ทำดีไม่ได้ดี ทำดีไม่มีคนเห็น จะบรรเทาได้อย่างไร?
สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องงานที่บอกว่า ทำดีไม่ได้ดี หรือทำดีไม่มีคนเห็นนั้น หากพิจารณากันให้ดีๆ จะเห็นว่าส่วนมากมาจากการกระทำที่มาจากกาย วาจา ใจ ที่เป็นการผิดศีลในข้อที่ 2 ทั้งเรื่องของการลักทรัพย์หรือไปครอบครอง ถือสิทธิ์ในสิ่งที่เจ้าของเขายังไม่อนุญาตและศีลในข้อ 4 เรื่องของการพูดไม่ตรงกับความจริง หรือใช้วาจาที่เกิดผลร้ายต่อผู้อื่นถ้ามาจากรรมเก่าในอดีต เราก็ไปแก้ไขอะไรไม่ได้
นอกจากจะสร้างกรรมดีใหม่ให้มากเพื่อเพื่อให้กรรมดีนั้นส่งผลกรรมเก่าที่ทำมาและในเรื่องของปัจจุบันกรรม หรือที่เป็นอยู่ในตอนนี้ก็ต้องระมัดระวัง หากยังมีการละเมิดหรือผิดศีลอีก ต้องหยุดลด ละ เลิก เสีย เราจะต้องพิจารณาอย่างจริงจังว่าดูว่า เมื่อรู้แบบนี้แล้วยังไปทำซ้ำกันอีกหรือไม่ ไปก่อให้เกิดเจ้ากรรมนายเวรในที่ทำงาน คนรอบข้างอีกหรือไม่ เพราะกรรมที่ทำในปัจจุบันที่ไม่นานมานี้หรือไม่กี่ปีมานี้ ก็ส่งผลได้ในชาตินี้เช่นกัน และจะกลายเป็นอุปสรรคกรรมที่ทำให้งานนั้นไม่เป็นไปตามที่เราปรารถนาหรือไม่มีคนเห็นคุณค่าในผลงานที่เรา ไม่เห็นการทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจ แรงเงินของเรา หรืออาจะจะถึงขั้นดูหมิ่นดูแคลนเสียด้วยซ้ำ ต้องสังเกตดูว่า
-ในงานที่เราทำนั้น ได้มีความชั่ว หรือสิ่งไม่ดีไม่งามบางอย่างแทรกซ้อนปะปนอยู่ในงานนั้นหรือไม่ ตัวอย่างเช่น เราทำงานชิ้นหนึ่งสำเร็จได้เพราะเราไปขโมยความคิด ไปเอาไอเดียคนอื่นมาทำโดยไม่ขออนุญาต
-วิธีการหรือกระบวนการที่จะให้งานนั้นสำเร็จ เราไปติดสินบน ไปสอนหรือให้คนที่เกี่ยวข้องไปคดโกงใครหรือไม่
- งานที่เราทำ การค้าที่กำลังทำนั้น ต้นตอของเงินที่นำมาใช้ในการทำงานนั้น เป็นเงินบริสุทธิ์ที่ได้มาอย่างถูกต้องหรือไม่
- มีอะไรบ้างที่ไม่ใช่ของๆ เรา แต่เราแอบเอาไปใช้เป็นประโยชน์ หรือไปครอบครองหรือยังไม่ขออนุญาตเจ้าของ เช่น ไปใช้ปากกามาเขียนรายงานโดยไม่ได้รับการอนุญาตหรือไม่ ไปใช้สถานที่ใช้โต๊ะของคนอื่น ที่เจ้าของก็เลยไม่ได้ใช้ประโยชน์จากโต๊ะนั้น
-ยังคงโกงค่าแรงเพื่อนร่วมงาน ลูกน้อง ไปบีบบังคับเขาให้ทำงานให้โดยที่เขาไม่เต็มใจจะทำ ประเภทสั่งทำโอทีก่อนเลิกงาน 5 นาที
-ยังคงใช้วาจาที่เชือดเฉือนหัวใจคนอื่น หรือคนที่เกี่ยวข้องหรือไม่
ฯลฯ
สรุปแล้วก็คือ เราต้องพิจารณาการกระทำของเรา สิ่งที่เกี่ยวข้องไม่ว่าคน สัตว์ สิ่งของหรือสิ่งใดที่เกี่ยวข้องในงานที่เราทำ ให้ยึดใช้หลักการของพรหมวิหาร 4 ให้มาก ทั้งเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยเฉพาะเรื่องของอุเบกขา คือ การวางเฉยนั้น เมื่องานที่เราทำไปแล้วยังไม่ได้รับคำชม คนอื่นไม่เห็นค่า ไม่เห็นผลงาน ขอโปรดจงอย่าท้อถอย พยายามหมั่นเพียรต่อไปในงานที่ทำ พิจารณางานทุกชิ้น ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องด้วยสติที่สมบูรณ์ ยึดหลักในเรื่องความดีเอาไว้ให้มั่น อย่าสั่นคลอน เมื่อถึงเวลาแล้ว ความดีหรือกรรมดีนั้นต้องปรากฏแน่นอน
อย่าไปคิดน้อยใจว่า ทำแล้วคนไม่เห็นคุณค่า ขอให้คิดบวก มองโลกด้วยสายตาที่สวยงาม แล้วใจเราจะเป็นสุขกับงานทุกชิ้น เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้ทำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ มันย่อมจะมีคุณค่าในตัวของมัน และมีคุณค่าต่อคนอีกหลายๆ คนไม่ว่าการมีน้ำใจต่อเพื่อนร่วมงาน การช่วยเหลือเพื่อนๆ คนรอบข้างในยามที่เขาลำบาก บางครั้งไม่ใช่ตัวเงิน แต่เพียงเข้าใจและเห็นใจในความทุกข์ของเขา เป็นผู้รับฟังที่ดี ความสัมพันธ์ที่ดีของคนทำงานร่วมกัน การร่วมแรงร่วมใจเป็นหนึ่งเดียว จะช่วยทำให้อุปสรรคที่เข้ามาในองค์กรนั้นกลายเป็นเรื่องเล็กนิดเดียว
การหยิบยื่นความรักต่อคนนั้น ย่อมจะได้ความรักตอบ อย่างน้อยทำให้ใจเรามีกำลังที่รู้สึกว่า ตัวเองนั้นมีคุณค่าพอที่จะทำให้มอบสิ่งดีๆ ให้กับผู้อื่น แม้ว่าผู้อื่นไม่เห็นคุณค่าในตัวเรา ในสิ่งที่เราทำวันนี้ แต่ขอเราภูมิใจว่าเรายังมีคุณค่าในตนเองเสมอ คงเคยได้ยินเรื่องของคนที่เพียรทำความดีในสังคมบ้านเรา ที่มักจะถูกเมินเฉย หรือแม้กระทั่งถูกกลั่นแกล้งเหยียดหยาม ก็ให้เอาคนดีเหล่านี้เป็นตัวอย่างและพึงระลึกไว้ว่า เพชรแท้ ต้องทนกับความร้อนและการเจียรนัย ถึงจะเป็นเพชรที่สมบูรณ์และสวยงามได้ คนที่จะเป็นยอดคนนั้น ต้องทนกับการทดสอบของฟ้าและดิน