เวลาใดบ้าง?! ที่ไม่สมควรจะไปวัด

เวลาใดบ้าง?! ที่ไม่สมควรจะไปวัด

เวลาใดบ้าง?! ที่ไม่สมควรจะไปวัด
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

มีอีกข้อหนึ่งที่ศาสนิกชนเช่นเรา ๆ ควรทราบว่ามีบางวันเวลาที่ไม่สมควรจะไปวัดซึ่งในที่นี้หมายถึงช่วงเวลา “กลางวันบางช่วง” เท่านั้น เนื่องจากพระภิกษุในวัดท่านจะมีกิจที่ต้องทำซึ่งเป็นกิจของสงฆ์โดยเฉพาะ ถ้าเราไปวัดในวันและเวลาดังกล่าวแล้วก็จะไม่มีโอกาสไปทำบุญหรือพูดคุยได้สะดวกและอาจเป็นการรบกวนท่านอีกด้วย

ไปวัดในวันโกน

วันโกนคือ วันที่พระท่านต้องทำกิจคือ โกนผม โกนหนวด ตัดเล็บ ปฏิบัติตามกฎของท่านที่จะไว้ผมยาวได้ไม่เกิน 2 เดือน หรือ 2 นิ้ว ไม่ไว้หนวดเครา ไม่ไว้เล็บยาว ไม่ให้ขนจมูกยาวเป็นต้น ซึ่งวันโกนนับง่ายๆว่า เป็นวัน “ก่อนหน้าวันพระ 1 วัน” คือวันขึ้น 7 ค่ำกับวันแรม 7 ค่ำ และ วันขึ้น 14 ค่ำ กับแรม 14 ค่ำ หรือไม่ก็ตรงกับ แรม 13 ค่ำถ้าเป็นเดือนขาด ซึ่งช่วงเวลากลางวันของวันนี้ยังไม่ควรไปรบกวนท่าน

ไปวัดในวันสวดปาติโมกข์

กิจของพระอีกอย่างหนึ่งคือทุกครึ่งเดือน (วันที่ 15 หรือวันที่ 30,31) พระท่านจะต้องลงโบสถ์ฟังสวดปาติโมกข์ซึ่งเป็นการฟังการสาธยายทบทวนศีล 227 ข้อที่พระพุทธองค์ทรงประทานไว้ให้ในวันมาฆบูชานั่นเอง ช่วงเวลากลางวันในวันนี้ก็ไม่สมควรจะไปวัด เพราะท่านต้องทำกิจสำคัญอันเป็นการรบกวนท่าน

ช่วงเวลากวาดและทำความสะอาดวัด

ช่วงเวลาบ่ายแก่ ๆประมาณ 4-5 โมงเย็นของในแต่ละวัดจะมีกิจที่พระสงฆ์ต้องร่วมกันทำ ซึ่งปกติท่านก็สามารถทำได้ทั้งวันอยู่แล้ว ซึ่งแต่ละวัดอาจไม่เหมือนกันแต่จะมีช่วงเวลาที่ พระภิกษุ สามเณร ไม่เว้นแม้แต่เจ้าอาวาส ท่านจะออกมาร่วมกันกวาดและทำความสะอาดวัดพร้อมกันทั้งหมด นอกจากเป็นการทำความสะอาดให้วัดน่าดูแล้ว ยังเป็นการฝึกฝนขัดเกลาจิตใจของพระท่านอีกทางหนึ่ง ผู้ที่จะไปวัดนั้นควรสอบถามหรือศึกษารายละเอียดข้อปฏิบัติของวัดนั้น ๆจากพระในวัดให้ดีก่อน

ช่วงเวลาที่พระท่านกำลังปฏิบัติธรรม

การไปรบกวนพระสงฆ์ที่ท่านกำลังปฏิบัติธรรมอยู่ก็กลายเป็นบาปได้เช่นกันไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ซึ่งเป็นกันมากในหมู่คนที่ไปทำบุญที่วัดและสำนักปฏิบัติธรรม โดยคิดแต่ประโยชน์ความสะดวกส่วนตนโดยไม่นึกถึงพระ ทั้ง ๆที่พระท่านกำลังปฏิบัติธรรมอยู่ เรื่องนี้มีตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงผลเสียอย่างชัดเจน จากคำบอกเล่าของ หลวงปู่ ดุลย์ อตุโล พระอริยเจ้าสำคัญอีกรูปหนึ่งของเมืองไทย ท่านได้เมตตาบอกกล่าวเอาไว้ว่า..... ครั้งหนึ่งมีลูกศิษย์หลวงปู่ผู้สนใจธรรมปฏิบัติกำลังนั่งภาวนาเงียบอยู่ ไม่ห่างจากท่านเท่าใดนัก บังเอิญมีแขกมาหาลูกศิษย์ผู้นั้นแต่ไม่เห็น ก็มีศิษย์อีกท่านหนึ่งเดินเรียกชื่อท่านผู้กำลังนั่งภาวนาอยู่ด้วยเสียงอันดัง และเมื่อเดินมาเห็นศิษย์ผู้นั้นกำลังภาวนาอยู่ ก็ยังไปจับแขนดึงท่านขึ้นมาทั้งที่ท่านกำลังนั่งภาวนา เมื่อผู้นั้นห่างไปแล้ว หลวงพ่อปู่ดุลย์ ท่านจึงเปรยขึ้นมาว่า

"ในพุทธกาลครั้งก่อน มีพระอรหันต์องค์หนึ่งกำลังเข้านิโรธสมาบัติ ได้มีนกแสกตัวหนึ่งบินโฉบผ่านหน้าท่านพร้อมกับร้อง "แซก" ท่านว่านกแสกตัวนั้นเมื่อตายแล้วได้ไปอยู่ในนรก แม้กัปนี้พระพุทธเจ้าผ่านไปได้พระองค์ที่สี่แล้ว นกแสกตัวนั้นก็ยังไม่ได้ขึ้นมาจากนรกเลย”

ซึ่งก็หมายความว่า การที่คนเรานั้นไปขัดขวางการปฏิบัติธรรมของพระสงฆ์นั้นไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตามจะเป็นบาปอย่างมหันต์โดยที่หลายคนอาจจะไม่รู้ตัว การไปขัดขวางการปฏิบัติธรรมหรืออะไรก็ตาม จริงๆ แล้วต้องดูที่เจตนาเป็นหลัก ดูที่กฎแห่งกรรม ถ้าเป็นกรรมที่ไม่ได้มีเจตนาหรือขาดเจตนาก็อาจจะกลายเป็นอโหสิกรรมได้

ดังนั้นควรระมัดระวังตนให้ดีและ รู้จักสำรวมทั้งกาย วาจา ใจ วัดนั้นเป็นสถานที่ที่เราสามารถไปได้บ่อย ๆ ก็จริงแต่อย่างไรก็ตาม วัด ถือเป็นสถานที่ประกอบบุญอันมีความศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัวของสถานที่อยู่แล้วรวมถึงพระในวัดด้วย เราต้องรู้จักกาลเทศะ คือ รู้ทั้งเวลาและโอกาสอันเหมาะสมจึงจะได้บุญอย่างที่ปรารถนา

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook