สวดมนต์อย่างไร ให้เงินทองไหลมาเทมา
เรื่องของเงินๆ ทองๆ ไม่ว่าใครก็ต้องสนใจกันทั้งนั้น ในบางครั้งคุณเคยสงสัยหรือไม่ว่าทั้งๆ ที่คุณก็ตั้งใจทำมาหากินหารายได้เสริมเป็นอย่างดี แต่หามาได้เท่าไหร่ก็ใช้หมดเท่านั้น เก็บเงินไม่อยู่เหมือนกับคนอื่นเขา ซึ่งในบางครั้งคุณอาจจะต้องพึ่งพาการเสริมดวงเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้ดวงชะตาด้านการเงินของคุณดีขึ้น เสริมดวงให้ตนเองนั้นมีเงินไหลมาเทมา
ในบทสวดที่ครูบาอาจารย์ท่านเมตตาสั่งสอนโปรดคนนั้น เป็นมนตราศักดิ์สิทธิ์ บางคนสวดแค่เวลาสั้นๆ ก็เห็นผล บางคนสวดนานถึงจะเห็นผล แต่รับรองได้ผลทุกคน แต่เคล็ดลับนั้นอยู่ที่ต้องควบคู่ไปกับเลิกกรรมชั่วแบบทันทีต้องสร้างบุญใหม่ ปฏิบัติธรรมไปด้วย เรียกว่าต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองจริงๆ ไม่ใช่แค่สวดอย่างเดียวไม่ทำงาน ทำการอะไรเลย ที่สำคัญมากๆ ก็คือในเวลาที่สวดนั้น ห้ามเอาจิตไปคิดพะวงถึงแต่เรื่องเงินแบบให้ได้มาเร็ว ให้ถูกหวย ให้มีลาภใหญ่หรือความโลภอะไรก็ตามเพราะกรรมทางใจไม่ดีเหล่านี้จะไปหน่วง กรรมดีและสิ่งที่ควรได้ ถ้าจิตไปคิดถึงก็ขอให้พยายามดึงกลับมา ขอให้ใจเย็นๆ ถึงแม้ใจเราจะร้อนรุ่มแค่ไหนเรื่องเงินทองที่เป็นปัญหาอยู่ก็ตาม ขอเวลานี้ให้เป็นเรื่องของการสวดมนต์พระคาถาศักดิ์สิทธิ์อย่างเดียว
ขอให้พยายามฝึกปล่อยใจให้สบายๆ คิดว่าเป็นการสวดเพื่อโมทนาพระคุณความดีของครูบาอาจารย์ท่าน เช่น ในบทคาถาเรียกทรัพย์ของหลวงพ่อปาน บทพระคาเงินล้านหรือคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ก็ต้องสวดแบบเพื่อโมทนาพระคุณความดีของครูบาอาจารย์ หรือบางคนนั้นสวดไปด้วยคิดว่าสวดเพื่อให้เจ้ากรรมนายเวรเขาเป็นสุขพ้นทุกข์ จึงมีกำลังใจสวดในทุกวัน ก็แล้วแต่หาอุบายกันไป เคล็ดสำคัญอีกข้อหนึ่งก็คือ ต้องพยายามใส่บาตรทุกวันเพื่อให้บุญที่ทำไม่ลดถอยลงจะได้ส่งผลได้เร็ว ถ้าไม่มีเวลาใช้วิธีข้างต้นทำที่บ้านพอเงินมากพอก็ไปถวายพระสงฆ์ หยอดตู้สักครั้ง และทุกครั้งที่สร้างบุญไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ที่มาจากการทาน ศีล ภาวนา
ต้องอุทิศบุญน้อมถวายให้กับพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระมหาโพธิสัตว์ พระโพธสัตว์ทุกพระองค์ ตลอดจนครูบาอาจารย์ท่านเจ้าของคาถาทุกครั้ง ห้ามกินเหล้า เล่นการพนัน ต้องรักษาสัจจะยิ่งชีวิต พูดแล้วต้องทำได้ ถ้าทำไม่ได้อย่าไปรับปากคนอื่น ศีลทั้ง 3 ข้อนี้เป็นข้อห้ามอย่างเด็ดขาด ใครทำได้บอกได้คำเดียวว่าพบกับความรวยแน่นอน ซึ่งเมื่อท่านสวดทุกคาถาครบถ้วน ตามที่ท่านนับถือแล้ว ก็ถือว่าวันนี้เราได้เป็นผู้มีศีลและสวดมนต์เสร็จแล้ว ต่อจากนั้น ให้ทำสมาธิอีกระยะหนึ่ง สำหรับคนที่ไม่เคยนั่งสมาธิแนะนำว่าให้นั่งในท่าสบายๆ อย่าไปเกร็ง เอามือซ้ายทับมือขวา ขาขวาทับขาซ้ายหรือนั่งในท่าที่ตัวเองรู้สึกสบายๆ หลับตา
สูดลมหายใจเข้าให้ ภาวนาคำว่า พุท หายใจออกเป็น โธ ปล่อยใจให้สบายนึกถึงพระพุทธรูปหรือพระอริยสงฆ์ที่เราเคารพก็ได้ นั่งสักประมาณ 5-10 นาทีหรือมากกว่านั้นให้ใจสงบ อย่าไปบังคับลมหายใจปล่อยไปเรื่อยๆ เหมือนเราหายใจปกติ (หากมีอาการวูบวาบหรือเกิดนิมิตเห็นอะไรไม่ต้องตกใจ ให้หายใจลึกๆ 2-3 ครั้ง นิมิตต่างๆ ก็จะหายไป ถ้ารู้สึกเจ็บหรือปวดเมื่อยตรงไหน ให้เอาใจไปจับตรงที่รู้สึกเจ็บหรือปวด สักระยะหนึ่งก็จะคลายความปวด)
เมื่อทำสมาธิจนรู้สึกว่าจิตนิ่งดีแล้ว ในช่วงสุดท้ายขอให้พิจารณาเรื่องการเกิด แก่ เจ็บ ตาย อันเป็นเรื่องอนิจจัง อันเป็นเรื่องธรรมดาของโลก พิจารณาถึงร่างกายของเรานั้นมาจากดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุเมื่อถึงเวลาก็ต้องสูญสลายกลับคืนไปไม่มีเหลือ พิจารณาเรื่องปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตที่กำลังก่อให้เกิดทุกข์ มองค้นหาถึงสาเหตุที่แท้จริงและการที่จะแก้ไขได้ หลายคนพิจารณาจนค้นพบความสุขที่แท้จริงของชีวิตเป็นปัญญาจะเกิดขึ้นเอง ไม่ได้มาการเรียนรู้จากภายนอก บางคนมองทะลุถึงเรื่องของทรัพย์สมบัติภายนอกเป็นเรื่องของวัตถุที่ต้องมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็ต้องดับไปไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน ใจก็เป็นสุข ได้ถอดถอนจากกิเลส ลดความอยากได้ อยากมีออกไปในชีวิตได้
ในการพิจาณานี้ถือว่าเป็นการ เจริญวิปัสสนา ซึ่งเป็นมหาบุญกุศลและมีประโยชน์มากในชีวิตของคนเราทุกคน การทำสมาธิถ้าไม่เจริญวิปัสสนาต่อนั้นเหมือนกับการที่เราต้มน้ำร้อนเสร็จแล้วเอาน้ำร้อนเททิ้งไปเสียไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย เหมือนเราปลูกข้าวจนออกมาเป็นรวงเต็มนาแต่ไม่ได้เอาไปกินหรือใช้ประโยชน์อะไร ดังนั้นในทุกครั้งที่สวดมนต์เสร็จ ควรทำสมาธิและวิปัสสนาควบคู่กันไป ท่านจะได้บุญมากขึ้นหลายเท่าตัว