เทคนิคการจัดการ และตั้งค่าความเป็นส่วนตัว กับ ฟีเจอร์ใหม่ บน Facebook
เทคนิคการจัดการ และตั้งค่าความเป็นส่วนตัว กับ ฟีเจอร์ใหม่ บน Facebook
[22-กันยายน-2554] เมื่อวานนี้ ใครที่เล่น Facebook เป็นประจำอยู่แล้ว น่าจะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงกันบ้างแล้วใช่มั๊ยครับ เพราะว่าล่าสุดนั้น Facebook เจ้าแห่งโลกสังคมออนไลน์ หรือ Social Network นั้น ได้ถูกปรับโฉม และมีการเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ๆ ให้ใช้งานกันอย่างมากมาย ซึ่งหลายสื่อ ได้เผยว่า นี่เป็นการทยอยเปิดตัวฟีเจอร์ครับ เพราะในงานประชุม f8 ซึ่งเป็นงานที่รวบรวมเหล่าพัฒนาทั้งหลาย ที่จะเริ่มต้นในวันนี้นั้น น่าจะมีฟีเจอร์ใหม่ๆ เปิดตัวมากกว่านี้
นับตั้งแต่เปิดตัว Google+ ที่ว่ากันว่า น่าจะเป็นคู่แข่งรายสำคัญของ Facebook โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข่าวของ Google+ ล่าสุด ที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยการ invite อีกต่อไปแล้ว ทำให้ Facebook ต้องมีการถีบตัว และปรับปรุงครั้งใหญ่ แต่เป็นการปรับปรุงที่มาแบบค่อยเป็นค่อยไปครับ ไม่ใช่ประเภท ตู้มเดียวจบ อย่างเมื่อสัปดาห์ก่อน ได้มีการปรับปรุงในส่วนของ Friend Lists และเพิ่ม Subscribe button ขึ้นมา ส่วนสัปดาห์นี้ ฟีเจอร์ที่ถูกปรับปรุง และเพิ่มเติมขึ้นมาล่าสุด จะมีอะไรบ้างนั้น ไปดูกันครับ
News Feed : รูปที่โพสใหญ่ขึ้น
ตามปกติแล้ว หน้าแรกของ Facebook ที่ผู้ใช้งานจะต้องเปิดเข้ามาก่อน ก็คือ หน้า News Feed ครับ โดยสิ่งแรกที่เห็นความเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจนก็คือ รูปภาพที่ถูกโพส มีขนาดที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ซึ่งสามารถดึงดูดความสนใจจากผู้อ่านไปได้มาก อีกทั้ง สถิติการอัพโหลดภาพลง Facebook ในปัจจุบัน พบว่า มีอัตราเพิ่มสูงขึ้น เฉลี่ยวันละ 250 ล้านภาพทั่วโลกเลยทีเดียวครับ
Top Story : ปักหมุดเรื่องราวที่น่าสนใจ
นอกจากนี้ ส่วนที่เพิ่มขึ้นในหน้า News Feed อีก 1 ส่วน ก็คือ Top Story ที่มีลักษณะการใช้งาน คล้ายกับการปักหมุด เรื่องราวที่เราสนใจ นั่นเองครับ
เมนูด้านบน ลดเหลือแค่ 2 ส่วน
ตอนนี้ แถบ Facebook bar ด้านบนขวามือนั้น เหลือเพียงแค่ 2 ส่วนครับ นั่นคือ ส่วนเข้าหน้าโปรไฟล์ของเรา และหน้า Home ส่วนออปชั่นอื่นๆ เช่น การตั้งค่าต่างๆ และการ Log Out ให้คลิ๊กที่เครื่องหมาย Drop down ครับ
เพิ่มจำนวนคำในการอัพเดทสเตตัส เป็น 5,000 ตัวอักษร
