Steve Jobs ในความทรงจำ
Steve Jobs ในความทรงจำ
เช้าวันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม 2554 ผมตื่นนอนขึ้นมาเปิดคอมพิวเตอร์ iMac เพื่อเช็คและอัพเดทข้อมูลข่าวสารตามปรกติ และเว็บไซต์แรกๆ ที่ผมมักเข้าไปเยี่ยมชมกลับเป็นเว็บไซต์ที่ทำให้ผมหยุดนิ่งไปชั่วขณะ
ใครจะไปรู้ว่าการเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์อย่าง www.apple.com จะทำให้ช่วงเช้าอันเงียบสงบของวันนั้นเป็นวันที่โลกไอทีและข่าวสารบน Social Media อย่าง Facebook และ Twitter วุ่นวายไปด้วยชื่อของคนเพียงคนเดียว
“Steve Jobs เสียชีวิตแล้วด้วยวัย 56 ปี”
ผมตั้งสติเพื่อมองให้แน่ใจว่านี่ผมกำลังจ้องอยู่ที่หน้าเพจของ www.apple.com จริงๆ ไม่ได้เข้าผิดไปยังเว็บข่าวลวงข่าวหลอกต่างๆ และจากนั้นไม่นานจึงเริ่มทำการเปิดเว็บไซต์อื่นๆ เพื่อดูข่าวสารว่าผู้คนอื่นๆ มีความคิดเห็นกันอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้
เป็นไปตามคาดที่สื่อทั้งหลายทั้งไทยและต่างประเทศจะโหมกระหน่ำข่าวการ เสียชีวิตของอดีต CEO ผู้ยิ่งใหญ่ของ Apple เว็บไซต์ชั้นนำทั้งหลายต่างเล่นข่าวของ Steve Jobs กันอย่างครึกโครมเพราะพวกเขาเหล่านั้นน่าจะรู้ดีว่านี่เป็นจุดเปลี่ยนครั้ง สำคัญที่สุดตั้งแต่โลกได้รู้จักกับ Apple ที่โดนกัดลูกนี้ และอนาคตของ Apple ที่ดูจะสดใสและทะยานเป็นเสือติดปีกมาโดยตลอดอาจจะต้องโดนทบทวนและคิดพิจรณา กันใหม่
ไม่รอช้า ผมก็ได้เริ่มเขียนถึงข่าวการเสียชีวิตในครั้งนี้ลงในเว็บบล๊อกส่วนตัวของผม เช่นกัน ถึงแม้ว่ามันอาจจะช้าไปหน่อยเพราะเว็บข่าวอื่นๆ ได้รายงานกันไปหมดแล้ว แต่ผมจำเป็นที่จะต้องรายงานข่าวเพื่อร่วมรับรู้และเป็นส่วนหนึ่งของ เหตุการณ์ที่เหล่าสาวกของ Apple ไม่อยากให้เป็นจริง
Tim Cook ในงาน Let’s talk iPhone วันที่ 4 ตุลาคม 2554
ผมรู้สึกอะไรบางอย่างตั้งแต่ได้เห็นวิดีโองาน Let’s talk iPhone ที่ Apple ได้ทำการเปิดตัว iPhone 4S โดยเหล่าบรรดาผู้บริหารคนสำคัญทั้งหลายต่างผลัดออกมาพูดถึงสินค้าใหม่ๆ และทำการเปิดตัว iPhone 4S อย่างขัดใจสาวกที่อยากเห็น iPhone 5 ที่ถูกออกแบบใหม่หมดจดมากกว่า
สีหน้าของ Tim Cook ผู้ดำรงตำแหน่ง CEO คนปัจจุบันแทนที่ Steve Jobs ดูไม่ค่อยสบายใจ
ในงานนั้น Cook ออกมาพูดเปิดงานด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา พูดช้า และดูตั้งใจมากเป็นพิเศษจนผู้สื่อข่าวที่กำลังรายงานกันสดๆ ในตอนนั้นบอกว่า Tim Cook ดูเป็นคนสุขุมและเยือกเย็นกว่าที่หลายๆ คนคิด และพอผมได้มีโอกาสดูเทปย้อนหลังกลับพบว่านี่ไม่ใช่น้ำเสียงและท่าทางของคน ที่กำลังจะเปิดตัวสินค้าใหม่ด้วยความสบายใจ ตอนแรกที่ผมได้เห็นผมคิดว่าเป็นท่าทางที่ดูไมค่อยสนุกเอาเสียเลย การเปิดตัวสินค้าใหม่ควรจะมีชีวิตชีวามากกว่านี้ แต่ที่ผมเห็นเป็นลักษณะท่าทางของคนที่แบกรับอะไรบางอย่างที่เกินจะอธิบายใว้ และไม่สามารถระบายออกมาด้วยอารมณ์ได้ในขณะนั้น
คำตอบของท่าทีดังกล่าวมาเฉลยภายหลังงานเปิดตัว iPhone 4S ได้เพียงแค่ไม่กี่วัน
เก้าอี้ว่างเปล่าในงาน Let’s talk iPhone ที่ว่ากันว่าเว้นใว้เพื่ออุทิศให้กับ Steve Jobs
มีข่าวออกมาภายหลังว่า ขณะที่ผู้บริการเตรียมที่จะเปิดตัว iPhone 4S ในงาน Let’s talk iPhone วันที่ 4 ตุลาคม ตอนนั้นสถานการณ์ของ Jobs ย่ำแย่ถึงขีดสุดและทางบรรดาผู้บริหารระดับสูงของ Apple ก็ต่างรับรู้กันดีถึงสถานะของอดีตผู้นำองค์กรของพวกเขาว่าย่ำแย่ขนาดไหน ถึงกับมีการจองเก้าอี้ในงาน Let’s talk iPhone แถวหน้าสุดที่เป็นของผู้บริหารใว้หนึ่งตัว แต่ไม่มีใครได้นั่งเก้าอี้ตัวนั้นในวันงาน เพราะเป็นเก้าอี้ที่ทีมงานผู้บริหารร่วมกันอุทิศให้ Steve Jobs เสมือนกับว่าเขาได้อยู่ในงานเปิดตัวสินค้าอันเป็นที่รักของเขาเป็นครั้งสุด ท้าย
ประดุจว่าเมื่อ Steve Jobs เป็นผู้พา Apple ก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทที่ได้ชื่อว่ามีนวัตกรรมที่ดีเยี่ยมที่สุดของโลกด้วย iPhone ดังนั้นวาระสุดท้ายในชีวิตของเขาก็สมควรที่จะได้จากไปพร้อมกับการมีส่วนร่วม ในงานเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ล่าสุดเป็นครั้งสุดท้าย
ผมกลับไปหาวิดีโองาน WWDC 2007 มาดู ซึ่งงานนี้เป็นงานที่สร้างชื่อเสียงให้กับ Apple และ Steve Jobs มากที่สุดและถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ของ Apple เพราะในงานนั้นมีการเปิดตัวสินค้าที่เรียกได้ว่าสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อวง การอุตสาหกรรมได้มากที่สุดของโลกอย่าง iPhone
Steve Jobs เปิดตัว iPhone เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2007 ซึ่งหลังจากนั้น iPhone ได้กลายมาเป็นโทรศัพท์ที่เปลี่ยนแปลงโลกของสมาร์ทโฟนไปตลอดกาล
ตอนนั้นผมยังไม่ได้รู้จักและเริ่มติดตาม Steve Jobs อย่างเป็นจริงเป็นจังมากนัก แต่หลังจากที่ผมเห็นชายคนหนึ่งใส่ชุดคอเต่าสีดำพร้อมกางเกงยีนส์สีน้ำเงิน คู่กายออกมาเปิดตัว iPhone ด้วยเทคนิคการนำเสนอที่ไม่เหมือนใคร รวมไปถึงความสามารถในการความคุมผู้ชมให้สามารถตกอยู่ในทุกสิ่งที่เขานำเสนอ ได้ ผมก็จึงเริ่มหลงไหลและติดตามเสน่ห์ของบริษัท Apple โดย Steve Jobs มาตลอด
