สวดมนต์แบบสวดทั้งหัวใจและเข้าใจ เปลี่ยนชีวิตทันตาเห็น
อานิสงส์แห่งการสวดมนต์และการได้อัญเชิญพรหมเทพเทวา เจ้ากรรมนายเวร ดวงจิตวิญญาณทั้งหลายให้มาร่วมสวดหรือให้มาร่วมอนุโมทนาฟังธรรมจากพระ พุทธองค์นั้นท่าน ใดได้สวดมนต์ สร้างทาน รักษาศีล ภาวานาเป็นประจำชีวิตจะมีแต่ความสุข ความอุดมสมบูรณ์ เป็นมหามงคล มั่งคั่ง รุ่งเรืองตลอดกาลนานไปทุกภพทุกชาติ การสวดมนต์จนสามารถเปลี่ยนชีวิตได้อย่างฉับพลันนั้น ทำได้จริงแต่ต้องรู้วิธีที่ทำให้เกิดขึ้นด้วยและลงมือปฏิบัติจริงและการเผย แพร่บทสวดมนต์เป็นธรรมทานนั้นได้อานิสงส์สูงมาก
การสวดมนต์นั้นขึ้นอยู่กับจิต หากจิตเรานิ่งจะสวดนานแค่ไหนก็ได้ หากครบทุกบทที่ตั้งใจก็จะดี บทสวดที่จะสวดนั้นให้พิจารณาว่า เราปรารถนาในเรื่องใดก็เลือกบทสวดนั้นโดยเฉพาะ อำนาจ วาสนา โชคลาภบารมี เจ็บป่วย แคล้วคลาด ฯลฯ แต่ ถ้าจิตไม่นิ่งสับสน ขอให้หยุดพักจิตสักครู่แล้วสวดใหม่ได้ การฝึกจิตให้มีกำลังในการอดทนในการสวดมนต์ถือว่าเป็นเรื่องดี ควรอดทนทำ เหมือนกับคนเล่นกล้ามที่ยกตุ้มน้ำหนักบ่อย จากที่ใช้แบบมีน้ำหนักน้อยๆไล่ขึ้นไปเรื่อยๆ จนในที่สุดใช้ตุ้มแบบหนักมากได้เพราะมีกำลังมากขึ้น
สวดมนต์แบบสวดทั้งหัวใจ แค่หนึ่งตัวอักษรก็เปลี่ยนชีวิตได้ ในเวลาที่เราเริ่มสวดมนต์ ควรเตรียมจิตให้มั่นคง ใจต้องอยู่กับบทสวด ขณะสวดวางสติให้จดจ่ออยู่กับการพิจารณาตัวอักขระ ให้รู้ว่าอักขระหรือตัวหนังสือที่เรากำลังท่องนั้นคือตัวอะไร เช่น ขณะกำลังสวดว่า “นะโม” ก็ต้องรู้ว่าประกอบขึ้นด้วยคำว่า “นะ” กับคำว่า “โม” ไม่ใช่ปากท่องไป แต่ใจคิดไปถึงเรื่องอื่น
หากรู้คำแปลจะดีมากเพราะ การสวดมนต์โดยรู้คำแปลจะทำให้ได้ประโยชน์สูงสุด คือ ทำให้เกิดปัญญา แต่หากยังแปลไม่ออก ก็ไม่เป็นไร แต่ควรสวดด้วยใจที่เลื่อมใสศรัทธาใน พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ อย่างสูงสุด
การสวดทุกครั้งต้องทำแบบมีสมาธิและพยายามเลือกในช่วงเวลาที่จิตได้ผ่อนคลาย เลือกสวดในช่วงเวลาที่ร่างกายพร้อม
เช่น หลังมื้ออาหารไปแล้วสัก 1-2 ชั่วโมง เพื่อให้ไม่รู้สึกอึดอัด และสวดในสถานที่เงียบสงบและมีอากาศถ่ายเท เวลาในการสวดมนต์นั้นขึ้นอยู่กับจิต หากจิตเรานิ่งจะสวดนานแค่ไหนก็ได้ ครบทุกบทที่ตั้งใจก็จะดี แต่ถ้าจิตไม่นิ่งสับสน หยุดพักจิตสักครู่แล้วสวดใหม่ได้ การฝึกจิตให้มีกำลังในการอดทนในการสวดมนต์ถือว่าเป็นเรื่องดี
หากจิตมีพลังสวดแค่หนึ่งพระคาถาหรือหนึ่งตัวอักษรก็เปลี่ยนชีวิตได้ ขั้นตอนสุดท้ายสวดมนต์เสร็จควรทำสมาธิอีกครั้งและแผ่เมตตา เมื่อสวดมนต์เสร็จให้กลับมาทำสมาธิอีกครั้ง อาจจะนานกว่าในก่อนสวด อยู่ในสมาธิจนรู้สึกว่าจิตนิ่งดีแล้ว ในช่วงสุดท้ายก่อนอออกจากสมาธิ ขอให้เพิ่มบุญใหญ่ด้วยการพิจารณาเรื่องการเกิด แก่ เจ็บตาย อันเป็นเรื่องธรรมดาของโลก
ตั้งอยู่แล้วก็ต้องดับไปไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน ใจก็เป็นสุข ได้ถอดถอนจากกิเลส ลดความอยากได้ อยากมีออกไปในชีวิตได้ ในการพิจาณานี้ถือว่าเป็นการเจริญวิปัสสนา จนสมควรแก่เวลาเมื่อจะออกจากสมาธิ ให้ทำใจให้อภัย ให้อโหสิกรรมให้กับเจ้ากรรมนายเวร คนที่ทำให้เราขุ่นข้องหมองใจ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม สัตว์ก็ตาม เมื่อให้อโหสิกรรมเสร็จแล้ว ให้อธิษฐานและแผ่เมตตาตามที่เราปรารถนา