ก่อนการอัพเดทนั้น Facebook สามารถโพสข้อความอัพเดทสเตตัส จำกัดอยู่แค่ 500 ตัวอักษรเท่านั้น แต่ฟีเจอร์ใหม่นี้ ได้เพิ่มให้ผู้ใช้งาน สามารถเขียนได้ยาวขึ้นถึง 5,000 ตัวอักษรเลยทีเดียวครับ
สามารถเขียนข้อความอวยพรวันเกิดในหน้าแรกได้เลย
ฟีเจอร์อีก 1 อย่างที่สร้างความสะดวกสบายก็คือ การอวยพรวันเกิดเพื่อน ซึ่งสามารถเขียนข้อความอวยพรในหน้าแรกได้เลยทันที โดยที่เราไม่ต้องเข้าหน้าโปรไฟล์ของเพื่อนครับ
Ticker : อัพเดทแบบเรียล-ไทม์
สำหรับฟีเจอร์ Ticker หรือระบบสอดแนมเพื่อนนั้น จะโชว์การอัพเดทสถานะของเพื่อนใน Facebook ไม่ว่าจะเป็น การโพสรูป, โพสข้อความ, กด Like ข้อความ หรือแม้แต่การคอมเมนต์ ซึ่งเหมือนเทียบกับเวอร์ชั่นก่อน เราจะต้องเลื่อนลงไปอ่านทีละข้อความใช่มั๊ยครับ แต่ตอนนี้ไม่ต้องแล้ว เพื่อนคนไหน คอมเมนต์อะไร กด Like อะไร ดูได้ที่แถบ Ticker ที่่เดียว ที่สำคัญ เป็นแบบ Real-time อีกด้วยครับ
นอกจากนี้ ไม่ว่าเราจะเลื่อนหน้าเว็บขึ้นหรือลง Ticker ยังขึ้นลงตามเราตลอดเวลา เรียกได้ว่า เราไปไหน Ticker ขอตามไปด้วยนะ...
ไม่ชอบ Ticker อยากปิดการใช้งาน ทำอย่างไร??
แน่นอนว่า ถึงแม้ฟีเจอร์ใหม่อย่าง Ticker จะดูสะดวก และอัพเดทตลอดเวลา แต่อีกนัยหนึ่ง ก็ต้องมีคนไม่ชอบฟีเจอร์นี้อย่างแน่นอน เพราะอย่างน้อย ก็คงอยากจะมีโลกส่วนตัวบ้าง ไม่อยากให้ใครมาคอยดูตลอดเวลาว่า เราไปโพสอะไร อ่านอะไร คอมเมนต์อะไร หรือกด Like อะไรไป พูดง่ายๆ ก็คือ ไม่อยากให้ความเคลื่อนไหวของเรา ไปโชว์ในกล่อง Ticker นั่นเอง แต่เราสามารถปิดการใช้งาน Ticker ไม่ให้โพสได้นะครับ ตามนี้เลย
1) ไปที่หน้าโปรไฟล์ของเรา
2) เลื่อนลงไป จนเจอคำว่า RECENT ACTIVITY
3) ท้ายคอมเมนต์ของเราแต่ละอัน จะมีเครื่องหมายกากบาทอยู่ครับ ให้คลิ๊ก แล้วเลือก Hide all recent comment activity from my profile
4) จากนั้น จะมีหน้าต่างเด้งขึ้นมาถามว่า แน่ใจหรือเปล่าว่า จะซ่อนทั้งหมด?? ให้คลิ๊กไปที่ Hide all ได้เลยครับ
แค่นี้ ข้อความต่างๆ ที่เราโพส ก็จะไม่โชว์บนกล่อง Ticker อีกต่อไป
วิธีปลดล็อค Activity ที่ถูก Hide และโชว์บน Ticker
แต่ถ้าเกิด วันดีคืนดี เราอยากจะให้โชว์ขึ้นมา ก็สามารถแก้ไขได้อีกเช่นกันครับ
1) เข้าหน้าโปรไฟล์ แล้วเลื่อนไปจนสุดหน้า จะเห็นคำว่า Edit options ให้คลิ๊กครับ
2) จากนั้น จะมีหน้าต่างนึงเด้งขึ้นมา โชว์ว่า Activity อะไรที่เรา Hide ไปบ้าง ถ้าเราจะปลดออก ก็คลิ๊กที่เครื่องหมายกากบาท และกด Save แค่นี้ก็เรียบร้อยครับ
ส่วนฟีเจอร์อื่นๆ ที่จะถูกเปิดตัวในงาน f8 จะมีอะไรอีกนั้น ต้องคอยติดตามครับ
รายละเอียดเพิ่มเติม : facebook.com, insidefacebook
ขอบคุณเนื้อหา และภาพประกอบ : www.techmoblog.com