คืนประหลาดที่ตลิ่งชัน โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์
พูดถึงเพื่อนที่เคยเจอผีม้าบ้อง ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทที่สุดเลยก็ว่าได้ เป็นคนที่ใช้ชีวิตมาด้วยกันตั้งแต่เราอายุ 17-18 ปี ยังมีอีกประสบการณ์หนึ่งที่เราได้พบร่วมกัน
ก่อนหน้านั้น เพื่อนชื่อ “เล็ก” คนนี้ก็เป็นคนที่มีชีวิตปกติทั่วไป ไม่ได้มีเซนส์เรื่องภูติผีปีศาจอะไร ไม่สนใจเรื่องผี แต่แล้ววันหนึ่งก็มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นกับเรา และทำให้เราสองคนจดจำมันได้จนถึงทุกวันนี้
เรื่องนี้ ยังเคยมักเล่าไว้ให้ใครต่อใครฟัง เวลาที่คนสงสัยว่า ทำไมเราถึงคิดว่าผีมีจริง หรือบางครั้ง ในโลกแห่งมิติคู่ขนาน อะไรคือสิ่งที่เราคิดว่าความเร้นลับมีอยู่
มันอาจเป็นบางส่วนจากประสบการณ์ที่เราพบ และความที่พบพร้อมกัน ดวงตาสองคู่ ความรู้สึกสองคน ผัสสะต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน
การคิดว่าเป็นเรื่องหลอนประสาท เรื่องมโนเพ้อเจ้อ จึงต้องตัดออกไป
เพราะเราต่างเป็นพยานแก่กันและกัน
เรื่องมีอยู่ว่า...
เย็นวันหนึ่ง สมัยนั้นเราสองคนพักอาศัยอยู่ในทาวน์เฮาส์แห่งหนึ่งย่านตลิ่งชัน บ้านที่อยู่นั้น จะเลยจากหน้าตลาดเล็กๆ ที่เป็นชุมชน มีวินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ตู้โทรศัพท์สาธารณะ (ยังเป็นยุคที่ใช้โทรศัพท์ตู้กันอยู่) แล้วก็ร้านขายของชำเจ้าประจำ ก็คือจะมีผู้คนคับคั่งอยู่เป็นปกติ
วันนั้น ฉันกับเพื่อนเล็ก ก็พากันลงรถเมล์ เดินไปตามทางเข้าบ้านตามปกติ ขณะที่ผ่านแยกที่มีร้านค้า มีคน มีคิวมอเตอร์ไซค์ ก็มีผู้คนสัญจรไปมาตามปกติ มีคนซื้อของ คนใช้ตู้โทรศัพท์ ฯลฯ ระยะทางจากจุดนั้นไปที่ตัวบ้านถือว่าไม่ไกลนัก น่าจะสัก 100-200 เมตรได้
ตอนที่เราเดินจากจุดนั้นเข้าบ้าน เป็นช่วงเย็นๆ ใกล้ค่ำหน่อย คะเนว่าเวลาน่าจะสัก 6 โมงกว่าๆ ไม่เกินทุ่ม แต่พอเราไปถึงที่หน้าบ้าน ไขกุญแจเข้าไป ก็รู้สึกแปลกๆ
อยู่ดีๆ ที่บ้านก็มีบรรยากาศยะเยือก ดูทะมึนๆ บอกไม่ถูก มันเหมือนมีอะไรทึมๆ เทาๆ กดดันอยู่แวดล้อมอย่างที่อธิบายยาก
ทีนี้ ปกติ ห้องที่เราพักอยู่จะอยู่บนชั้นสอง วันนั้นก็พากันค่อยๆ เดินเข้าไปในบ้าน จะขึ้นบันได แต่แล้วก็หยุด จะขึ้น แต่ก็ลังเลไม่แน่ใจ
ดูหน้ากันไปดูหน้ากันมา แล้วก็บอกกันว่า เราไปโทรศัพท์หาเจ้าของบ้านอีกคนดีกว่า ว่าวันนี้บ้านมันดูเป็นไงไม่รู้ มันแปลกๆ
ระยะเวลาที่เราเดินจากหน้าร้านค้ามาที่บ้าน ประมาณ 10- 15 นาที และรวมเวลาที่เดินกลับออกไป เต็มที่ก็ไม่เกินครึ่งชั่วโมง
แต่เชื่อไหมว่า ทันทีที่พ้นโค้งซอยออกมา จุดที่มีร้านขายของชำ มีคิวมอเตอร์ไซค์ ทุกอย่างมันกลับเงียบบบบบบบบมาก
จู่ๆ ถนนตรงนั้นก็เงียบมาก โล่งมาก ว่างมาก ไม่มีมนุษย์คนไหนแม้แต่คนเดียว มีแต่ไฟข้างถนนวอมๆ ตู้โทรศัพท์ตั้งเด่นอยู่ ร้านขายของปิดประตูหมด หมาแมวอะไรก็ไม่มีสักตัว เรารู้สึกว่ามันแปลกมากไปแล้ว ที่คนหายไปกันทั้งซอยในเวลารวดเร็วขนาดนั้น มิหนำซ้ำยังคล้ายๆ จะมีหมอกมัวๆ คลุมๆ อยู่พิกล
ฉันรีบเข้าไปหยอดเหรียญโทรศัพท์ เราคิดว่าท่าไม่ดีแล้วแหละ แต่...มันเหมือนหนังผีดาษดื่นมากๆ เพราะโทรศัพท์ใช้ไม่ได้
ใส่เหรียญเข้าไป เงียบ กดเหรียญออก ใส่ใหม่ หลายต่อหลายรอบ เสียงเหรียญในตู้โทรศัพท์ยังจำได้ติดหู
เราพยายามแล้ว พยายามอีก แต่จนแล้วจนรอดโทรศัพท์ก็ใช้ไม่ได้ มองไปรอบๆ ก็มีแต่ไฟมัวๆ เหมือนหมอกจะหนาขึ้นทุกที เราสองคนหันมามองหน้ากัน แล้วก็ตัดสินใจยอมแพ้ พากันออกจากตู้โทรศัพท์ จะกลับบ้าน
ที่บ้าน...พอเรามาถึงหน้าบ้าน คราวนี้บรรยากาศก็ยังคงอยู่ ทุกอย่างเงียบกริบ เราเปิดประตูเข้าไปในตัวบ้าน แต่แล้วก็ต้องหยุดอยู่แค่ห้องโถง ยังคงมีมวลบรรยากาศที่ทำให้เราไม่กล้าจะเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน
วันนั้น เราจึงได้แต่รออยู่ชั้นล่างของบ้าน จนพักใหญ่ มวลหนาหนักก็ค่อยๆ จางหายไป แล้วเราจึงค่อยๆ ถอนใจกันอย่างโล่งอก และขึ้นบันไดไปห้องนอน
วันรุ่งขึ้น เมื่อออกไปทำงาน เราก็ตัดสินใจแวะตู้โทรศัพท์เดิมอีก และพบว่า มันใช้การได้ปกติดี และจึงได้โทรศัพท์ไปหาเจ้าของบ้านอีกครั้ง เล่าให้เขาฟังว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในคืนที่ผ่านมา
ผ่านมานานหลายต่อหลายปี เหตุการณ์พิศวงในคืนนั้น ที่ตลิ่งชัน ก็ยังเป็นที่จดจำของเรากับเพื่อนเล็ก
มีหนหนึ่ง เพื่อนเล็กก็ยังเขียนเล่าให้เพื่อนๆ ในเฟซบุ๊กว่า
“ปกติไม่มีเซ้นส์มิติลึกลับอะไรกับเขาเลย แต่วันนั้นมันหลอนมากกก ออกจากบ้านไปโทรศัพท์ แต่เหมือนทุกคนหายไปหมด บรรยากาศก็คลุ้งๆ เหมือนมีหมอก แบบฉากในหนังผีเลยนะ มันเหมือนเป็นอีกมิติไปเลยอ่ะ ทุกวันนี้ก็ยังงงๆ ไม่เข้าใจเกิดอะไรขึ้น ผู้คนในชุมชนที่เราเพิ่งเดินผ่านเข้ามาเค้าพากันหายไปไหนหมด”
และเกี่ยวกับผีม้าบ้อง ที่ได้เจอ เธอก็ได้เล่าเพิ่มเติมว่า
“ก็นั่งทำอะไรกันอยู่ ดึกมากแล้ว คนเค้าหลับไปกันหมดแระแถวนั้น พลันข้าพเจ้าได้ยินเสียงม้าควบกุบๆ ก็ไม่คิดอะไรนึกว่าเป็นเรื่องธรรมดา ตื่นเช้ามาบอกกาเกดเลย อ๋อ...คือผีม้าบ้องนี่เอง”
มีเพื่อนอีกคนมาตั้งข้อสังเกตว่า
“เค้าเข้าไปดูบอลกันที่ร้านไหนสักร้านหรือเปล่า ? อยู่อีกสักพักจะได้ยินเสียง เย้ เข้าแล้ว อะไรประมาณนี้ ตอนนั้นที่ออกไปเค้าเงียบเพราะกำลังลุ้นลูกโทษดิ”
เพื่อนเล็กก็ตอบว่า
“มันไม่มีเสียงเชียร์ไรเลยนะ ถ้าสมมุติว่าเค้าไปเชียร์บอลกันอ่ะ แต่มันเหมือนพื้นที่ตรงนั้นมีเราสองคน กับบรรยากาศคลุ้งๆ เหมือนตอนผีจะมาอ่ะสิ เงียบสงัด ปราศจากสุ้มเสียงใดๆ ทั้งสิ้น เลยรู้สึกว่าพลัดหลงไปในดินแดนสนธยา ทุกวันนี้ก็ยังงงๆ กับเหตุการณ์วันนั้น”