การวิปัสสนากรรมฐานให้เกิดผลดีทั้งทางโลกและทางธรรม
การวิปัสสนากรรมฐานให้เกิดผลดีทั้งทางโลกและทางธรรม
ทุกคนล้วนต้องการความสุข ไม่มีใครชอบความทุกข์ทั้งนั้น จริงไหมคะ แต่เรื่องบางเรื่องเราก็ไม่สามารถควบคุมหรือหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้นเราต้องหัดรู้จัก “รับมือกับมันให้ได้” ซึ่งแต่ละคนก็จะมีวิธีในการจัดการรับมือกับปัญหาที่ต่างๆ กันออกไป ขึ้นอยู่กับสถานการณ์หรือปัญหานั้นๆ ด้วย วันนี้โฮโรโซไซตี้จะขอนำเสนอว่า วิปัสสนากรรมฐานอย่างไรให้เกิดผลดีทั้งทางโลกและทางธรรม พร้อมประโยชน์ของการเจริญวิปัสสนามาฝากแฟนๆ เพื่อนำไปใช้ให้ก่อเกิดประโยชน์สูงสุดกันค่ะ
การวิปัสสนากรรมฐานหรือการเจริญวิปัสสนา เป็นเรื่องของการศึกษาชีวิต เพื่อที่จะปลดเปลื้องกิเลสหรือความทุกข์ต่างๆ ให้ออกไปจากชีวิต อันนำมาซึ่งการดับทุกข์และความสงบสุขทั้งกายและใจ หรือว่าง่ายๆ คือ “การปล่อยวางและไม่ยึดติด” ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยวางจากกิเลส ความทุกข์ ความคาดหวังต่างๆ หรือแม้แต่การไม่ยึดติดกับความสุข วัตถุนิยมหรือสิ่งรอบกายทั้งหลายได้ ก็นับว่าเป็นการเจริญวิปัสสนาแล้ว หากว่าคุณสามารถปล่อยวางและไม่ยึดติดได้แล้ว คุณจะรู้สึกเป็นอิสระ ผ่อนคลาย และมีความสบายทั้งกายและใจ โดยการวิปัสสนากรรมฐานที่เป็นที่นิยมและผู้คนปฏิบัติตามกันเยอะจะมีดังนี้
1. พองหนอ ยุบหนอ
เป็นการตั้งสติไว้ที่หน้าท้อง พร้อมกับภาวนาว่า “พองหนอ” และ “ยุบหนอ” ตามการเคลื่อนไหวของหน้าท้อง โดยให้กำหนดจิตไว้ที่ปลายจมูกหรือริมฝีปาก และพยายามสังเกตุลมหายใจเข้า-ออก นอกจากนี้ยังมีการสอนให้กำหนดจิตและลมหายใจเข้า-ออก ด้วยการภาวนาในใจเวลาหายใจเข้าว่า “พุท” เวลาหายใจออกว่า “โธ”
2. การนั่งสมาธิ
เป็นการเจริญสติ มีความสำคัญมาก เพราะทำให้เกิดปัญญา ความสงบ ความสบาย และความรู้สึกที่เป็นสุข เมื่อเจริญสติกำหนดรู้ให้ต่อเนื่องกันได้แล้วจิตจะสงบลง ความฟุ้งซ่านจะน้อยลง และทำให้เกิดสติสัมปชัญญะ ปัญญา ความคิดถูก รู้ถูก พูดถูก ทำถูก หรือที่เรียกว่าปัญญาหรือวิปัสสนาญาณนั่นเอง
3. เดินจงกรม
แตกต่างจากการเดินแบบปกติธรรมดาทั่วไปตรงที่ต้องใช้ “สติ” ในการเดิน คือ ต้องมีสติคอยกำหนดอยู่ตลอดเวลาในการเดิน ทำได้ไม่ยาก (แอดมินก็ทำเป็นประจำ) โดยเวลาเดินขึ้น-ลงบันได เดินอยู่ในบ้านหรือออฟฟิศ หรือเดินตามสวนสาธารณะก็ตาม คุณก็สามารถกำหนดสติเวลาย่างก้าวได้ ย่างเท้าซ้ายให้กำหนดในใจ “ซ้ายหนอ” ย่างเท้าขวาให้กำหนดในใจ “ขวาหนอ” สลับกันไปเรื่อยๆ ให้สติอยู่กับกาย ซึ่งการเดินถือเป็นอิริยาบถหนึ่งในอิริยาบถทั้ง 4 ที่ช่วยพัฒนาในด้านจิตใจได้
4. มีสติทุกการเคลื่อนไหวในอิริยาบถต่างๆ
