"เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ" ในรัชกาลที่ 5 ผู้มั่นคงในรักจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต
คุณหญิงสดับ หรือที่รู้จักในหมู่ชาววังคือ หม่อมราชวงศ์หญิงสดับ ลดาวัลย์ หญิงสาวราชนิกูลผู้นี้เข้าถวายตัวในตำแหน่งของเจ้าจอมในพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 เป็นเจ้าจอมพระสนมเอกในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นอกจากนั้นท่านยังเป็นคนสุดท้ายที่ได้ร้องเพลง นางร้องไห้ และเจ้าจอมคนสุดท้ายของราชวงศ์จักรี
เมื่อท่านมีอายุได้ 11 ปี หม่อมยายได้พาท่านไปถวายตัวเป็นข้าหลวงใน ตำหนักพระวิมาดาเธอ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา ซึ่งพระองค์ได้ทรงอบรมเลี้ยงดูหม่อมราชวงศ์สดับในฐานะพระญาติ และยังโปรดให้เรียนหนังสือทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ รวมทั้งหัดงานฝีมือ ตลอดจนการอาหารคาวหวานจนเชี่ยวชาญ นอกจากความอัจฉริยภาพและความงามแล้ว ความมีเสียงอันไพเราะของท่าน ยังเป็นคุณสมบัติที่โดดเด่นด้วย
เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2449 หม่อมราชวงศ์สดับได้เข้าปฏิบัติหน้าที่เป็นเจ้าจอมในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในวันนั้นคุณหญิงสดับได้รับพระราชทาน "กำไลมาศ" จากพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นกำไลทองคำแท้จากบางสะพานหนักสี่บาท ทำเป็นรูปตะปูสองดอกไขว้กัน ในขณะนั้น คุณหญิงสดับมีอายุเพียง 16 ปี และในวันนี้ถือว่าเป็นวันที่ท่านมีความสุขมากที่สุด ตลอดระยะเวลาในการเป็นข้าทูลละอองพระบาท คุณหญิงได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ จงรักภักดีหาที่สุดไม่ได้
ไม่นานนักพระเจ้าอยู่หัวก็โปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็น พระสนมเอก อันเป็นตำแหน่งที่เจ้าจอมมารดาหลายๆ ท่านที่รับราชการมาช้านานก็ยังไม่ได้เป็นพระสนมเอก แต่คุณหญิงสดับซึ่งเป็นเพียงเด็กสาววัยรุ่น และเพิ่งเข้ามารับราชการเป็นเจ้าจอมกลับได้รับพระราชทานตำแหน่งที่สูงถึงเพียงนี้ ยิ่งก่อให้เกิดความอิจฉาริษยาจากคนรอบข้าง ด้วยวัยเพียง 17 ปีท่านจึงได้เล่าถึงความรู้สึกครั้งนั้นว่า
"...เหลียวไปไหนพบแต่ศัตรู คุณจอมท่านนั้นส่อเสียดว่าอย่างนั้น คุณจอมท่านนี้ว่าอย่างนี้ ตรองดูทีข้าพเจ้าจะย่อยยับแค่ไหน"ด้วยความอายุยังน้อย ขาดความยั้งคิด ท่านจึงตัดสินใจทำลายชีวิตตนเองด้วยการกินน้ำยาล้างรูปแต่ก็รักษารอดมาได้ "
แม้ว่าท่านจะถูกกลั่นแกล้งใส่ร้ายป้ายสีไปต่างๆนาๆแต่ก็มิเคยที่จะปริปากเพ็ดทูลสิ่งใดๆให้เป็นที่หนักพระทัยของพระเจ้าอยู่หัว จึงทำให้ไม่สามารถมีสิ่งใดมาทำลายความรักที่ท่านมีต่อ รัชกาลที่ 5 ได้ นับว่าท่านเป็นเจ้าจอมที่รัชกาลที่ 5 โปรดมากในเวลานั้น คุณหญิงสดับรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทด้วยความบริสุทธิ์ใจไม่เคยทูลขอพระราชทานทรัพสินมีค่าแต่อย่างใด ด้วยอุปนิสัยค่อนข้างจะเจียมเนื้อเจียมตัวอยู่ไม่น้อยจึงเป็นที่สนิทเสน่หามากขึ้นไปอีกถึงกับพระราชทานสิ่งของมีค่าให้อยู่เนืองๆ
เมื่อรัชกาลที่ 5 สวรรคต ในขณะนั้นคุณหญิงสดับมีอายุแค่เพียง 20 ปี ท่านจึงตัดสินใจสละสมบัติของมีค่าทุกอย่างที่เคยได้รับพระราชทานให้แก่สมเด็จพระพันปีหลวง เพื่อไม่ให้เกิดการครหาว่าท่านจะนำสมบัติไปปรนเปรอชายอื่น เนื่องจากนเวลานั้นตัวคุณหญิงสดับเองก็เปรียบเหมือนแม่หม้ายสาวสวยทรงเครื่องสมบัติชุดใหญ่แน่นอนว่าต้องเป็นที่สนใจของเหล่าภมรที่ต้องการจะดอมดม
ไม่นานนักคุณหญิงสดับจึงตัดสินใจหลบหลีกความวุ่นวายในราชสำนัก หาความสงบให้แก่จิตใจโดยการบวชชีจำวัดอยู่ที่วัดเขาบางทรายจังหวัดชลบุรี เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระเจ้าอยู่หัวชายผู้เป็นที่รัก โดยมีกำไลมาศเพียงอย่างเดียวที่เหลือติดตัวของท่านไป ท่านได้ปฏิญาณตนอย่างแน่วแน่ว่าจะครองตนเป็นหม้ายโสดเพื่อรักษาเกียรติยศแห่งการเป็นพระสนมในพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ตลอดชีวิต (เป็นเจ้าจอมคนสุดท้ายของราชวงศ์จักรีที่ยังดำรงชีพและถึงแก่อนิจกรรมในรัชกาลที่ 9)
(จากภาพ) เจ้าจอมสดับในวัยชราเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดราชโอรสาราม เมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๖
ต่อมาเมื่อท่านชรามากแล้ว พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 จึงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ท่านเจ้าจอมสดับเข้าไปอยู่ในส่วนของเขตพระราชฐานชั้นในในพระบรมมหาราชวัง จนเช้าตรู่วันพฤหัสบดีที่ 30 มิ.ย. 26 ลูกหลานในราชสกุลลดาวัลย์ต้องเสียใจต่อการจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ของ เจ้าจอมสดับด้วยโรคชรา ในวัย 93 ปี ณ โรงพยาบาลศิริราช
โดยเล่าถึงสภาพของกำไลมาศว่า “ถึงแม้ว่าคำกลอนที่จารึกไว้ในกำไลมาศจะลบเลือนไปตามกาลเวลา เพราะท่านสวมมาถึง 76 ปี แต่พระปรมาภิไธย “จุฬาลงกรณ์ ป.ร.” ที่จารึกไว้ด้านในท้องกำไลยังคงเป็นรอยจารึกที่แจ่มชัดดังเดิมจนน่าประหลาดใจมาก
คุณหญิงสดับจึงเป็นเจ้าจอมในรัชกาลที่ 5 คนสุดท้ายที่มีชีวิตยาวนานมาถึง 5 แผ่นดิน และตลอดชีวิตของท่านได้แสดงถึงความซื่อสัตย์ จงรักภักดี ในฐานะภรรยาที่มีต่อสามี ในฐานะข้าในรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 9 รวมถึงในฐานะข้าของแผ่นดิน นับเป็นความรักในราชสำนักที่ถูกจารึกลงในหน้าประวัติศาสตร์ไทย
กำไลมาศ มีบทกลอนพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 5 สลักไว้บริเวณด้านบนของกำไลว่า
กำไลมาศชาตินพคุณแท้ ไม่ปรวนแปรเป็นอื่นยั่งยืนสี
เหมือนใจตรงคงคำร่ำพาที จะร้ายดีขอให้เห็นเช่นเสี่ยงทาย
ตาปูทองสองดอกตอกสลัก ตรึงความรักรัดไว้อย่าให้หาย
แม้รักร่วมสวมใส่ไว้ติดกาย เมื่อใดวายสวาสดิ์วอดจึงถอดเอย
ปล. คำว่า "คุณหญิงสดับ" ในที่นี้คือชื่อเรียกแบบลำลองของหม่อมราชวงศ์หญิง แต่เดิมเจ้าจอมท่านเป็นหม่อมราชวงศ์หญิง เมื่อเริ่มโตเป็นสาวจึงเข้าไปเป็นข้าหลวงในพระวิมาดาเธอฯ ชาววังสมัยนั้นมักจะเรียกท่านว่า คุณหญิงสดับ เมื่อถวายตัวเป็นข้าบาทบริจาจึงมีชื่อเต็มว่า เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ ในรัชกาลที่ 5 เหตุผลที่ใช้คุณหญิงนั้น เพื่อให้ทราบว่าคำว่าคุณหญิงไม่ได้ใช้แต่เฉพาะสตรีผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชตระกูลจุลจอมเกล้าเท่านั้น แต่ยังเป็นชื่อเรียกแบบลำลองสำหรับหม่อมราชวงศ์หญิงอีกด้วย
(จากภาพด้านขวากลาง) สมเด็จพระเทพฯ เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ในการพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ ณ ศาลาบัณณรศภาค วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม
ทั้งตลอดชีวิตของท่าน เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ มิได้ถอดออกจากข้อมือเลย จวบจนชีวิตท่านหาไม่แล้ว หม่อมหลวงพูนแสง สูตะบุตร ผู้เป็นหลานสาวจึงเป็นผู้ที่ถอดออกให้ และได้ถวาย “กำไลมาศ” แด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในงานพระราชทานเพลิงศพของเจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับนั้นเอง ซึ่ง สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้เก็บไว้ที่ พระที่นั่งวิมานเมฆ สถานที่ที่เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับได้เคยถวายการรับใช้เบื้องพระยุคลบาท ซึ่งเป็นตำนานความรัก "กำไลมาศ" เรื่องจริงในสมัยรัชกาลที่ 5
ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก คลังประวัติศาสตร์ไทย , wikipedia