อาทิตย์อัสดง x เล่าเรื่องผี GHOST STORIES EP. 2 คลินิกเสริมความงาม (คลินิกทำแท้ง)
พบกับ 4 เรื่องสยอง กับความมืดมนที่จะทำให้คุณกลัวคนมากกว่าผี “อาทิตย์อัสดง” ซีรี่ส์สยองขวัญเรื่องแรกจาก WeTV ทุกวันเสาร์ เวลา 20:00 น. ทาง #WeTVth เท่านั้น เรื่องเล่าสยองขวัญจากทางบ้าน
กดติดตามและกดรูปกระดิ่งเพื่อเป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ
เล่าเรื่องผีในวันนี้เป็นเรื่องราวของคุณจักร ที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีที่แล้ว ฐานะทางครอบครัวของคุณจักรนั้น ยากจน พ่อกับแม่ก็มีอายุมากแล้ว อีกทั้งยังมีโรคประจำตัวเจ็บป่วยออดๆ แอดๆ ทำให้คุณจักรต้องออกไปหางานรับจ้างทั่วไป วันไหนไม่มีงาน คุณจักรก็จะไปหาจับปลาและเก็บผักขาย ได้บ้างไม่ได้บ้าง แล้วแต่จังหวะและโชคจะพาไป แต่แล้ววันหนึ่งจะเรียกว่าโชคดีหรือจังหวะพอเหมาะก็ไม่รู้ที่ป้านีย์ ป้าข้างบ้าน ซึ่งทำงานเป็นพนักงานทำความสะอาดอยู่ประจำคลินิกเสริมความงามแห่งหนึ่งที่กรุงเทพ กลับมาเยี่ยมบ้านที่ต่างจังหวัดปีพอดี ป้านีย์เป็นคนใจดี มาทุกครั้งก็ซื้อของมาฝากคุณจักรและครอบครัวทุกครั้ง แกจะชมคุณจักรเสมอว่า เป็นคนขยัน กตัญญู และครั้งนั้นเองที่พ่อของคุณจักรเกิดล้มหัวฟาดพื้นในห้องน้ำ และทำให้ท่านเป็นอัมพาตเดินไม่ได้ จึงทำให้ขาดรายได้หลักของครอบครัวไป ป้านีย์เลยเอ่ยปากชวนคุณจักรเข้าไปทำงานที่กรุงเทพด้วยกัน ป้านีย์บอกกับแม่ของคุณจักรว่า ที่คลินิกกำลังขาดคน เพราะลุงจอมคนเก่าแก่ที่ทำประจำพึ่งเสียชีวิตไป ทางคลินิกจึงอยากได้คนที่ไว้ใจได้ไปช่วยงาน คุณจักรจึงตัดสินไปทำงานกับป้านีย์
ป้านีย์พาคุณจักรไปหาห้องเช่าเล็ก ๆ ราคาถูก สภาพห้องเป็นห้องสี่เหลี่ยมที่กั้นด้วยไม้อัดที่พอจะนอนหรือนั่งได้ ส่วนห้องน้ำและห้องอาบน้ำใช้รวมกัน ป้านีย์บอกกับคุณจักรว่าเวลาของคุณจักรส่วนใหญ่อยู่ที่คลินิก ห้องที่เช่าเอาไว้แค่นอนเท่านั้น จึงไม่จำเป็นต้องหาห้องดี ๆ อะไรมาก เพราะที่คลินิกมีห้องให้นอนสบายมากกว่าที่นี่อีก เอาไว้มานอนที่นี่ในเวลาที่จำเป็นก็เท่านั้น จะได้เหลือเงินส่งกลับไปที่บ้าน คุณจักรเล่าให้พวกเราฟังถึงคลินิกเสริมความงามที่ว่านั่น ว่าเป็นตึกแถว 3 ชั้น ดัดแปลงให้เป็นคลินิก ชั้นล่างใช้รับลูกค้า ส่วนชั้นที่ 2 ใช้เป็นสถานที่ให้บริการ ชั้น 3 เป็นที่เก็บของ พนักงานที่นั่นคนไม่เยอะมาก มีคุณหมอประจำคลินิกสองคนคือ หมอปรีย์ หมอนา พี่หน่อยที่ทำหน้าที่รับลงทะเบียน