ผมซื้อ iPod เครื่องแรกในชีวิตเมื่อปี 2006 เป็น iPod nano สีขาวความจุเพียงแค่ 1GB ซึ่งตอนนั้นมีราคาแพงเอาเรื่องที่ห้าพันกว่าบาท ตอนนั้นผมยังไม่รู้จัก Steve Jobs ด้วยซ้ำ แต่ทัศนคติที่มีต่อสินค้าจาก Apple ในตอนนั้นคือมันเป็นสินค้าที่แปลกใหม่ ไม่เหมือนใคร เหมือนถูกคิดค้นคว้าและออกแบบมาอย่างดีทำให้การจะซื้อมาใช้เราอาจไม่จำเป็น ต้องพึ่งเหตุผลให้มากนักแต่จะเน้นหนักไปทางอารณ์เสียมากกว่า
และเป็นอีกครั้งที่ผมเสียเงินให้กับสินค้าของ Apple ในปี 2006 โดยครั้งนี้เป็นการซื้อ MacBook Pro ราคาเหยียบแปดหมื่นบาท ซึ่งในตอนนั้นดูเหมือนว่าผมจะเริ่มหลงรักเข้ากับเสน่ห์ของ Apple ลูกนี้อย่างจริงจัง เป็นเพราะอะไรหลายๆ อย่างที่ผมรู้สึกได้ว่าของเหล่านี้ดูใช่ และเป็นอะไรที่เมื่อรักแล้วก็ไม่อยากจะหนีห่างไปไหน
หลังจากเสียเงินให้กับ Apple ไปสองครั้ง ผมจึงเริ่มรู้จัก Steve Jobs มากขึ้น ความเป็นอัจฉริยะบุคคลของเขาเริ่มแสดงให้เห็นชัดจากการทำงานและการค้นคว้า สิ่งใหม่ๆ แล้วทำการนำเสนอออกมาสู่สายตาชาวโลกชนิดที่คู่แข่งในตลาดได้แต่อ้าปากเหวอ ไล่ตั้งแต่โทรศัพท์ที่เข้ามาปัฎิวัติวงการอุตสาหกรรมมือถือไปตลอดการอย่าง iPhone, อุปกรณ์ที่ไม่เคยมีใครสร้างสำเร็จและทำให้เข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันได้ อย่าง iPad, โน๊ตบุ๊คที่ถูกปรามาสว่าเป็นเพียงของเล่นไร้สาระราคาแพงแต่ก็พิสูจน์ตัวด้วย การเป็นโน๊ตบุ๊คที่ขายดีและขายเร็วที่สุดตัวหนึ่งของวงการอย่าง MacBook Air และอื่นๆ อีกมาก
นิสัยการบริโภคเทคโนโลยีของผมได้เปลี่ยนไป จากเดิมที่เคยมองหาเทคโนโลยีเมื่อต้องการจะใช้หรือมีความจำเป็นต้องใช้ กลับกลายมาเป็นการคาดหวังที่จะได้เห็นสิ่งใหม่ๆ จากชายที่ชื่อ Steve Jobs ราวกลับว่าฝากอนาคตใว้เลยอย่างไงอย่างงั้น ผมได้เฝ้าติดตามทุกงานและทุกความเคลื่อนไหวของ Apple โดย Steve Jobs ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ถึงขนาดสร้างเว็บไซต์บล๊อกส่วนตัวสำหรับพูดคุยและนำเสนอข่าวสารเกี่ยวกับ Apple โดยตรงขึ้นมาเลยด้วยซ้ำ และตั้งแต่ตอนนั้นนั่นเองที่สำหรับผมแล้ว Apple เท่ากับ Steve Jobs
ภาพของ Steve Jobs และ Steve Wozniak สองคู่หูผู้ร่วมก่อตั้ง Apple ปี 1975 ในโรงรถของพวกเขา
