“การะเกต์พยากรณ์” กับคำทำนายอนาคตการเมืองไทย

“การะเกต์พยากรณ์” กับคำทำนายอนาคตการเมืองไทย

“การะเกต์พยากรณ์” กับคำทำนายอนาคตการเมืองไทย
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

คำทำนายโดยสรุป

  • ดวงเมืองตกมาก ๆ ในปี 2564 ขณะที่เดือนกันยายน-ตุลาคม เป็นช่วงที่ต้องระมัดระวัง
  • หลังพฤศจิกายนจะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง อาจมีการเปลี่ยนคณะรัฐมนตรีหรือเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี
  • การชุมนุมจะมีต่อเนื่องถึงปี 2565 และกลุ่มคนรุ่นใหม่จะเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง
  • จุดเปลี่ยนสำคัญจะเกิดขึ้นในปี 2568 และปี 2571 - 2572 จะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง

สถานการณ์บ้านเมืองที่กำลังร้อนระอุบวกกับวิกฤตโควิด-19 ที่รุนแรงมากขึ้น ทำให้หลายคนรู้สึกวิตกกังวลกับอนาคตของตัวเองและของประเทศ เมื่อสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัวไม่เอื้ออำนวยให้สภาพจิตใจแจ่มใส การมองหา “ตัวช่วย” เพื่อเยียวยาจิตใจก็เป็นสิ่งที่จำเป็น และหนึ่งในตัวช่วยที่หลายคนชื่นชอบ คือ “โหราศาสตร์” ศาสตร์แห่งการพยากรณ์ เพื่อทำนายอนาคตข้างหน้าและช่วยให้หลายคนได้เตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น 

ดังนั้น ในช่วงเวลาที่หลายสิ่งรอบตัวดูมืดมนและไร้ทางออก Sanook จึงชวน “การะเกต์พยากรณ์” หมอดูชื่อดังผู้เชี่ยวชาญเรื่องไพ่ยิปซีและหลักโหราศาสตร์ มาร่วมทำนายอนาคตประเทศไทย ว่าอีก 6 เดือนต่อจากนี้ จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือดีขึ้นบ้างหรือไม่ ทั้งนี้ เรื่องโหราศาสตร์เป็นความเชื่อส่วนบุคคลและโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน 

ดวงเมืองตก โรคระบาด และการเปลี่ยนแปลง

ดวงเมืองของเราตอนนี้เป็นจังหวะที่ไม่ค่อยดี ถ้าพูดแบบบ้าน ๆ ดวงเมืองถือว่าตก ยาวไปถึงปี 2571 - 2572 แต่ในทางดวงเมือง มันมีระยะสั้นระยะยาว ดวงเมืองจะตกมาก ๆ ก็คือปี 2564 นี่แหละ” หมอดูการะเกต์หรือการะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ เปิดบทสนทนาที่ทำให้เราถึงกับท้อแท้

การะเกต์หยิบยกเรื่องคำทำนาย “10 ยุคพยากรณ์” ที่แพร่หลายโดยทั่วไป ซึ่งได้ทำนายชะตาเมืองว่าบ้านเมืองในแต่ละยุคจะมีเป็นอย่างไร เช่นที่ว่า ถิ่นยุคกาขาว ยุคชาววิไล เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การะเกต์ระบุว่าการแบ่งยุคนั้นไม่ได้แบ่งตามลำดับรัชกาล แต่เป็นการแบ่งตามลำดับวงรอบของดาวเสาร์และดาวพฤหัสที่มีระยะทำเชิงมุมต่อกัน 

“ที่ผ่านมา ถ้าเราแบ่งการเมืองทางโหราศาสตร์จากวงรอบของดาวเสาร์และดาวพฤหัส เราผ่านมาแล้ว 10 ยุค เราคิดว่าปี 2563 เป็นปีแห่งการเริ่มต้นของยุคที่ 11 และเมื่อมีการมาถึงของโควิด-19 จึงเป็นไปได้ว่าการมาถึงของโรคระบาดจะเป็นหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ”

การะเกต์อธิบายว่า เมื่อระยะของดวงเมืองมีการเปลี่ยนผ่าน จะมีเหตุการณ์ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับสังคมจำนวนมาก แบบเดียวกับหลายครั้งในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา อย่างโควิด-19 ก็เป็นเรื่องที่สำคัญในทางโหราศาสตร์ เพราะทำให้เกิดวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) อย่างเห็นได้ชัด

“เมื่อเรากำลังก้าวเข้าไปสู่ยุคที่ 11 หนึ่ง เราเจอไวรัสระบาด สอง เราจะเจอการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทางการเมือง สาม เราจะเจอการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในภาคประชาชน ซึ่งสามเรื่องนี้จะแยกกันก็ได้ แต่จริง ๆ มันจะมาด้วยกัน โควิด-19 จะทำให้เกิดการเปิดเผยสิ่งที่เคยเร้นลับ คลุมเครือ อะไรที่หมักหมม ซ่อนเร้น สิ่งที่คนไม่คิดว่าจะได้เห็น ก็จะได้เห็น” การะเกต์ชี้ 

การมาถึงของโรคโควิด-19 มีความสัมพันธ์อยู่กับดวงเมือง โดยการะเกต์เล่าถึงเหตุการณ์ “ห่ารัตนโกสินทร์” ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ 200 ปีที่แล้ว หรือเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2363 โดยเธอได้ทำการวางดวงเพื่อสอบทานกลับไปในอดีตเทียบกับปัจจุบันและอนาคต และพบว่า ในวันที่ 18 พฤษภาคม 2563 จะครบรอบ 200 ปีเต็มของการมีโรคห่าระบาดครั้งใหญ่ของกรุงรัตนโกสินทร์ และในวันที่ 18 พฤษภาคม 2564 ก็จะครบรอบเวลา 201 ปี จึงเตือนไว้ล่วงหน้าว่า อาจจะเป็นช่วง “พีค” ของสถานการณ์ และมีความเสี่ยงที่จะเจอการระบาดที่ไม่สามารถควบคุมได้ จะมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก 

“ ในตอนนั้น (ที่สอบทานดวงเมือง) ก็มีปรากฏขึ้นอีกหนึ่งเรื่อง เกี่ยวกับน้ำ ก็มาจับจุดดูอีกว่าน้ำหมายถึงอะไรได้บ้าง เช่น น้ำท่วม ภัยพิบัติ หรือว่าวัคซีน ซึ่งกรณีวัคซีน ก็ทำนายไว้ว่า จะยังไม่นิ่งไม่ลงตัวจนกว่าจะถึงเมษายน 2565” 

อนาคตประเทศ 6 เดือนต่อจากนี้ 

“อยากเตือนเอาไว้ล่วงหน้า ว่าเดือนกันยายนจะเป็นช่วงพีคที่สำคัญ เพราะประมาณวันที่ 11 กันยายนเป็นต้นไป จะมีดาวใหญ่ย้าย และปัจจัยทางการเมืองก็ไม่ดี ต้องบอกว่าเดือนกันยาต้องระวังทุกส่วนเลยนะ เพราะในแง่ของการเมืองมีจุดพีค  และดาวใหญ่จะทำระยะเชิงมุมโดยตรงกับเรื่องของประชาชนและเรื่องของการปกครอง ต้องระวังการมีความรุนแรงต่อม็อบด้วย” 

ไม่ใช่แค่ความเสี่ยงจะเกิดความรุนแรงทางการเมืองในเดือนกันยายนเท่านั้น แต่การะเกต์ยังมองว่าอาจจะเกิดความสูญเสียที่เกิดจากโควิด-19 เพิ่มขึ้นอีกด้วย 

“เดือนตุลาคม ก็ยังเป็นเดือนที่ไม่ค่อยดีนัก เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นในเดือนกันยา เดือนตุลาก็ยังเป็นเดือนที่ต้องมานั่งเก็บรายละเอียดกันอยู่ ถ้ามองในภาคธุรกิจต่าง ๆ เขาจะรู้สึกว่าผ่านตุลาคมไปแล้ว เหมือนมีความหวังมากขึ้น คนจะรู้สึกว่าผ่านมาแล้ว พฤศจิกา ธันวา เราน่าจะมีความหวังมากขึ้น จะคลี่คลายขึ้น มีคนได้รับวัคซีนมากขึ้น แต่ในทางโหราศาสตร์ มันจะดีขึ้นเพียงเล็กน้อย”

“เดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม เราก็ยังต้องอยู่กับสถานการณ์ที่ลุ่ม ๆ ดอน ๆ ยังไงรอบใหญ่เราก็ต้องไปให้ถึงเมษายนปีหน้า เพราะฉะนั้นมกราคม กุมภาพันธ์ คนจำนวนหนึ่งที่มีดวงดีหรือมีพื้นดวงที่ดี อาจจะได้เริ่มกลับมาทำงานได้ปกติ หางานทำได้มากขึ้น หรือว่าเจ็บป่วยก็รักษาตัวหาย หรือมีภูมิคุ้มกันในตัวเรียบร้อยแล้ว แต่สถานการณ์โดยรวม ก็จะลุ่ม ๆ ดอน ๆ ไปจนถึงเมษา ปี 2565”

หัวเลี้ยวหัวต่อของบ้านเมือง

การะเกต์ทำนายว่าตั้งแต่ 23 พฤศจิกายนเป็นต้นไป จะมีความชัดเจนในเรื่องทางการเมืองมากขึ้น มีเกณฑ์บางอย่างที่อาจทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรีหรือการเปลี่ยนแปลงในระดับบริหาร แต่ยังไม่มีการเลือกตั้งใหม่ อย่างไรก็ตาม ก็มีความเป็นไปได้ว่าปี 2565 จะมีการเตรียมตัวเพื่อเลือกตั้งใหม่

“มันเป็นยุคหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญพอสมควร ถามว่าจะเปลี่ยนกี่เปอร์เซ็นต์ เรามองว่ายังไม่ถึง 50% เพราะจุดเปลี่ยนที่สำคัญจริง ๆ ของเราจะอยู่ที่ปี 2568 และปี 2571-2572 อันนั้นคือการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง” 

เรามองว่า 6 เดือนต่อจากนี้ จะเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของการเมืองไทย เหมือนเรามองการเดินทางต่าง ๆ ที่จะไปเชื่อมต่อกันทีละจุด หรือจะหักออกทีละข้อ เปลี่ยนข้อต่อกันไปทีละช่วง แต่ยังไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงประเทศได้ในทันทีทันใด 100% ดังนั้น 6 เดือนหลังจากนี้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ อาจจะมีการสูญเสีย การเปลี่ยนแปลง มีคนเข้า-ออก มีการปรับ ครม. มีการวางแผนเลือกตั้งใหม่ เราอาจจะมีพรรคการเมืองเกิดใหม่ และมีการเปลี่ยนวิธีการทำงานของพรรคการเมืองต่าง ๆ พอสมควร” 

ด้านสถานการณ์ “การชุมนุม” ต่อจากนี้ การะเกต์ระบุว่า จะมียาวไปจนถึงปี 2565 และจะไม่สามารถควบคุมการชุมนุมได้ทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ชุมนุมจะมีการเปลี่ยนยุทธวิธีไปตามสถานการณ์ จะมีตัวตายตัวแทนอยู่เสมอ

“ปัจจัยทางโหราศาสตร์บอกว่า กลุ่มคนรุ่นใหม่จะเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของการเมืองไทย ซึ่งคำว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่ ปรากฏในเรือนที่ 5 ของดวงเมือง ภาษาโหราศาสตร์เรียกว่า ‘ปุตตะ’ คือการเกิดใหม่ คือวัยรุ่น เยาวชน คือความหวังใหม่ ประเภทกิจกรรมชั่วคราวก็ได้ ถ้าเป็นความรักก็จะเรียกรักแรกพบหรือรักในวัยรุ่น เพราะฉะนั้น เยาวชนเหล่านี้ไม่ได้เป็นคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นการรวมตัวรวมกลุ่ม ซึ่งจึงอาจหมายถึงความคิดใหม่ก็ได้ หมายถึงวิธีการต่อสู้แบบใหม่ก็ได้ เขาจึงจะอยู่กับเรายาว ๆ จนกว่าการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงจะเกิดขึ้นในปี 2568” 

อย่ากลัวที่จะเรียกร้องความปลอดภัย

“เวลานี้ที่อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เราต้องยอมรับก่อนว่ามันเป็นวิกฤต ตอนนี้เราทุกคนอยู่ในวิกฤต ให้คิดเลยว่าเหมือนพวกเรากำลังอยู่ในสงคราม อยู่ในภัยพิบัติ สิ่งที่มากับสิ่งเหล่านี้คือ การต้องตระหนักว่าเรามีความเสี่ยงอะไรบ้าง และถึงที่สุดแล้ว ความกลัวไม่ช่วยอะไร กลัวเกินไปก็อาจทำให้เราทำอะไรไม่ได้"การะเกต์แนะนำ 

เธอยกตัวอย่างสถานการณ์โควิด-19 ในปัจจุบันนี้ ซึ่งมีความสัมพันธ์ตรงกับระบบสาธารณสุข ระบบสาธารณสุขจึงควรต้องเป็นหลักในการแก้ไขปัญหาสุขภาพของประชาชน แต่ในอีกแง่หนึ่ง โรคระบาดมีความสัมพันธ์กับมนุษย์ และมนุษย์ก็อยู่ในกลไกการเมืองการปกครอง เพราะฉะนั้นทั้งฝ่ายการเมือง การปกครอง และระบบสาธารณสุขต้องทำงานร่วมกัน การที่ประชาชนออกมาเรียกร้องต่อรัฐบาลในฐานะหัวเรือใหญ่จึงเป็นเรื่องถูกต้องแล้ว 

“เมื่อมีโรคระบาด มีการแพร่กระจายของไวรัส เราจะต้องได้วัคซีน เราจะต้องได้ยาอย่างทันท่วงที เราต้องมีการรักษาพยาบาลที่เข้าถึงได้ถ้วนหน้า แต่ถ้าระบบสาธารณสุขตอบสนองให้เราไม่ได้ เราก็ต้องเรียกร้องสิ่งเหล่านี้ เพราะระบบสาธารณสุขเองก็อยู่ในกลไกของภาครัฐ มีการบริหารงานด้วยคำสั่งและนโยบายจากกระทรวง เพราะฉะนั้นการถามกลับไปที่ระบบการบริหารงานของภาครัฐ การที่ประชาชนลุกขึ้นมาตั้งคำถามเป็นเรื่อง ๆ ไปถึงนายกรัฐมนตรี จึงเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว” 

การะเกต์สรุปว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในภาคโหราศาสตร์มีความสัมพันธ์กันทั้งหมด เห็นเป็นแผนที่ค่อนข้างชัดพอสมควร และสำหรับสิ่งที่อยากจะฝากทิ้งท้ายเอาไว้ก็คือว่า ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนในตอนนี้ เมื่อรู้แล้วว่าตัวเองกำลังอยู่ในภาวะวิกฤต ต้องมองให้ออกว่าวิกฤตนั้นคืออะไร และอย่ากลัวที่จะเรียกร้องความปลอดภัยให้กับชีวิตของตัวเอง 

“ความกลัวระดับปัจเจกเป็นเรื่องปกติ คนเรามีความกลัวเป็นเรื่องปกติ แต่ถึงที่สุดแล้ว อยากให้คิดว่าเมื่อเรากำลังอยู่ในวิกฤตที่แท้จริงแล้ว ก็ต้องร่วมแรงร่วมใจกันเพื่อจะฝ่าวิกฤตไปได้ ถามว่ามีแสงสว่างปลายอุโมงค์หรือไม่ มันต้องมี ชีวิตมีลงก็ต้องมีขึ้น สำหรับทางโหราศาสตร์บอกว่า 6 เดือนต่อจากนี้เราจะเจอสิ่งที่มันลุ่ม ๆ ดอน ๆ เป็นปกติ แต่สิ่งที่เราควรเตรียมรับมือ คือ เราจะฝ่าวิกฤตไปด้วยกันยังไง แน่นอนว่าเราเจอวิกฤต เราเจอความเสี่ยง แต่อย่ากลัว อย่าท้อถอย สำหรับคนที่ทำสิ่งในที่คิดว่าถูกต้อง ชอบด้วยหลักการ และมันจะเป็นสิ่งที่ทำให้ทั้งชีวิตตนเอง หรือบ้านเมืองของเราดีขึ้น ก็ให้ทำต่อไป เราต้องมีความหวังกับวันใหม่ที่จะต้องมาถึง” การะเกต์กล่าวทิ้งท้าย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook