใช้ข้อมูลได้ง่ายและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ข้อมูลจะถูกรวบรวมจากอินเทอร์เน็ต และวางไว้ในบริบทชีวิตประจำวันของพวกเรา คุณจะได้ไม่ต้องไปเสิร์ชในอินเทอร์เน็ตเพื่อจะหาร้านอาหารดีๆ ใกล้ๆ คุณ ที่ตั้งของร้านอาหารเหล่านั้นจะแสดงเอาไว้ตรงหน้าคุณเลย พร้อมกับบทวิจารณ์ล่าสุดจากลูกค้า กระดานแจ้งว่าสัปดาห์นี้มีอะไรพิเศษ และข้อมูลว่าร้านอาหารเหล่านี้มี Wi-Fi ให้ลูกค้าใช้ฟรีหรือไม่ ‘ไฮเปอร์ลิงค์โลกแห่งความจริง’ (Hyperlink คือการเชื่อมโยงของเอกสารบนอินเทอร์เน็ต จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง) ดังที่ Rolf Hainich ผู้เขียน The End of Hardware อธิบายไว้ว่ามันมีศักยภาพที่จะทำให้พวกเราใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น
AR เจเนอเรชั่นแรก
สัปดาห์นี้คุณได้ดู Match of the Day หรือเปล่า ถ้าได้ดู คุณก็ได้สัมผัส Augmented Reality แบบยังไม่สมบูรณ์นักแล้ว เทคโนโลยีที่ทำให้โฆษณาอังกฤษปรากฏอยู่รอบสนามระหว่างการแข่งขันต่างแดน หรือชโลมคอมพิวเตอร์กราฟิกรูปตราประจำทีมของคุณลงบนสนามฟุตบอลยาวประมาณครึ่งสนามทางช่องข่าว Sky Sports ล้วนเป็นตัวอย่างของ AR ทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวของสิ่งที่ AR สามารถทำได้
อุตสาหกรรมโทรศัพท์มือถือจะเป็นพลังขับเคลื่อนเบื้องหลังการเติบโตของ AR ตัวจริง มือถือรุ่นล่าสุดซึ่งเพียบพร้อมด้วยระบบติดตามด้วยพิกัดดาวเทียม (GPS tracking เป็นระบบติดตามและค้นหาตำแหน่งด้วยการระบุพิกัดจากดาวเทียม) กล้องถ่ายรูป และเข็มทิศ สามารถคำนวณหาตำแหน่งที่คุณอยู่และทิศทางที่คุณหันหน้าไปได้อย่างแม่นยำ เพื่อที่ข้อมูลจะได้รับการปรับแต่งตลอดเวลา ให้เข้ากับตำแหน่งที่คุณอยู่และทิศทางที่คุณกำลังหันหน้า หรือมุ่งหน้าไป ทั้งหมดที่คุณต้องทำก็แค่มองโลกบนหน้าจอมือถือในโหมดจัดองค์ประกอบภาพจากกล้องถ่ายรูป (viewfinder mode)
มีแอพพลิเคชั่นที่ใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้เรียบร้อยแล้วบน iPhone ของ Apple มือถือ Android ของ Google และมือถือระบบปฏิบัติการ Symbian และ Windows ใหม่ล่าสุด แอพพลิเคชั่น AR บนมือถือแบบแรกสุดเลยคือ Wikitude ซึ่งเป็น Wikipedia เวอร์ชั่น AR นั้นมีให้ใช้ได้ในมือถือ Google Android ตั้งแต่ปลายปี ค.ศ. 2008 และใน iPhone ตั้งแต่เดือนตุลาคม ค.ศ. 2009 และตอนนี้ได้รับการดาวน์โหลดไปมากกว่า 50,000 ครั้งแล้ว ด้วยการใช้หน้าจอแบบ Google Maps ผู้ใช้ Wikitude สามารถ geotag หรือระบุค่าพิกัดจากดาวเทียมของสถานที่ที่พวกเขาไปเยือนได้ และเมื่อได้แท็ค (tag) ไปแล้ว ผู้ใช้ Wikitude คนอื่นๆ ทั้งหมดก็จะสามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้นได้ เมื่อพวกเขาอยู่ในสถานที่เดียวกันนั้นและมีมือถือพร้อมใช้งาน
“Wikitude ทำงานเหมือนการช่วยนำทางที่ได้รับการยกระดับคุณภาพแบบหนึ่ง ซึ่งนำแผนที่ GPS (Global Positioning System คือระบบบอกตำแหน่งบนผิวโลก โดยอาศัยการคำนวณพิกัดจากดาวเทียม) และข้อมูลในหนังสือนำเที่ยวของคุณมาไว้ในที่เดียวกัน” Richard Warmsley หัวหน้าแผนกโมบายบรอดแบนด์ (การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงทางมือถือ) ของบริษัท T-Mobile อธิบาย