ต้องยอมรับว่า Steve Jobs เข้ามามีอิทธิพลทางความคิดต่อคนในยุคนี้มากจริงๆ รวมถึงตัวผม แนวทางการใช้ชีวิตของผู้ที่ติดตาม Steve Jobs มานานจะถูกหล่อหลอมให้เป็นแบบเดียวกัน จนมีบางคนเปรียบเปรยใว้ว่า Steve Jobs นั้นเป็นเหมือนศาสดาที่มีเหล่าสาวกคอยบูชาและปกป้องไม่ว่าจะทำอะไรออกมาดี หรือแย่แค่ไหนก็ตาม ซึ่งผมว่าก็ไม่ผิด เพราะเรามักจะเห็นคนที่เชิดชู Steve Jobs และคลั่งใคล้ในสินค้าทุกประเภทที่มีตรา Apple ประดับอยู่ราวกับว่ามันเป็นของสำคัญของชีวิต แต่ทั้งหมดทั้งปวงนี้เกิดขึ้นมาจากความเอาใจใส่และแนวทางการทำงานที่น่าหลง ไหลและมีเอกลักษณ์จนไม่อาจหาผู้ใดมาเลียนแบบได้ของ Steve Jobs ต่างหาก ไม่ได้เป็นการคลั่งใคล้แบบลอยๆ ตามกระแสนิยมทั่วๆ ไป
ผมไม่เคยให้บริษัทใดที่ตัว CEO มีอิทธิพลต่อภาพลักษณ์และผู้บริโภคได้มากขนาดนี้ อาจเป็นเพราะการวางตัวที่ไม่เหมือนใครของ Steve Jobs ต่อผู้บริโภคในแง่มุมต่างๆ อาทิเช่นผมไม่เคยเห็น CEO ระดับโลกคนไหนมาเสียสละเวลาคอยนั่งตอบอีเมล์ของลูกค้าในประเด็นที่น่าสนใจ คนอื่นไม่เคยคิดจะทำแต่ Steve Jobs ทำ แถมทำออกมาทีไรก็นำมาขยายความกลายเป็นข่าวลือได้ตลอดเสียด้วย
วิดีโองานเปิดตัวสินค้าต่างๆ ของ Apple ถูกผมหยิบมาเปิดแล้วเปิดอีกในช่วงสองสามวันนับตั้งแต่ Steve Jobs จากไป ภาพเหล่านั้นยิ่งสะท้อนถึงความสามารถในการนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ และบุคลิคภาพที่น่าสนใจของ Steve Jobs ได้เป็นอย่างดีภาพงานเปิดตัว iPhone เป็นครั้งแรกสู่สายตาชาวโลกในปี 2007 ยังคงตราตรึงอยู่ในความรู้สึกของผมเสมอ และผมถือว่านี่เป็นการเปิดตัวสินค้าที่มีสเน่ห์ที่สุดตลอดกาลเท่าที่ผมเคย ได้เห็นมา คนเพียงคนเดียวสามารถลบล้างภาพเก่าๆ ของสมาร์ทโฟนที่ดูเชยและใช้งานยากด้วยอุปกรณ์รุ่นใหม่ล่าสุดที่หลายๆ คนยังไม่ทันจะเตรียมตัวใช้งานกันด้วยซ้ำ การแนะนำระบบใหม่ๆ อย่าง Multi-Touch ที่ถูกนำเสนอออกมาด้วยการวิธีการเรียบง่ายเพียงแค่ย่อและขยายรูปๆ หนึ่งให้ดู เท่านี้คนทั้งโลกก็เข้าใจถึงคอนเซ็ปท์การทำงานได้ทันที
ในงานเปิดตัว iPod nano เป็นครั้งแรกซึ่งถือว่าเป็น iPod รุ่นใหม่ที่เล็กมากๆ ในตอนนั้น Steve Jobs เลือกนำเสนอด้วยการเล่นกับคนดูโดยให้เดาว่ามีอะไรอยู่ในกระเป๋าใส่เหรียญ ด้านหน้ากางเกงของเขา และจากนั้นเขาก็ดึง iPod nano ออกมาอย่างน่าตื่นตะลึงเป็นการส่งข้อความบอกได้ว่าสินค้านี้มีจุดเด่นอย่าง ไร
แม้แต่การเปิดตัว MacBook Air รุ่นใหม่ที่ Steve Jobs ใช้ซองเอกสารขนาดบางใส่ตัวเครื่อง MacBook Air เข้าไป จากนั้นจึงดึงออกมาพร้อมแสดงให้เห็นว่าตัวสินค้ามีความบางขนาดไหน ก็สร้างภาพลักษณ์ของสินค้าได้ทันทีโดยไม่ต้องพูดบรรยายอะไรให้มากความ
จริง อยู่ที่การนำเสนอสินค้าในแบบต่างๆ ที่กล่าวมานั้น เราอาจจะหาใครก็ได้มาเป็นตัวแทนในการนำเสนอเพราะทุกอย่างนั้นมีสคริปท์กำหน ดใว้อย่างชัดเจนแล้ว แต่เราไม่อาจหาคนที่รักในตัวสินค้าและความเป็น Apple ด้วยความผูกพันธ์ได้มากเท่า Steve Jobs อีกแล้ว เพราะเขาถือว่าเป็นเพียงไม่กี่คนที่ทุกลมหายใจของเขาเป็น Apple นับตั้งแต่เขาได้ก่อตั้ง Apple ขึ้นมาในโรงรถร่วมกันกับ Steve Wozniak คู่หูของเขา ซึ่งเขาได้ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก (แนะนำให้ติดตามเรื่องราวของ Steve Jobs ได้จากหนังเรื่อง Pirates of Silicon Valley)
Apple จำเป็นต้องเดินหน้าต่อไปโดยที่ไม่ Steve Jobs ผู้ที่เคยเป็นดั่งสัญลักษณ์สำคัญของบริษัทมาโดยตลอดซึ่งจำเป็นต้องผ่านช่วง เวลาที่น่าจะเลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทขึ้นมาให้ได้โดยเร็วที่ สุด
มีคำพูดหนึ่งจาก Steve Jobs ที่เขาบอกว่าเป็นคำที่ใช้เตือนสติตัวเองมาโดยตลอดนั่นคือ “หากคุณใช้ชีวิตราวกับว่าวันนั้นเป็นวันสุดท้ายของคุณ ซักวันมันอาจกลายเป็นเรื่องจริง” เป็นคำพูดที่ให้ข้อคิดและแสดงให้เห็นว่าชีวิตของคนเรานั้นมีค่ามากขนาดไหน เราไม่สามารถเสียเวลาไปกับสิ่งที่เราไม่ต้องการจนไม่สามารถทำในสิ่งที่ต้อง การและอยากจะเป็นได้ ชีวิตนั้นสั้น ดังนั้นเราควรจะค้นหาตัวเองให้เจอโดยเร็วที่สุด เพื่อที่จะทำตามความฝันและสานต่อให้เป็นจริง
ผมไม่รู้ว่า Steve Jobs ใช้เวลาช่วงวันสุดท้ายของชีวิตเขาอย่างไร
แต่ผมรู้สึกได้ว่าเขาได้ทำตามความฝันของตัวเองและใช้ชีวิตในแต่ละวันราว กับว่าทุกๆ วันเป็นวันสุดท้ายของเขาดังเจตนารมณ์ที่เขาวาดเอาใว้
ขอบคุณทุกอย่างที่คุณได้สร้างขึ้นมา ทุกอย่างที่ทำให้ผมได้มีโอกาสใช้หน้ากระดาษเขียนถึงเรื่องราวของคุณในมุมมอง ของผม ถึงแม้ว่าผมและคุณจะไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวแห่งความเกี่ยวโยงซึ่งกันและกัน แต่อย่างน้อยเครื่องคอมพิวเตอร์ Mac ที่ผมใช้พิมพ์บทความชิ้นนี้ปนความเศร้าและความเสียดายก็เป็นสินค้าที่คุณ ตั้งใจผลิตออกมาเพื่อเปลี่ยนแปลงโลกแห่งนวัตกรรมไปตลอดกาล ซึ่งคุณก็ทำมันออกมาได้ดีเสียด้วย
iPhone ของผมยังคงเนืองแน่นไปด้วยข้อความไว้อาลัยจากผู้คนรอบข้างที่ส่งถึงคุณอยู่ ตลอดเวลา ผมไม่รู้ว่าสถานที่ที่คุณอยู่จะรับข้อความของผมได้ไหม แต่ผมก็อยากจะบอกลาคุณอีกครั้งจากใจ
R.I.P. หลับให้สบายนะสตีฟ
By @pondkungz
ตีพิมพ์ในนิตยสาร Digital Lifestyle ฉบับที่ 28 เดือนตุลาคม 2554