ป้านีย์ทำหน้าที่ทำความสะอาดและคุณจักรเองที่เข้าไปทำหน้าที่ เป็นเจ้าหน้าที่ที่อำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่ต้องทำงานทั้งเวรกะกลางวันและเฝ้าร้านตอนกลางคืน เพราะมีเครื่องมือเครื่องใช้ที่มีราคาแพง หมอปรีย์ที่เป็นเจ้าของจึงมีความกังวลอย่างมาก เลยจ้างให้ดูแลตลอด โดยให้เลือกหยุดพักได้ 1 วัน ในแต่ละอาทิตย์ว่าอยากจะหยุดวันไหน แต่ก็ต้องแจ้งล่วงหน้า หน้าที่ของคุณจักรที่จะต้องทำเป็นประจำทุกวัน นอกจากคอยดูแลและอำนวยความสะดวกแล้ว ก็คือ ติดตามคุณหมอไปรักษา ตามโรงแรมต่าง ๆ คอยขนย้ายอุปกรณ์ เครื่องมือไปให้ในห้องที่ทำการรักษา พอเสร็จแล้วก็ขนกลับ พร้อมกับถุงขยะถุงเล็ก ๆ อีก 1 ถุง ที่คุณหมอสั่งนักสั่งหนาว่าต้องถืออย่างระมัดระวัง และนำกลับคลินิกทุกครั้ง บางวันต้องไปถึง 2-3 ที่ต่อวัน หน้าที่อีกอย่างคือ ทุก ๆ 3 วัน คุณจักรต้องขนย้ายขยะ จากชั้น 3 ไปใส่รถกระบะที่มีหมอปรีย์เป็นคนขับ นำไปส่งให้ลุกศักดิ์ ที่บ้านอยู่ติดกับวัดแถวชานเมือง เพื่อกำจัดและทำลาย คุณจักรเคยถามป้านีย์ว่า ทำไมเราไม่เอาขยะไปทิ้ง ให้เทศบาลมาจัดการ ป้านีย์บอกว่าขยะจากการดูดไขมัน มีแต่เลือดแต่หนอง คุณหมอไม่อยากให้เป็นภาระกับทางเทศบาล ถึงแม้จะฟังดูแปลก ๆ ไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าไหร่ เพราะการเปิดคลินิกเสริมความงามแบบนี้จำเป็นจะต้องวางการจัดการเรื่องขยะตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่คุณจักรก็ปล่อยทิ้งความสงสัยนี้ไป ไม่ได้สนอะไรอีก เพราะคิดแค่ว่าบางครั้ง เรื่องที่เราสงสัยหรืออยากรู้มากเกินไป อาจจะไม่ดีกับตัวเองก็ได้
ในช่วง 2-3 เดือนแรกของการทำงานที่คลินิกนั้นคุณจักรบอกว่า มีทั้งเรื่องที่ทำให้สบายใจและเรื่องที่ทำให้หนักใจ เรื่องที่ทำให้สบายใจคือทุกคนที่คลินิกดูเป็นกันเองและมีน้ำใจกับคุณจักรมาก และเรื่องที่ทำให้หนักใจสองอย่างคือ การที่ต้องทนเห็นความเจ็บปวดของผู้หญิงที่พากันมาที่คลินิก เพราะแต่ละคนที่กลับออกไปสภาพไม่โอเคสักคนครับ บางคนร้องโอดโอยแทบจะตลอดเวลาที่รอรับยาและจ่ายค่าใช้จ่ายต่าง ๆ บางคนก็เหมือนกับหุ่นไปเลย จะยิ้มก็ลำบาก จะพูดก็ยาก และเกือบทุกครั้งที่หลังจากส่งลูกค้าขึ้นรถด้วยความทุลักทุแลแล้ว คุณจักรก็มักจะได้ยินป้านีย์เดินมาบ่นกับตัวเขาเองบ่อย ๆ ว่า //...ไม่เข็ดหรอกพวกนี้ เดี๋ยวก็ต้องกลับมาอีก เชื่อป้าสิ...//
ส่วนเรื่องหนักใจเรื่องที่สองของคุณจักรคือการที่ต้องขึ้นไปที่ชั้น 3 ของ คลินิก คุณจักรเล่าว่าในวันแรกที่ต้องขึ้นไปขนขยะลงมาใส่รถ ในเวลาดึก ๆ ช่วงประมาณเที่ยงคืนกว่า ๆ ก่อนที่คุณจักรจะเปิดประตูเข้าไป เขามักจะได้ยินเสียงเหมือนมีคนอยู่ภายในห้องนั้น เป็นเสียงพูดคุยกันที่ฟังไม่ได้ศัพท์ แต่พอเปิดประตู เสียงก็เงียบหายไป เงียบจนคุณจักรรู้สึกวังเวง และรู้สึกได้ถึงลมเย็น ๆ ของแอร์ที่เข้ามาโดนตัว มีกลิ่นสาบและกลิ่นเลือดลอยคลุ้งมาจาง ๆ เขาเองก็ไม่แน่ใจนักว่าทำไมขยะพวกนี้ถึงต้องอยู่ในห้องแอร์ด้วย แต่ก็คิดไปว่า มันอาจจะเป็นการเก็บเพื่อไม่ให้เหม็นเน่าก่อนนำไปกำจัด คุณจักรยืนนื่งมองไปรอบ ๆ ห้องด้วยความเงอะ ๆ งะ ๆ ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนก่อน แล้วก็รู้สึกขนลุกเป็นระยะ ๆ เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก จนหมอปรีย์เดินเข้ามาหา //...จักรรีบช่วยกันขนของนะ ดึกแล้วนะครับ...// เสียงของหมอปรีย์ทำให้คุณจักรพาตัวเองเขาไปยกถุงขยะนั้นในทันที แม้จะไม่หนักมาก แต่กลิ่นของมันก็ไม่ค่อยพึงประสงค์สักเท่าไหร่ และในทุก ๆ คืนที่คุณจักรต้องไปขนขยะที่ชั้น 3 ของคลินิก ไปส่งให้ลุงศักดิ์ คุณจักรก็มักจะนอนไม่ค่อยหลับและรู้สึกพะอืดพะอมอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะคืนไหนที่ต้องนอนเฝ้าที่คลินิกในคืนเดียวกับที่ต้องขนขยะลงไป คุณจักรก็มักจะได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง จากชั้น 3 ไม่ว่าจะเป็นเสียงเหมือนคนเดินลากของไปมา เสียงเปิดปิดประตู หรือแม้แต่เสียงหัวเราะที่บางครั้งมันก็ลอยแว่วมาให้ได้ยินอยู่หลายครั้งในตอนกลางดึก คุณจักรเองก็ไม่รู้ว่ามันเกิดจากอะไร จากอาการเหนื่อยหรืออาการกลัวห้องเก็บขยะห้องนั้นกันแน่ ซึ่งโดยปกติคุณจักรไม่ได้เป็นคนกลัวผีเท่าไหร่นัก แต่พอเจอเหตุการณ์แปลก ๆ ตั้งแต่วันแรกมันก็ทำให้คุณจักรไม่อยากขึ้นไปที่ชั้นนั้นอีกเลยหากไม่จำเป็น แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องขึ้นไปอาทิตย์ละสองครั้งเป็นอย่างน้อย เพื่อขนของและเอาขยะลงมา ซึ่งคุณจักรก็ทำแบบรีบทำรีบจัดการให้เสร็จ เพราะไม่อยากจะอยู่นาน ๆ