ขณะที่เคลื่อนไหวให้ภาวนาและมีสติอยู่ตลอดเวลา และให้สังเกตุทุกการเคลื่อนไหวของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการนั่ง การยืน การนอน หรือแม้แต่การเปลี่ยนท่าทาง อย่างเช่น หากกำลังจะนอนลง ให้ภาวนาในใจว่า “นอนหนอ” หรือหากกำลังจะทานข้าว ให้ภาวนาเริ่มตั้งแต่การวางจาน การนั่ง การมองเห็น ไปจนถึงการเคี้ยว การกลืน โดยการมีสติในทุกอิริยาบถต่างๆ เหล่านี้จะช่วยให้เราไม่ประมาท และยังช่วยพัฒนาลำดับความคิดในการจะทำสิ่งต่างๆ ได้ดีอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีวิธีเจริญวิปัสสนาอื่นๆ อีก เช่น การเดินจงกรมขั้นสูง แต่ที่นำเสนอไปจะเป็นวิธีง่ายๆ ที่สามารถนำไปปฏิบัติตามได้ทุกวัน อันไหนที่ทำแล้วดี ทำแล้วสบายใจ ให้ทำได้เลย ไม่ต้องไปซีเรียสหรือไปเจาะจงอะไรมากมาย เพราะวิธีการทำกรรมฐานมีเยอะแยะ ขึ้นอยู่กับจิตใจเราว่าจะสามารถมุ่งมั่นตั้งใจปฏิบัติได้มากน้อยแค่ไหน แค่ได้เริ่มทำก็เป็นผลดีต่อตัวคุณแล้วค่ะ
ส่วนประโยชน์ของการเจริญวิปัสสนานั้นมีนานับประการ โดยผลดีในทางโลกนั้นมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความรู้ที่เราสามารถนำไปประกอบสัมมาอาชีพหรือนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน และทางด้านร่างกาย การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการดำเนินชีวิต ช่วยให้มีสมาธิ ความจำดีขึ้น สติปัญญาเฉียบแหลม ช่วยบำบัดโรคร้ายแรง โรคเรื้อรัง หรือโรคที่เกี่ยวกับทางใจต่างๆ อีกทั้งยังช่วยให้มีสติอยู่ตลอด ลดความประมาทในการใช้ชีวิตลง และยังช่วยพัฒนาจิตใจให้มีความรับผิดชอบ มีคุณธรรม ศีลธรรมและจริยธรรมให้ดียิ่งขึ้น
ส่วนผลดีของการเจริญวิปัสสนาในทางธรรมนั้นก็มีอยู่เยอะไม่แพ้ทางโลกเช่นกัน โดยช่วยให้ผู้ปฏิบัติมีสติในการดำเนินชีวิตหรือในการทำสิ่งต่างๆ ช่วยให้มีสมาธิ สามารถหยั่งรู้ ตัดกิเลสและปล่อยวางให้ไม่ลุ่มหลงมัวเมาไปกับสิ่งเร้ารอบกาย ตัดวัฏฏสงสาร ตัดเวรตัดกรรมหรือลดกรรมที่เคยได้ทำมาในอดีตชาติโดยการแผ่ส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรทั้งที่มีชีวิตอยู่และที่เป็นจิตวิญญาณ
หากพูดถึงความแตกต่างระหว่างความรู้ในทางโลกและทางธรรมแล้ว สามารถแยกออกจากกันได้ไม่ยาก เนื่องจากทั้งสองสิ่งนี้มีเป้าหมายที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
- ความรู้ในทางโลกนั้นไม่ได้นำไปสู่การดับทุกข์ แต่จะสามารถนำไปประกอบสัมมาอาชีพและใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน
- ความรู้ทางธรรมนั้นเป็นความรู้ที่ทำให้เรารอดพ้นจากความทุกข์หรือสามารถเอามาใช้ดับความทุกข์ที่อยู่ในจิตใจได้ เนื่องจากเราจะสามารถรับรู้ได้ว่าต้นเหตุของความทุกข์ที่อยู่ในใจนั้นเกิดมาจากสาเหตุอะไร ซึ่งโดยมากแล้วมักจะไม่พ้นกิเลสตัณหา การยึดติด หรือแม้แต่การคาดหวังในเรื่องต่างๆ และ “สิ่งที่จะสามารถดับความทุกข์เหล่านั้นได้ก็คือ การมีความรู้ มีสติ สมาธิ ศีลและปัญญา”
อย่าลืมหาเวลาว่างปฏิบัติกันนะคะ อ่านดูแล้วก็จะรู้ว่าไม่ยากเลยหากคุณเปิดใจและลองปฏิบัติดู เริ่มจากวันละเล็กละน้อยค่อยๆ เพิ่มเวลาดู รับรองว่าคุณจะมีสติในการใช้ชีวิตมากยิ่งขึ้น สามารถค้นพบตัวเอง แก้ปัญหาให้ตัวเองได้ รวมถึงอาจจะสามารถช่วยแก้ปัญหาหรือแนะแนวทางออกให้ผู้อื่นได้อีกด้วย