คอนเทนต์หรือเนื้อหาสาระนั้น จะต้องมีความคุ้มค่าพอถ้าจะให้คนอื่นๆ ใช้แอพพลิเคชั่นเหล่านี้ ไม่ใช่แค่กลุ่มคนที่ชื่นชอบเทคโนโลยีใหม่ ซึ่งกระตือรือร้นจะใช้อยู่แล้วเท่านั้น และนั่นหมายความว่าจะต้องเป็นเนื้อหาที่ตัดแต่งมาโดยเฉพาะ ไม่ใช่เป็นความคิดเห็นครึ่งๆ กลางๆ ไม่สมบูรณ์ของบล็อกคนทั่วไปที่มีสมาร์ทโฟนหนึ่งเครื่อง ตอนนี้ได้มีแอพพลิเคชั่นที่มุ่งสนองเพียงความต้องการเฉพาะของคุณ หรือที่นำเสนอเนื้อหาสาระหลากหลายที่ได้เลือกสรรมา ซึ่งคุณสามารถเลือกเอาแต่สิ่งที่ดีที่สุดได้
Layar (โปรแกรมดูข้อมูลจากสถานที่จริง) ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นในประเทศเนเธอร์แลนด์ เป็นทางแก้ไขปัญหาข้อมูลขนาดมหึมาที่ก่อตัวราวกับคลื่นพายุ และถาโถมเข้าใส่คุณทางอินเทอร์เน็ตที่ค่อนข้างใช้งานได้ดีอันนึง แอพพลิเคชั่น Layar ให้คุณเลือกได้ว่า ‘layar’ ใดที่คุณอยากให้ปรากฏเมื่อคุณดูหน้าจอมือถือของคุณ ‘laya’ แต่ละอันให้ข้อมูลจำพวกที่ต่างกันออกไป ซึ่งตอนนี้มีให้ใช้ได้ 162 อัน มีตั้งแต่คำแนะนำว่าที่พักใดในญี่ปุ่นน่าไปพักที่สุด จะหาร้าน McDonald ที่อยู่ใกล้ตัวคุณที่สุดได้ที่ไหน ไปจนถึงวิธีหาตำแหน่งที่ตั้งของสถานีรถไฟใต้ดินในลอนดอนและปารีส
Bruce Thomas แห่งห้องทดลองคอมพิวเตอร์ที่สวมใส่ได้ (Wearable Computing Lab) ที่มหาวิทยาลัย University of South Australia เชื่อว่า “มันจะต้องฟันฝ่าอุปสรรคสองสามอย่างให้ได้ ถ้าจะประสบความสำเร็จ” แต่กลุ่มผู้ชื่นชอบเทคโนโลยีใหม่ๆ ก็ใช้ประโยชน์จากแอพพลิเคชั่น AR กันอยู่แล้วในขณะนี้ และมันยังมีให้ใช้ได้อย่างกว้างขวางจากผู้ผลิตมือถือรายใหญ่ เพราะเหตุนี้จึงคาดว่ามันจะเป็นจุดขายหลักของมือถือภายในปี ค.ศ. 2012
ผู้ผลิตมือถือไม่ใช่
แค่กลุ่มเดียวที่กำลังให้ความสนใจกับศักยภาพของ AR ถ้าคุณมีคอมพิวเตอร์และเว็บแคม คุณก็สามารถสัมผัสได้ถึงความเพลิดเพลินที่ AR มอบให้ได้เลยตอนนี้ ผู้อ่านนิตยสาร Popular Science ของอเมริกาฉบับเดือนกรกฎาคม ได้รับการต้อนรับด้วยรูปสามมิติของฟาร์มกังหันลม (wind farm) ที่กำลังทำงานอยู่ ถ้าพวกเขาถือหน้าปกนิตยสารไปจ่อกับเว็บแคมของคอมพิวเตอร์ของพวกเขา อันที่จริงนิตยสารของเราฉบับคริสต์มาส เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษที่สหราชอาณาจักร ก็มีตัวอย่างของ AR ที่ปกด้านใน ผู้อ่านสามารถไปที่เว็บไซต์ LG ที่ระบุไว้บนโฆษณา และถือโลโก้ LG ที่ได้รับการดัดแปลงเป็นพิเศษไว้ด้านหน้าเว็บแคมของคอมพิวเตอร์ เพื่อดูคลิปสามมิติจากภาพยนตร์เรื่อง Avatar
เครื่องมือการโฆษณาแบบนี้เริ่มใช้กันแพร่หลายมากขึ้น เมื่อบริษัทต่างๆ ทำการตลาดเกี่ยวกับภาพยนตร์ หรือเกมใหม่ๆ ในออสเตรเลีย ถ้าคุณถือโฆษณาภาพยนตร์เรื่อง Night at the Museum 2 ไปจ่อกับเว็บแคมของคุณ Ben Stiller แบบสามมิติจะยิ้มอย่างมีเลศนัยมายังคุณ ดูน่าสะพรึงกลัว แต่ก็ได้ผลดี Lego ได้ใช้เทคโนโลยีแบบเดียวกันนี้ในร้านค้า โดยให้บรรจุภัณฑ์แสดงของเล่นเวอร์ชั่น AR ของตัวต่อที่ต่อเสร็จสมบูรณ์แล้ว
คริสต์มาสปีนี้ ของเล่นชิ้นแรกๆ ที่มากับเทคโนโลยี AR จะวางขาย ของเล่นที่เรียกว่า EyePet ของ Sony ให้ผู้เล่นปฏิสัมพันธ์กับสัตว์เลี้ยง AR ของพวกเขาผ่านเว็บแคม ในขณะที่หุ่นจำลองขนาดเล็กจากภาพยนตร์เรื่อง Avatar มาพร้อมกับป้าย i-Tag (ป้ายอิเล็กทรอนิกส์ให้นำไปส่องกับเว็บแคม) แบบพิเศษ ซึ่งสร้าง Jake Sully เวอร์ชั่นสามมิติ ชุดเกราะ AMP และเฮลิคอปเตอร์ติดอาวุธ RDA (the RDA gunship) ที่กำลังเคลื่อนที่ บิน และยิงได้ โอ้ และอย่ากังวลไปเลย ถ้าคุณยังไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นคืออะไร คลื่นยักษ์สึนามิแห่งการโหมโฆษณาของภาพยนตร์ Avatar ได้เติมช่องว่างแห่งความรู้ด้านนี้ให้กับผู้บริโภค
อนาคตของ AR
Augmented Reality การนำเอาโลกเสมือนมาผสานกับโลกจริง มีศักยภาพจะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นและสนุกมากขึ้น ตั้งแต่การเล่นเกมไปจนถึงการท่องเที่ยว ช็อปปิ้งไปจนถึงอุปกรณ์ไฮเทค เครือข่ายสังคมออนไลน์ไปจนถึงเฟอร์นิเจอร์แบบประกอบเอง และการทำสงคราม (แน่นอนอยู่แล้ว ยกเว้นสองอย่างหลัง) แต่ถ้าจะนำเทคโนโลยีใหม่นี้มาใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ พวกเราควรจะสามารถวางโทรศัพท์มือถือของตัวเองลง หรือไม่ต้องพึ่งมือถือเพียงอย่างเดียว และเข้าไปใช้เนื้อหาสาระพิเศษที่มีให้อย่างเหมาะสม พวกเราจำเป็นต้องมีอุปกรณ์แบบใหม่เพื่อที่จะทำเช่นนั้นได้ อุปกรณ์แบบที่เหมาะสมที่สุดคือ บางสิ่งที่จะทำให้พวกเราเห็นข้อมูลที่มีให้วางเป็นชั้นๆ อยู่บนลูกตาของเราเลย ทำให้พวกเรากลายเป็นมนุษย์ไบโอนิกที่มีพลังเหนือกว่าคนทั่วไปซึ่งเป็นส่วนต่อขยายจากอินเทอร์เน็ต และทำให้เรามองเห็นและล่วงรู้ข้อมูลทั้งหมด
Babak Parviz เป็นนักวิจัยที่มหาวิทยาลัย Washington University เขาได้สร้างคอนแทคท์เลนส์ติดไมโครชิปที่ไม่ต้องต่อสายเข้ากับแหล่งพลังงาน (wirelessly-powered) ซึ่งจะทำงานนี้ได้อย่างงดงาม คอนแทคท์เลนส์เหล่านี้น่าจะมีให้ใช้ ‘ในช่วงชีวิตของพวกเรา’ แต่ยังไม่ใช่ในช่วงนี้ ก่อนจะถึงเวลานั้น พวกเราจะต้องหาอุปกรณ์ HMD (head-mounted display คืออุปกรณ์แสดงภาพที่สวมไว้บนศีรษะ) ที่จะไม่ทำให้ผู้สวมดูเหมือนสวมหมวกตำรวจเหล็ก Robocop ราคาถูกๆ
หลังจากการเริ่มต้นอย่างผิดพลาดสองสามครั้ง บริษัทสัญชาติอเมริกัน Vuzix ก็เปิดตัว Wrap 920 AV ซึ่งเป็น HMD หรือหมวกติดจอภาพตัวแรกที่วางขายตามท้องตลาด และหน้าตาดูสังคมรับได้ มันดูเหมือนกับแว่นตากันแดดหนาเตอะที่ล้าสมัยเล็กน้อย และทำให้คุณสามารถมองเห็นเนื้อหา AR และสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวคุณได้ในเวลาเดียวกัน
มีโอกาสในโลกแห่งความเป็นจริงมากมาย ที่อุปกรณ์ HMD ประเภทนี้จะประสบความสำเร็จและเป็นที่นิยม หนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดตัวอย่างหนึ่งคือการเล่นเกม อีกไม่นาน Project Natal ของบริษัท Microsoft จะนำเสนอเกมที่ตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของร่างกายคุณทั้งหมด แต่การกระทำนั้นเกิดขึ้นในพื้นที่เล่นเกมที่ได้รับการออกแบบไว้ก่อนแล้ว ลองจินตนาการถึงการเล่นเกมในสถานที่ที่คุณอยู่ คุณสามารถแกะรอยศัตรู AR รอบๆ คอนโดของคุณได้อะไรทำนองนั้น เกม ARQuake ซึ่งสร้างขึ้นในห้องทดลองคอมพิวเตอร์ที่สวมใส่ได้ (Wearable Computing Lab) ที่ออสเตรเลียในปี ค.ศ. 2002 ได้รับการออกแบบมาเพื่อจุดประสงค์นั้นโดยเฉพาะ หลังจากสร้างภาพสามมิติบริเวณมหาวิทยาลัยของพวกเขาขึ้นมา ผู้เล่นที่ห้องทดลองก็สวม HMD ที่มองทะลุได้ คอมพิวเตอร์เคลื่อนที่ ตัว head tracker (อุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหวศีรษะของผู้ใช้ เพื่อให้ภาพที่ได้สอดคล้องกับการเคลื่อนไหว) และระบบ GPS ที่ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นโดยมีความถูกต้องในระดับ 50 ซม. แทนที่จะเป็น 5 ม. เหมือนระบบทั่วไป ซึ่งผู้เล่นจะย่องตามล่าและไล่ยิงสัตว์ประหลาดไปทั่วมหาวิทยาลัย โดยมันจะโผล่มาตามมุมหลืบและจากใต้แท่นยืนสำหรับผู้บรรยาย เสิร์ชคำว่า ‘ARQuake’ ใน YouTube เพื่อดูการเล่นเกมนี้กับตาตัวเอง เกมนี้ไม่ได้มีขายตามท้องตลาด ถ้ามันวางขายละก็มหาวิทยาลัย Oxford จะเป็นสถานที่ที่สงบเงียบน้อยกว่าปัจจุบันมาก แต่หลักการเดียวกันนี้ได้ถูกใช้ในโปรเจ็คท์ทางการทหารอยู่จริงๆ ในตอนนี้
Battlefield Augmented Reality System (BARS) ของกองทัพสหรัฐฯ นำคอนเซ็ปท์ที่พัฒนาขึ้นสำหรับเกม ARQuake มาใช้ในโลกแห่งความเป็นจริง ช่วยให้กองทัพสหรัฐฯ เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับความยากลำบากในการสู้รบ ในพื้นที่ฝ่ายศัตรูที่มีบ้านเรือนอยู่หนาแน่น อย่างเช่นใจกลางเมือง Helmand ในประเทศอัฟกานิสถาน ถ้าคุณหยุดเพื่อดูแผนที่ในเขตการสู้รบ คุณจะกลายเป็นเป้านิ่ง แต่ถ้าคุณมี HMD และเทคโนโลยี AR อยู่พร้อม คุณจะมีแผนที่อยู่ในขอบเขตการมองเห็นของคุณ และยังรับรู้ถึงสภาพแวดล้อมรอบๆ ตัวได้เต็มที่อีกด้วย และต้องขอบคุณอัลกอริธึม (algorithm) ที่คำนวณหารูปแบบการเคลื่อนที่ครั้งก่อนๆ ของศัตรู ซึ่งทำให้คุณสามารถเดาแบบมีหลักการได้ว่าตอนนี้ศัตรูอยู่ที่ไหน
BARS ได้รับการทดสอบในประเทศอิรัก และยังห่างไกลจากความสมบูรณ์แบบมากนัก แต่ภายในสามปีนี้ ทหารจะมีสิ่งนี้เป็นอุปกรณ์ประจำตัว
กระบวนการเดียวกับที่กองทัพนำไปใช้นี้ สามารถนำไปช่วยเรื่องการศึกษาได้ในวันหนึ่งข้างหน้า โดยการนำบทเรียนออกมาจากตำราเรียนและแสดงมันให้ดูในรูปแบบสามมิติในเวลาจริง (real-time 3D) ลองนึกภาพดูว่าการไปเยี่ยมเยือนประวัติศาสตร์จะน่าสนใจมากขึ้นมากเพียงใด ถ้าพวกมันได้รับการยกระดับให้ดีขึ้นด้วยเทคโนโลยี AR ไม่มีสิ่งใดจะสอนเด็กๆ ได้ผลดีไปกว่าการดูชายหนุ่มถูกสิงโตขย้ำในสนาม Coliseum หรือถูกแขวนคอต่อหน้าฝูงชนที่โห่ร้องกระหายเลือดในหอคอยลอนดอน (Tower of London)
Augmented Reality ถูกนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ในหลายสาขาอาชีพ ตัวอย่างเช่น มันจะเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มากสำหรับนักดับเพลิง เมื่อพวกเขาเข้าใกล้ตึกที่กำลังไฟไหม้ พวกเขาจะสามารถดูพิมพ์เขียวของตัวตึกดังกล่าว พร้อมกับจำนวนผู้อยู่อาศัยและตำแหน่งที่พวกเขาอยู่ได้ และยังดูตำแหน่งของท่อส่งก๊าซที่อยู่ใกล้ๆ ได้อีกด้วย ข้อดีต่างๆ นั้นเห็นได้ชัดเจน
เช่นเดียวกันสำหรับแพทย์ แทนที่จะต้องมองไปที่อื่นเพื่อดูผลสแกนของคนไข้ พวกเขาจะสามารถมองเห็นผลสแกนนั้นพาดทับอยู่บนตัวคนไข้ได้เลย AR จะให้การมองเห็นแบบเอกซเรย์กับแพทย์อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้พวกเขาสามารถมองเห็นภายในของร่างกายคนไข้ และตรวจวินิจฉัยได้ละเอียดถี่ถ้วนยิ่งขึ้น มันจะทำให้ซีรีส์เรื่อง House (ซีรีส์ละครชีวิตเกี่ยวกับวงการแพทย์ของอเมริกา) น่าติดตามดูน้อยลง แต่มันจะช่วยลดความผิดพลาดของแพทย์ได้
จะมีการเปลี่ยนแปลงที่คล้ายกันสำหรับคนที่ชอบทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง (DIY - Do It Yourself) และคนรัก gadget เมื่อคู่มือแนะนำการใช้งานกลายเป็นแบบเชิงโต้ตอบ (interactive) แต่เห็นได้ชัดว่าสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือชีวิตน้อยกว่า และเกี่ยวข้องกับการทำให้ชีวิตดีขึ้นมากกว่า เมื่อคุณประกอบตู้เสื้อผ้าแบบประกอบเองรุ่นล่าสุดของร้าน Ikea หรือพยายามเชื่อมต่อชุดลำโพง 5.1 แชนเนลรุ่นใหม่ คุณจะเห็นคำแนะนำในการติดตั้งปรากฏที่ด้านบนสุดของสายสัญญาณกองใหญ่ และบนแผ่นชิ้นไม้อัดวีเนียร์เชอร์รี่ นั่นหมายความว่า
AR 5 ชั้น ที่น่าตื่นเต้นในวันนี้
1 แว่นตา AR
ตามที่ Bruce Thomas ผู้เชี่ยวชาญเรื่อง AR กล่าวนั้น แว่นตาที่สามารถสวมใส่ได้คืออนาคตของการใช้งานอินเทอร์เน็ตเคลื่อนที่ แว่นตารุ่น Wrap 920 AV จากบริษัทสัญชาติอเมริกัน Vuzix เป็นแว่นตามองทะลุได้คู่แรกที่แสดงข้อมูลพาดทับ และสร้างโลกเสมือนที่ผสานกับโลกจริง น่าจะออกวางขายได้ภายในหนึ่งปี มีให้ใช้ได้: ค.ศ. 2010
2 สัมผัสที่หก
‘ระบบอินเตอร์เฟส gesture ที่สวมใส่ได้’ แบบใหม่ที่สร้างโดย Pranav Mistry นักวิจัยที่มหาวิทยาลัย MIT ทำให้ผู้ชื่นชอบเทคโนโลยีทั้งหลายที่การประชุม TED (Technology, Entertainment, Design) ในเดือนกุมภาพันธ์เมื่อปีที่แล้วรู้สึกประทับใจมาก มันทำให้ผู้สวมใส่สามารถเคลื่อนย้ายไฟล์เอกสารไปรอบๆ ผนังที่ว่างเปล่าได้ด้วยการโบกมือไปมา และประกอบขึ้นด้วยเทคโนโลยีของทุกวันนี้ มูลค่า 350 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น มีให้ใช้ได้: ยังอยู่ในขั้นตอนการทำต้นแบบ
3 ตาไบโอนิก
โลกตื่นเต้นมากเมื่อ Babak Parviz แห่งมหาวิทยาลัย Washington University สร้างวงจรไฟฟ้าที่เล็กจนใส่เข้าไปในคอนแทคท์เลนส์ได้ ข่าวดีก็คือสิ่งประดิษฐ์ของเขาจะทำให้พวกเราทุกคนมองเห็นในแบบ AR ได้ดียิ่งขึ้น เขาได้พิสูจน์แล้วว่า กระต่ายสามารถใส่คอนแทคท์เลนส์นี้นาน 20 นาทีโดยไม่เจ็บปวด ข่าวร้ายก็คือ Parviz ไม่ยอมแพร่งพรายออกมาเลยว่า เมื่อไรมันจะออกวางขายให้พวกเราได้ใช้กัน อย่างไรก็ตาม เขาเชื่อว่าจะออกวางขายได้ในช่วงชีวิตของเขานี้ มีให้ใช้ได้: ปลาย ค.ศ. 2020?
4 การเล่นเกม AR
อดใจรอที่จะเล่นไม่ได้แล้วเหรอ? ดาวน์โหลดโปรแกรม Virus Killer 360 ของบริษัทสัญชาติอังกฤษ AcrossAir บน iPhone ของคุณ และคุณก็จะเริ่มปกป้องตัวเองจากผู้รุกราน AR ขนาดจิ๋วมากได้ในตอนนี้เลย
มีให้ใช้ได้: ตอนนี้
5 ไอ้ตีนโต (sasquatch)
ไม่มีโทรศัพท์มือถือที่ใช้งานกับ AR ได้ แต่อยากรู้ว่ามีเรื่องอะไรน่าสนใจเกิดขึ้นบ้างงั้นเหรอ ถ้าคุณมีเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล เครื่องพรินเตอร์ และเว็บแคม คุณก็สามารถรู้ได้ว่ามีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้น ไปที่เว็บไซต์ www.livingsasquatch.com และทำให้ไอ้ตีนโต (Big Foot) เต้นรำ
มีให้ใช้ได้: ตอนนี้
ความสับสนมีน้อยลง การสบถสาบานมีน้อยลง การถกเถียงกันมีน้อยลง และโลกก็สงบสุขขึ้น
เป็นที่แน่ชัดว่า AR ไม่ได้หลุดรอดสายตาของบรรดาผู้บริหารด้านการตลาดและการโฆษณาไป พวกเขาวางแผนจะ ‘ยกระดับ’ ประสบการณ์การช็อปปิ้งของคุณ ด้วยการนำพาคุณไปสู่สิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าคุณอยากจะซื้อแน่ๆ ลองจินตนาการถึงฟีเจอร์ Recommendation ที่ให้คำแนะนำการจับจ่ายซื้อสินค้าของเว็บไซต์ Amazon โผล่ขึ้นมาทุกครั้งที่คุณเดินผ่านร้านขายแผ่นซีดีเพลง และชี้ให้เห็นว่าการจับจ่ายใช้สอยครั้งก่อนของคุณ บ่งชี้ว่าคุณต้องการแผ่นรวมเพลงฮิตของวงป๊อปสัญชาติอังกฤษ Kajagoogoo ไว้ในคอลเล็กชั่น คุณไม่แน่ใจว่าชอบไอเดียนี้หรือเปล่า ชินเสียเถอะ บริษัท Intel กำลังโฆษณาเผยแพร่เครื่องมือที่จะช่วยให้คุณลองชุดได้แบบเสมือนจริงโดยที่คุณไม่ต้องไปเข้าร้านเลยสักครั้งแล้ว
Dan Chapman หัวหน้าแผนกดิจิทัลแห่งบริษัทตัวแทนธุรกิจ BLM Red ที่ตั้งอยู่ในลอนดอน กล่าวว่า “คุณจะสามารถยกระดับประสบการณ์การช็อปปิ้ง ได้ด้วยการชี้นำลูกค้าไปยังผลิตภัณฑ์ที่เขาต้องการจริงๆ เลย และแสดงให้พวกเขาดูว่าเมื่อพวกเขาใช้มันจะดูเป็นอย่างไร” ความตั้งใจนี้คือ ให้ทุกๆ คนอยู่ในโลกแห่งความจริงที่ถูกปรับให้เข้ากับพวกเขาแต่ละคนโดยเฉพาะ ซึ่งล้อมรอบไปด้วยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับพวกเขามากที่สุด เช่นเดียวกับ ‘สกิน’ (skins คือฉากหลังที่ไว้ตกแต่งเว็บส่วนตัวของแต่ละคน) เฉพาะบุคคลที่ใช้ทำให้เว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์ อย่างเช่น Twitter และ MySpace มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โลกแห่งความจริงของเราก็สามารถตกแต่งได้ตามแต่เราจะเลือก
สิ่งนี้แนะให้เห็นว่า Augmented Reality สามารถทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในด้านสังคมและวัฒนธรรม เช่นเดียวกับในด้านเทคโนโลยี
“แอพพลิเคชั่นสำหรับใช้งานทั่วไปในทุกๆ วันของ Augmented Reality ที่น่าสนใจที่สุดจะเป็นวิธีที่มันเชื่อมต่อช่องว่าง ระหว่างโลกแห่งความจริงกับตัวตนในเครือข่ายทางสังคมของเรา” Richard Leyland กล่าว Leyland มองว่า AR จะ ‘ปลดล็อกข้อมูล’ ที่พวกเราเก็บไว้ในหน้าโปรไฟล์สั้นๆ ใน Facebook, Bebo และ LinkedIn พวกเราจะเลือกแบ่งปันส่วนหนึ่งของตัวตนดิจิทัลของเรากับโลกภายนอก
Richard Warmsley หัวหน้าแผนกโมบายบรอดแบนด์ของบริษัท T-mobile เสริมว่า “เครือข่ายสังคมออนไลน์แบบสดๆ ที่ทำให้เส้นแบ่งชีวิตออนไลน์และออฟไลน์พร่าเลือนลง จะหมายความว่า ข้อมูลที่มีอยู่ในเครือข่ายสังคมออนไลน์ของคุณ สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ในเวลาจริงๆ สภาพแวดล้อมจริงๆ” ตัวอย่างเช่น ข้อมูลเหล่านั้นสามารถปรากฏในกรอบข้อความเหนือศีรษะใครสักคน การถ่ายทอดทุกความคิดของคุณให้โลกได้รับรู้เป็นแนวความคิด ที่ทำให้เป็นที่นิยมกันทั่วไป โดยความสำเร็จอันโดดเด่นเมื่อเร็วๆ นี้ของ Twitter แต่การมีแผนการทานข้าวกลางวันที่น่าเบื่อ อยู่ในกรอบข้อความเหนือหัวคุณให้คนรอบข้างได้เห็นนั้นจะดีเหรอ? จะให้ดีต้องระมัดระวังในสิ่งที่คุณพิมพ์ลงไปด้วย หรือไม่ก็จำกัดกลุ่มคนที่สามารถเห็นมันได้ให้อยู่ในกลุ่มเพื่อนที่สนิทสนมและเข้าอกเข้าใจ
‘วัตถุเสมือนจริงและอุปกรณ์เสมือนจริงจะอยู่รอบตัวเรา’ Rolf Hainich เขียนไว้ในหนังสือ The End of Hardware ของเขา “อีกไม่นานพวกมันจะมาแทนที่ฮาร์ดแวร์ยูสเซอร์อินเตอร์เฟส (user interface hardware ที่ใช้ติดต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์ต่างๆ) ส่วนใหญ่ที่ผู้ใช้ใช้กันทุกวันนี้”
Hainich จินตนาการถึงอนาคตที่การควบคุมทางกายภาพถูกถอดออกไป เพื่อให้ mass personalisation (การที่บริษัทปรับเปลี่ยนสินค้าให้เข้ากับรสนิยม และความชอบของลูกค้าโดยเฉพาะ) และ virtual customization (การปรับแต่งให้เข้ากับความต้องการของแต่ละคน โดยใช้เทคโนโลยีเสมือนจริงเข้ามาช่วย) เข้ามาแทนที่ ตัวอย่างเช่น คุณสามารถเลือกได้ว่าคุณอยากให้ระบบควบคุมและมาตรวัดต่างๆ บนแผงหน้าปัดรถยนต์ของคุณมีหน้าตาเป็นแบบไหน แทนที่จะมีแผงหน้าปัดพลาสติกสีดำธรรมดาๆ รถ Fiat Punto ของคุณสามารถติดตั้งแผงหน้าปัดของรถ Audi R8 ได้ สมรรถนะของรถยนต์จะไม่เปลี่ยนไป แต่คุณจะรู้สึกได้แน่นอนว่าเหมือนคุณเคลื่อนที่ไปเร็วขึ้น
ที่มหาวิทยาลัย MIT (Massachusetts Institute of Technology) Pranav Mistry แห่งบริษัทSixthSense ได้สร้างสิ่งประดิษฐ์ที่บ่งบอกถึงการสิ้นสุดของฮาร์ดแวร์แบบดั้งเดิม อย่างไม่ให้ใครได้ทันตั้งตัวไปแล้ว Mistry นำเทคโนโลยีมูลค่า 350 ดอลลาร์สหรัฐฯ ที่มีให้ใช้อยู่ในขณะนี้ รวมถึงตัวเซ็นเซอร์ที่นิ้วของเขา กล้องถ่ายรูปหนึ่งตัว และเครื่องฉายภาพโปรเจ็คเตอร์หนึ่งเครื่อง ทำเหมือน Tom Cruise ในภาพยนตร์ไซไฟเรื่อง The Minority Report และใช้พื้นผิวใดๆ ก็ได้เป็นหน้าจอคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลของเขา เขาสามารถเคลื่อนย้ายและจัดการรูปภาพต่างๆ ถ่ายรูปด้วยมือของเขา และเคลื่อนย้ายไฟล์เอกสารไปรอบๆ ได้อย่างง่ายดายราวกับมันเป็นวัตถุที่จับต้องได้จริง มันเหมือนกับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล Microsoft Surface (คอมพิวเตอร์แบบสัมผัสที่ตอบสนองต่อการสัมผัสและการชี้มือชี้ไม้) ต่างกันเพียงว่าคุณสามารถใช้อะไรก็ได้รอบๆ ตัวเป็นพื้นผิวให้สัมผัส
ถ้าเอาตามข้อสรุปที่สมเหตุสมผลที่ตามมาของมัน ก็หมายความว่าจะไม่มีคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ เครื่องอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ หรือแม้แต่คีย์บอร์ดอีกต่อไป โลกที่ไม่มีฮาร์ดแวร์จะดูแตกต่างออกไปมาก เป็นก้าวกระโดดก้าวใหญ่สุดๆ ในเทคโนโลยีที่ค่อนข้างจินตนาการถึงยาก แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่ในนิยายวิทยาศาสตร์
ตรวจสอบความเป็นจริง
ก่อนที่สมองของเราจะท่วมท้นไปด้วยภาพในอุดมคติ บางทีพวกเราน่าจะพูดคุยกันถึงขีดจำกัดในปัจจุบันของ Augmented Reality
Adam Greenfield หัวหน้าแผนกกำหนดการออกแบบ (Design Direction) ของบริษัท Nokia และผู้เขียนหนังสือเรื่อง Everyware กล่าว “บทสรุปสุดท้ายของ AR ก็คือว่ามันเป็นแค่อินเตอร์เฟส มันจะมีประโยชน์หรือน่าสนใจได้เท่ากับข้อมูลที่บรรจุอยู่เท่านั้น ถ้าไม่มีข้อมูลที่สำคัญ มีความหมายต่อใครบางคนและเหมาะกับเวลาแล้วละก็ ทั้งหมดที่ AR ให้คุณได้ก็เพียงหน้าต่างอีกบานหนึ่งที่เปิดไปสู่ห้องที่ใหญ่ที่สุดและว่างเปล่าที่สุด”
ลองดูอย่างแอพพลิเคชั่นโทรศัพท์มือถือ Layar ที่อ้างว่ามีชั้นข้อมูลให้เลือกถึง 162 ชั้นเป็นตัวอย่าง นั่นอาจจะฟังดูน่าประทับใจ แต่ชั้นข้อมูลเหล่านั้นรวมถึงจุดชมความงามที่ซ่อนเร้นในเมือง Kiev (เมืองหลวงของประเทศยูเครน) และความสูงของภูเขาในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ทุกลูก นั่นไม่ช่วยให้คุณหาทางเดินไปมาในใจกลางเมือง Edinburgh (เมืองหลวงของประเทศสกอตแลนด์) ได้
Alistair Jeffs ซึ่งเคยอยู่กับบริษัท 3 ในสหราชอาณาจักร และตอนนี้อยู่กับบริษัท Eyeply ที่ตั้งอยู่ที่เมือง San Francisco เตือนว่า “สภาพแวดล้อมในการนำ AR มาใช้กับโทรศัพท์มือถือทุกวันนี้นั้นส่วนมากจะมีขนาดใหญ่มหึมา จนประสบการณ์ที่ได้ส่วนใหญ่จะไม่น่าประทับใจและไม่มีประสิทธิภาพ” ระดับความคาดหวังและความเป็นไปได้นั้น หมายความว่าแทบจะหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่ความเป็นจริงของ AR ในตอนนี้จะน่าผิดหวัง เหมือนกันมากกับ virtual reality (VR ความจริงเสมือน) บรรพบุรุษของมันที่ครั้งหนึ่งเคยคุยโตโอ้อวด แต่สุดท้ายก็ถูกฝังอยู่ในหลุมศพของยาจก
บริษัท Eyeply กำลังแก้ปัญหานี้ด้วยการเพ่งความสนใจไปที่ ‘พื้นที่ขนาดเล็กลงพร้อมด้วยตัวกำหนดขอบเขต (parameter) และเส้นรอบขอบเขต (perimeter)’ เช่นสนามกีฬาและสวนสนุก การเสนอประสบการณ์ AR ทั้งหมดภายในขอบเขตที่ควบคุมไว้เช่นนี้ หมายความว่าคุณสามารถสร้างระดับการมีปฏิสัมพันธ์เชิงโต้ตอบ (interactivity) ได้ในระดับที่น่าพอใจ แทนที่จะเป็นผลแบบหว่านแหของแอพพลิเคชั่นอย่าง Wikitude
แอพพลิเคชั่นอื่นๆ ที่เพ่งความสนใจให้แคบและจำกัด มีจุดประสงค์ที่เฉพาะเจาะจงคือ Lookator และ Worksnug ซึ่งได้รับการออกแบบมาโดยคำนึงถึงคนทำงานนอกสถานที่ ที่ชื่นชอบเทคโนโลยีใหม่ๆ เป็นกลุ่มแรกๆ แต่ละแอพพลิเคชั่นใช้ระบบอินเตอร์เฟสแบบ AR เพื่อหาพื้นที่ที่คุณสามารถใช้อินเทอร์เน็ตไร้สาย (Wi-Fi) ฟรีได้ ในกรณีของ Worksnug มันยังแนะนำร้านกาแฟโดยอิงจากคุณภาพของกาแฟ และระดับความสะดวกสบาย
อย่างไรก็ตาม มีปัญหาหนึ่งซึ่งเป็นไปได้ และ Greenfield เอามาเน้นให้เห็นชัด “การใช้ AR ในรูปแบบปัจจุบัน ทำให้คุณดูเหมือนไอ้ทึ่มเล็กน้อย ไม่รู้ว่าผู้สนับสนุน AR ได้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนเกี่ยวกับความเปราะบาง และข้อด้อยต่างๆ ของการยืนอยู่ในพื้นที่เมืองอันวุ่นวายพร้อมยื่นโทรศัพท์มือถือไว้เบื้องหน้าคุณหรือไม่”
อย่างไรก็ดี นั่นดูจะไม่ได้ทำให้คนหลายหมื่นคนที่ได้ดาวน์โหลด Wikitude และ Layar ไว้แล้ว หรือคนหลายพันคนที่เสิร์ชหาร้านอาหาร โดยใช้แอพพลิเคชั่น AR อันใหม่ของ Urbanspoon เลิกใช้มัน
จริงอยู่ว่าตอนนี้ AR ค่อนข้างดูเป็นสิ่งไม่ค่อยจำเป็นที่ใช้ล่อใจผู้ซื้อ นั่นเพราะข้อมูลที่มันมีให้ในตอนนี้สามารถได้มาอย่างง่ายดาย ด้วยการเสิร์ชหาอย่างรวดเร็วบนเว็บไซต์ต่างๆ จากโทรศัพท์มือถือ แต่เมื่อคุณได้เริ่มเข้าถึงข้อมูลของคุณด้วยวิธีนี้แล้ว ความสะดวกของการใช้ชีวิตแบบ ‘inline’ ที่ตรงกันข้ามกับการใช้ชีวิตแบบออนไลน์ก็จะปรากฏชัดเจน
เมื่อแอพพลิเคชั่นพัฒนาขึ้นและปริมาณเนื้อหาที่ได้ geotag มา (การระบุค่าพิกัดจากดาวเทียม ทำให้รู้ว่าได้ถ่ายภาพนั้นๆ ที่ตำแหน่งใด) ขึ้นสู่จุดสูงสุดแล้ว AR จะกลายเป็นส่วนหนึ่งตามธรรมชาติในชีวิตประจำวันของพวกเรา ตอนนี้อินเทอร์เน็ตได้แทรกซึมเข้าไปในทุกส่วนของการดำรงชีวิตอยู่ของพวกเรา แต่ทั้งหมดก็ผ่านสื่อกลางของคอมพิวเตอร์ หรือจอแสดงผลของอุปกรณ์พกพาของคุณ และระบบอินเตอร์เฟสที่ผู้ผลิตซอฟต์แวร์ หรือผู้ผลิตระบบปฏิบัติการเลือกมา ได้เวลาทำลายกำแพงที่กั้นขวางระหว่างพวกเรากับข้อมูลแล้ว ทุกวันนี้มีคนเพียงไม่กี่หยิบมือที่ยื่นมือไปหยิบพจนานุกรม พวกเขาสามารถได้ข้อมูลเดียวกันนี้จากการคลิกเมาส์เร็วๆ หนึ่งที ในลักษณะเดียวกันนี้ ใครจะเอื้อมมือไปหยิบเมาส์ เมื่อพวกเขาสามารถเห็นข้อมูลเหล่านั้นได้ตรงลูกกะตาพวกเขาเลย?
ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ
Ori Inbar ผู้เผยแพร่ข้อมูลเรื่อง AR และบรรณาธิการของบล็อก the Games Alfresco
“สิ่งที่ยอดเยี่ยมของ Augmented Reality (AR) คือคุณไม่ต้องสับเปลี่ยนไปมาระหว่างข้อมูลและสภาพแวดล้อม AR นำโลกทั้งสองมาไว้ด้วยกัน โดยวางโลกหนึ่งไว้ด้านบนอีกโลกหนึ่ง มันเป็นที่สุดของข้อมูลที่เกี่ยวเนื่องเฉพาะกับสภาพแวดล้อมและสัมพันธ์กัน ภายในสิบปีนี้ ทุกคนจะใช้ AR สัมผัสโลกในแบบที่มีความหมายมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าคุณจะทำงานหรือทำอย่างอื่นที่สนุกกว่า
“กังวลว่า AR จะทำให้คุณดูเหมือนไอ้งั่งงั้นเหรอ? อย่างแรกเลยก็คือพวกเขาก็พูดแบบเดียวกันนี้กับโทรศัพท์มือถือและหูฟังบลูทูธ ในความคิดของผม มือถือก็เป็นแค่ก้าวที่มีไว้คั่นเวลาให้พวกเราได้รับความเพลิดเพลิน จนกว่าพวกเราจะมีแว่นตา AR ที่ไม่ต้องใช้มือ และวิธีให้มือของพวกเราติดต่อประสานงานกับพวกมัน HMD (head-mounted display) หรือหมวกติดจอในทุกวันนี้ยังคงดูน่าขบขันซะจริง แต่ปีหน้าพวกเราน่าจะได้เห็นบางอันที่ดูเหมือนแว่นตากันแดดธรรมดาๆ ที่เทอะทะนิดๆ เท่านั้น...”