จนกระทั่งคืนหนึ่งที่คุณจักรได้เจอกับวัยรุ่นสองคนที่เสียงดังโวยวายและปีนลงมาจากทางด้านหลังของคลินิก ก่อนจะวิ่งหนีไป คุณจักรรีบโทรหาหมอปรีย์ และบอกว่าจะแจ้งตำรวจ แต่หมอปรีย์ก็ห้ามเอาไว้ และบอกให้รอถึงพรุ่งนี้เช้าก่อน หมอปรีย์จะรีบเข้ามาแต่เช้า คุณจักรเองก็ไม่รู้ว่าทำไมหมอปรีย์ไม่ให้แจ้งตำรวจ แต่เขาเองก็ไม่อยากจะฝ่าฝืน เพราะกลัวจะตกงาน เขาเลยเลือกที่จะทำตามที่หมอปรีย์โดยมองข้ามสิ่งที่ควรจะทำไป เช้าวันต่อมาหลังจากคืนนั้น หมอปรีย์ที่เข้ามาเช็คข้าวของทุกอย่างตั้งแต่เช้ามืด ก็บอกกับทุกคนที่คลินิกว่า เขาจะไม่แจ้งความ เพราะไม่มีของอะไรหาย และคิดว่าคงเป็นแค่วัยรุ่นที่คึกคะนองก็เท่านั้น หลังจากเหตุการณ์วันนั้น หมอปรีย์ก็กำชับกับคุณจักรเรื่องการนอนเฝ้าที่คลินิกว่าต่อไปให้รอจนกว่าจะตีสองก่อนแล้วค่อยเข้านอน ซึ่งหมอปรีย์เองก็จะเพิ่มเงินให้ ถึงแม้จะเป็นงานหนักและเป็นงานที่ไม่เหมือนใคร แต่หากได้เงินมากขึ้นและไม่เหนือบ่ากว่าแรง คุณจักรก็ยินดีที่จะทำ
คืนแรกหลังจากที่ถูกสั่งว่าให้รอเวลาจนถึงตีสองแล้วค่อยนอน คุณจักรก็เริ่มเจอเหตุการณ์แปลก ๆ อาจเป็นเพราะเขาย้ายห้องนอนไปห้องที่ใกล้บันไดด้วยหรือเปล่า คุณจักรเองก็ไม่แน่ใจ แต่ระหว่างที่เดินสำรวจในบริเวณจากข้างนอกตึกแล้วเข้ามาที่ชั้น 1 คุณจักรก็รู้สึกขนลุกเป็นระยะ ๆ เหมือนกับตอนที่ต้องขึ้นไปขนขยะบนห้องเก็บของชั้น 3 คุณจักรเดินสำรวจไปเรื่อย ๆ ก็รู้สึกเหมือนกับว่า มีใครเดินตาม แต่เมื่อเขาส่องไฟฉายไปทางด้านหลัง ก็ไม่เจออะไร คุณจักรส่องไปรอบ ๆ อยู่หลายครั้ง ทั้งด้านหน้า ด้านหลัง ซ้ายขวา เพื่อความสบายใจของตัวเอง แต่ก็ไม่เห็นอะไร จึงคิดว่าคิดมากไปเอง (เสียงหัวเราะของเด็ก) แต่พอได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง คุณจักรก็หยุดยืนนิ่ง และค่อย ๆ หันหลังไป แสงไฟจากไฟฉายส่องไปปรากฏว่า มีแมวเดินลงมาจากชั้น 3 ซึ่งจะมีหน้าต่างบานหนึ่งที่ปิดไม่ได้สนิทมากนัก และหากออกแรงดันเล็กน้อยมันก็จะเปิดออกทันที ทำให้คุณจักรคิดว่าเสียงนั้นคือเสียงของแมวที่ร้องซึ่งมันก็คล้ายกับเสียงเด็กอยู่เหมือนกัน คุณจักรกำลังจะเดินขึ้นไปที่ชั้น 3 เพื่อดูที่หน้าต่าง แต่แมวตัวนั้นก็เดินมาคลอเคลียที่ขาของคุณจักร ก่อนจะส่งเสียงร้องแปลก ๆ ออกมา (เสียงแมวร้องแบบสะดุด ๆ) จนกระทั่งมันเงยหน้าขึ้นมามองคุณจักรก็เห็นว่ามีมือเล็ก ๆ ของใครบางคนลอดเข้ามาที่หว่างขาของคุณจักรเพื่อที่จะลูบแมวตัวนั้น คุณจักรตกใจมากจนขาเผลอไปเตะโดนแมว ซึ่งมันก็ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด คุณจักรรีบกลับไปที่ห้องพัก และปิดประตูล็อค เปิดไฟสว่างที่สุดเท่าที่จะสว่างได้ (เสียงเคาะประตู) มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำให้คุณจักรยิ่งเสียสติ และคืนนั้นทั้งคืน คุณจักรก็ไม่ได้นอนจนถึงเช้า เขานั่งสวดมนต์ตลอดทั้งคืน พร้อม ๆ กับที่ต้องทนฟังเสียงเคาะประตูไปด้วย เช้าวันต่อมา คุณจักรไม่กล้าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังนอกจากป้านีย์ //...เอ็งน่ะคิดมากจักรเอ้ย พระองค์เบ้อเริ่ม ป้าตั้งไว้ให้ในห้องพัก เอ็งจะไปกลัวอะไร หัดสวดมนต์ซะบ้างก่อนนอนน่ะ...// .... //...โห ป้า ผมก็สวดทุกคืนนะ แต่เมื่อคืนอะ เจอจริง ๆ ถ้าป้าไม่เชื่อผม ก็คงไม่มีใครเชื่อแล้วนะ...// ป้านีย์ที่ได้ยินคุณจักรพูดแบบนั้นแล้ว ก็เออ ๆ ออ ๆ ตามไป แต่คุณจักรก็รู้ดีว่า ป้านีย์ไม่ได้เชื่อคุณจักรจริง ๆ
คืนถัดมา ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหมือนกับคืนก่อน ๆ จนถึงตีสอง คุณจักรก็เลยสวดมนต์เข้านอนอย่างสบายใจ และหวังว่าคืนนี้เขาจะหลับลึกไม่ได้ยินเสียงอะไรอีก แต่ในช่วงที่กำลังเคลิ้มหลับไป คุณจักรก็ต้องสะดุ้งตกใจ ตื่นเพราะมีเสียงของหล่นกระแทกพื้นดังมาจากชั้นบน คุณจักรคิดในใจว่าน่าจะเป็นขโมย คุณจักรลุกขึ้นจากเตียงหยิบไฟฉายและกระบอกกระบองที่วางไว้อยู่ใกล้ ๆ และเดินออกจากห้องด้วยความเงียบที่สุด คุณจักรไม่กล้าเปิดไฟกลัวว่าถ้าเป็นขโมยจริง ๆ เดี๋ยวมันจะรู้ตัว เลยค่อย ๆ ย่องเดินขึ้นบันไดอย่างช้า ๆ ในความมืดนั้นก็ยังพอมีแสงสลัว ๆ จากข้างนอก ส่องเข้ามาพอให้มองเห็นบันได คุณจักรจึงเดินขึ้นบันไดไปอย่างความระมัดระวัง จากเสียงที่ได้ยิน คุณจักรค่อนข้างแน่ใจว่าเสียงดังมาจากชั้น 2 แน่นอน กำลังจะถึงบันไดขั้นสุดท้ายที่มาถึงชั้น 2 คุณจักรก็มองเห็นเงาอะไรบางอย่าง เลยรีบเปิดไฟฉายส่องไปที่เงาทันที แสงไฟฉายยังไม่ทันสาดไปกระทบ เงานั้นก็เคลื่อนไหวไปอย่างรวดเร็วไปทางบันไดชั้น 3 แต่เสียงที่คุณจักรได้ยินเป็นเสียงวิ่งชัดเจน คุณจักรจึงตัดสินใจตะโกนออกไปดังๆ //...เฮ้ย ถ้ามึงไม่รีบหนีไป หรือไม่ยอมดี ๆ กูบอกไว้ก่อน กูแจ้งตำรวจแล้วนะ ส่วนด้านหลังกางเกงกูนี่ก็ปืน มึงไม่รอดแน่ ๆ!!...// คุณจักรพูดขู่ออกไป ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ทำอะไรอย่างที่พูดเลย แถมที่อยู่ด้านหลังจริง ๆ ก็เป็นแค่กระบองอันเล็ก ๆ ที่ไม่ใหญ่มาก แต่มันก็พอจะฟาดให้เจ็บหนักได้อยู่เหมือนกัน คุณจักรรีบเอื้อมมือไปเปิดไฟ เพื่อให้เห็นอะไรชัดเจนขึ้น เพราะในใจตอนนั้นมั่นใจมากว่าเป็นคน แต่ไฟก็ติดแค่ชั้น 2 เท่านั้น คุณจักรจึงเกิดความลังเลที่จะขึ้นไปที่ชั้น 3 แต่เสียงอะไรบางอย่างยังคงดังอยู่เป็นระยะ ๆ ทำให้คุณจักรต้องรวบรวมความกล้าที่จะขึ้นไป มืออีกข้างจับกระบองไว้แน่น อีกข้างก็ใช้ถือไฟฉายส่องนำทางขึ้นบันไดไป คุณจักรเดินขึ้นบันไดไปจะสุดทางก็รีบใช้ไฟฉายสาดไปรอบๆ แต่กลับไม่เห็นอะไร ประตูทุกห้องปิดสนิท ถูกล็อกด้วยแม่กุญแจอย่างแน่นหนา ในระหว่างที่คุณจักรกำลังหันหลังจะก้าวเดินลงบันไดไป (เสียงเคาะประตูดัง ๆ) คุณจักรสะดุ้งสุดตัว ส่องไฟฉายไปที่ห้องเก็บขยะที่ล็อกแม่กุญแจอยู่ คุณจักรยืนตัวแข็งทื่อ ก้าวขาไม่ออก มารู้ตัวอีกทีก็เห็นว่าป้านีย์กำลังเรียกชื่อตัวเองอยู่ //...จักรเอ้ย จักร เอ็งนี่เป็นอะไร พักหลัง ๆ มานี่ ท่าทางจะไม่ค่อยไหว ไม่ได้นอนรึไง...// ... //...ป้า....ป้าไม่เชื่อผมจริง ๆ เหรอ ว่าที่นี่...// .... //...จักร เอ็งอย่าพูดอะไรมาก เดี๋ยวคนอื่นมาได้ยินจะเอาไปฟ้องหมอปรีย์ว่าเอ็งหาเรื่องอู้งาน วันนี้กะกลางวันเอ็งก็พักเถอะ เดี๋ยวป้าไปช่วยหมอเขาเอง...// คุณจักรพูดยังไม่ทันจบประโยคก็โดนป้านีย์พูดแทรกขึ้นมา จนเขาไม่กล้าพูดอะไรต่อ แต่ก็ยังอดคิดถึงเรื่องเมื่อคืนที่เจอดี จนตัวเองเป็นลมสลบไปไม่ได้ แถมคืนนี้เป็นคืนที่ต้องขนขยะอีกด้วย ทำให้คุณจักรมีความกังวลใจมากกว่าเดิม
เมื่อถึงช่วงเวลาที่ต้องขนย้ายขยะ ด้วยความกลัว คุณจักรจึงขอให้หมอปรีย์ขึ้นไปเป็นเพื่อนเหมือนช่วงแรก ๆ ที่เขามาทำงานใหม่ ๆ โดยอ้างว่าตนไม่ค่อยสบายกลัวเป็นลมไปอีกเหมือนตอนที่ตรวจเวรเมื่อคืน หมอปรีย์ก็ยอมขึ้นมาเป็นเพื่อนและถามไถ่ถึงอาการของคุณจักรตลอดเวลาที่เดินขึ้นมา //...ผมใช้งานคุณหนักไปรึเปล่า อยากพักก็บอกได้นะ ผมจะจ้างคนนอกมาทำแทนระหว่างที่คุณพักก่อนก็ได้...// ... //...ไม่ครับ ไม่เลย ผมอาจจะคิดมากเรื่องที่บ้านด้วย ก็เลยอาจจะดูหนัก ๆ ไปบ้าง...// บทสนทนาระหว่างคุณจักรและหมอปรีย์ จบลงเมื่อถึงหน้าห้องเก็บขยะที่หมอปรีย์ไขแม่กุญแจทิ้งเอาไว้แล้ว ทั้งสองคนก็ช่วยกันขนขยะลงไป และเดินทางเอาถุงขยะไปให้ลุงศักดิ์ที่บ้านจนเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว หมอปรีย์ก็บอกให้คุณจักรเข้าไปพักผ่อนในรอในรถ ซึ่งแกจะไปคุยธุระกับลุงศักดิ์ในบ้านสักพัก ระหว่างที่รอหมอปรีย์ คุณจักรก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พอมองหาก็เห็นว่าเป็นโทรศัพท์ของหมอปรีย์ คุณจักรเห็นว่าโทรมาหลายครั้งแล้ว เลยรีบเอาโทรศัพท์ไปให้หมอปรีย์ในบ้านลุงศักดิ์ //...ผมบอกลุงแล้วใช่ไหม ว่าให้เอาถุงพวกนี้ไปเผาทำลาย ทำไมลุงยังเก็บเอาไว้อีก...// ... //...ส่วนใหญ่ผมก็ทำลายให้แล้วนะ มีแค่บางตัวเองที่ชิ้นส่วนครบผมก็จะเก็บไว้ทำกุมาร...// เพียงแค่สองประโยคที่ได้ยินก็ทำให้คุณจักรรีบวิ่งกลับมาที่รถ และพยายามเก็บอาการทั้งตกใจและกลัว ไม่นานหลังจากที่คุณจักรกลับมาที่รถ หมอปรีย์ก็เดินออกมาจากบ้านลุงศักดิ์ คุณจักรกลัวว่าจะโดนหมอปรีย์จับได้จึงแกล้งหลับไปตลอดทาง แต่ระหว่างการเดินทางกลับนั้นคุณจักรก็ได้คิดประติดประต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ตลอดระยะเวลาที่ทำงานเฝ้าที่คลิกนิกเสริมความงามแห่งนี้ และที่ออกไปทำงานกับหมอนอกสถานที่ มันทำให้คุณจักรเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้น
วันต่อมาคุณจักรออกจากห้องพักของตัวเอง เพราะเมื่อคืนขอให้หมอปรีย์ไปส่งที่ห้องพัก คุณจักรคิดมากอยู่ทั้งคืน หลาย ๆ เรื่อง ทั้งเรื่องผิดชอบชั่วดี บุญ บาป กรรม วนเวียนในหัวเขาเต็มไปหมด จนสุดท้ายคุณจักรก็ได้รวบรวมความกล้าไปขอลาออก ด้วยเหตุผลที่ทนคิดถึงพ่อแม่ไม่ไหวและเป็นห่วง //...ผมก็พอจะเก็บเงินก้อนได้แล้ว เลยอยากจะขอลากลับไปตั้งตัว ขอบคุณหมอปรีย์มากที่เมตตาครับ...// ... //...เสียดายจังเลยนะ คุณเป็นคนขยัน ตั้งใจทำงาน ไม่รู้จะหาคนแบบคุณได้อีกไหม ยังไงก็โชคดีนะ....// ทุกคนดูจะอาลัยอาวรณ์ที่คุณจักรลาออกกระทันหัน โดยเฉพาะหมอปรีย์ แต่คุณจักรก็เลือกที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้องมากกว่าที่จะเห็นเงินทองเป็นสิ่งสำคัญ คุณจักรกลับมาเก็บของที่ห้องเช่า และเห็นว่ามีกระดาษเขียนแปะไว้ที่หน้าประตูห้องของเขาว่า “อย่าปล่อยให้เด็กๆ วิ่งเสียงดังเกรงใจคนอื่นบ้าง” ข้อความในกระดาษนั้นทำให้คุณจักรรีบเก็บข้าวของกลับบ้านในเย็นวันนั้นทันที และไม่สนใจว่ากระดาษที่เขียนติดไว้จะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องล้อเล่น ไม่แม้แต่จะบอกลาป้านีย์คนที่พาเขาเข้ามาทำงานได้เงินกลับไป แต่ก็ได้ประสบการณ์หลอน ๆ และเรื่องน่ากลัว ๆ กลับไปด้วยเช่นกัน
ปัจจุบันถึงแม้ว่าเรื่องราวจะผ่านไปหลายปีแล้ว คุณจักรก็ยังไม่ลืม และเรื่องราวนี้ก็ได้รับการเล่าสู่กันฟังเป็นครั้งแรก หลังจากที่ป้านีย์เสียชีวิตแล้ว ทุกวันนี้คุณจักรก็ยังรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างตามติดเขาอยู่บ้าง แต่เพราะคุณจักรนั้นไปทำบุญที่วัดบ่อยครั้ง เพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับวิญญานเด็ก ๆ ให้พวกเขาไปเกิดในภพภูมิที่ดี ก็ทำให้คุณจักรแค่รู้สึกว่ามันมีอยู่ แต่ไม่ได้พบหรือเจอเหมือนกับตอนนั้นแล้ว.