พอฉุกคิดว่านั่นคือใคร ก็หายวับไปเหมือนอากาศ โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

พอฉุกคิดว่านั่นคือใคร ก็หายวับไปเหมือนอากาศ โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

พอฉุกคิดว่านั่นคือใคร ก็หายวับไปเหมือนอากาศ โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เรื่องผีและสิ่งลี้ลับ ตอน พอฉุกคิดว่านั่นคือใคร ก็หายวับไปเหมือนอากาศ

"...เหมือนพื้นที่ตรงนั้นมีเราสองคน กับบรรยากาศคลุ้งๆ เหมือนตอนผีจะมาอ่ะสิ เงียบสงัด ปราศจากสุ้มเสียงใดๆ ทั้งสิ้น เลยรู้สึกว่าพลัดหลงไปในดินแดนสนธยา"

จากข้อความของเพื่อนคนที่ได้เจอผีม้าบ้อง มาคิดๆ ดูแล้ว ก็เห็นด้วยอย่างหนึ่งว่า เวลาผีจะมา หรือเวลาที่เราจะได้พบกลุ่มดวงวิญญาณ มักจะเป็นไปแบบเรียบง่ายมากๆ ยิ่งสำหรับประสบการณ์ส่วนตัวแล้ว ผีจะมาในเวลาที่เราไม่ได้คิดเรื่องผี

มีเหตุการณ์อยู่อีกหลายครั้ง เกี่ยวกับเรื่องนี้

เรื่องหนึ่ง เกิดขึ้นในสมัยที่ยังอายุน้อยอยู่ ประมาณ 10-11 ปีได้ เป็นช่วงที่ยังนอนร่วมห้องกับพ่อแม่

ในตอนนั้น ความรู้สึกคือไม่สบาย ปวดหัว ตัวร้อน และตอนเด็กๆ นั้น นี่เป็นคนสุขภาพไม่ค่อยดีนัก คือมักจะเลือดกำเดาไหลบ่อย ปวดตามแข้งขา และผิวหนังพุพองแพ้ง่าย ชีวิตจึงมักจะได้วนเวียนอยู่กับการรักษาตัวอยู่เสมอ

ในครั้งนั้น ก็น่าจะเป็นอีกครั้งที่ป่วยค่อนข้างมาก ช่วงกลางวันจึงนอนพักอยู่ในห้องนอน ระหว่างที่ค่อยๆ ดีขึ้น มีวันหนึ่งก็มีเพื่อนพ่อมาเยี่ยม ความรู้สึกในตอนนั้น ค่อนข้างบุบเบลอนิดๆ คือไม่รู้จักเพื่อนพ่อคนนี้มาก่อน แต่ดูก็เป็นคนใจดี เข้ามานั่งข้างๆ ฟูกนอน แล้วก็ถามเรื่องอาการว่าปวดหัวมากมั้ย นี่ก็บอกว่าปวดอยู่ เพื่อนของพ่อก็บอกว่า เดี๋ยวก็จะค่อยๆ ดีขึ้นเอง ให้พักมากๆ

หลังจากนั้น ทุกๆ ช่วงบ่าย ซึ่งจะนอนอยู่ในห้องนอน ก็จะมีเพื่อนพ่อคนนี้เข้ามาหา มานั่งอยู่ข้างฟูก ชวนคุยสัพเพเหระ ถามเรื่องนั้นเรื่องนี้ แล้วก็ชวนว่า อยากให้ไปเที่ยวบ้านลุงบ้าง เพราะไปแล้วจะต้องชอบ

ผ่านไปได้หลายวัน คิดว่าอาการก็ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังเพลียอยู่มาก จึงยังนอนพักอยู่ แต่แล้ววันหนึ่ง เพื่อนพ่อก็ไม่มา

วันแรกที่เพื่อนพ่อไม่มา ก็รู้สึกเหมือนขาดอะไรไป อาจจะเพราะได้เจอกันทุกวัน แล้วเป็นคนแก่ที่ใจดี บางทีก็มานวดหัวให้ แต่ก็ยังนึกเสียใจอยู่ว่า จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ถามชื่อเขาสักที รู้แต่ว่าอยู่ที่ไหนสักที่ ไม่ใช่หมู่บ้านเดียวกัน

เพื่อนพ่อหายไปได้สองสามวัน ก็รู้สึกเริ่มคิดถึง บ่ายวันหนึ่ง จึงถามกับพ่อแม่ว่า เพื่อนพ่อที่มาทุกวันเขาหายไปไหน ปรากฏว่า พ่อกับแม่ทำหน้างุนงง ถามว่าหมายถึงใคร พอบอกว่าก็คนแก่เพื่อนพ่อที่มาทุกวัน พ่อกับแม่ก็มองหน้ากัน จากนั้น แม่ก็สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ก็เล่าให้ฟังตามที่เกิดขึ้น

เป็นคนแก่ผมขาว สวมเสื้อขาวแบบที่คนแก่ผู้ชายนิยม แต่ไม่ทันได้สังเกตว่าสวมกางเกงแบบไหน เวลามาก็จะเข้าประตูห้องนอนมาเลย เดินเบาด้วย จนบางทีมารู้ตัวก็คือมานั่งข้างๆ แล้ว

ค่ำวันนั้นพ่อก็ลงเรือนไปหายายพัด (นามสมมุติ) ซึ่งมีศักดิ์เป็นป้าคนหนึ่งของแม่ แล้วยายพัดก็รีบเต้นเข้าบ้านมา

หลังจากนั้น ก็คือความโกลาหลขนาดย่อม พ่อ แม่ และพวกยายๆ ป้า ลุง พากันลงความเห็นว่า จะมีผีมาพาตัวฉันไป ความรู้สึกในตอนนั้นอย่างแรกก็คือ พวกผู้ใหญ่นี่ช่างขี้กังวลแท้ เรื่องไม่เป็นเรื่องก็ทำให้เป็นเรื่อง อะไรๆ ก็ผี ถึงแม้ตัวฉันเองจะเกิดมาในวัฒนธรรมถือผี แทบจะเรียกได้ว่า อยู่ในสังคมแวดล้อมที่มีผีเป็นใหญ่ อยู่ใกล้ชิดชีวิตเสียยิ่งกว่าพระ เพราะในบรรดากฎเกณฑ์ข้อห้ามต่างๆ หากอันใดที่ไปสัมพันธ์กับผี จะเป็นเรื่องสำคัญมากๆ กระนั้นก็ตาม ฉันในตอนนั้นก็อดรำคาญใจไม่ได้

ผีสางอะไรที่ไหน มาในกลางวันแสกๆ มาเป็นตัวๆ และพูดคุยกันอยู่ทุกวัน แต่พ่อ แม่ และญาติผู้ใหญ่ ไม่คิดอย่างนั้น พวกเขาจัดข้าวของขึ้นทันที ยิ่งพ่อเป็นคนทำงานสายพิธีกรรมอยู่แล้ว เพียงชั่วอึดใจ ในบ้านก็มีของพิธีกรรมครบถ้วน

พ่อเอาขันดอกมาโยงขึ้นครู ขีดเส้นที่หน้าประตูและหน้าต่าง เอาน้ำมนต์มาประพรมตัวฉัน จากนั้นก็วางสวยดอกไว้บนหิ้งพระ แล้วบอกว่า ถ้ามาอีกก็จะได้รู้

ชายแก่คนนั้นปรากฏตัวมาอีกในวันรุ่งขึ้น ในช่วงเวลาบ่ายที่เงียบสงบเช่นเดียวกับวันก่อนๆ แต่ว่า... มันมีบางอย่างที่แปลกออกไป หลังจากวันที่พ่อทำพิธีไล่ผีไว้ ยายพัดเองก็แวะเวียนมาเฝ้าร่วมด้วย โดยทั่วไปพวกผู้ใหญ่จะนั่งเล่นคุยกันอยู่ใต้ถุนบ้าน เวลาตัวฉันนอนในห้องนอน ก็มักได้ยินเสียงแว่วๆ อยู่

แต่สำหรับบ่ายนั้น...ที่มันแปลกออกไปคือ ในจังหวะหนึ่ง เหมือนเสียงทุกเสียงมันหายไปหมด จู่ๆ ก็เต็มไปด้วยความเงียบ ได้ยินแค่เสียงน้ำไหลจากฝายข้างบ้านเบาๆ แล้วชายแก่ที่เคยใจดีกับฉันมากๆ ก็มายืนอยู่หน้าประตู

มันเป็นความรู้สึกที่แปลกมาก ฉันคิดว่าตัวเองไม่ใช่คนกลัวผี และไม่คิดว่าคนแก่ตัวเป็นๆ คนนี้จะเป็นผี แต่ในเสี้ยวนาทีนั้นเอง ชายแก่ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ชายแก่ไม่เข้ามาในห้อง ไม่แม้แต่จะข้ามประตูเข้ามา และหนนี้ชายแก่ไม่พูดกับฉัน ฉันนอนหงายอยู่ จึงเห็นภาพชายแก่ในมุมมองที่แปลกตายิ่งขึ้น ใบหน้าผอมซูบนั้นดูไม่ค่อยพอใจ แต่ก็ก้ำกึ่งระหว่างความโกรธกับความเศร้า ฉันคิดว่าเห็นตาสีขุ่นๆ ดูขาวขุ่นมากกว่าปกติด้วย

ฉันตระหนักในนาทีนั้นเองว่า ชายแก่เข้ามาไม่ได้เพราะพ่อทำเส้นคาถาไว้หน้าประตู แต่ชายแก่ยังสามารถปรากฏตัวให้ฉันเห็น ยังเป็นตัวเป็นๆ ราวจะจับต้องได้ ฉันได้ยินเสียงชายแก่ แต่หนนี้ ต่างจากทุกทีที่ผ่านมาด้วย

ที่ผ่านมา ฉันเข้าใจไปว่าเราพูดคุยกันตามปกติทั่วไป แต่หนนี้ ฉันได้ยินเสียงของชายแก่ดังอยู่ในหัวของฉัน มันเป็นเสียงที่ดังอยู่ในกะโหลก และหู อธิบายได้ยากมาก มันเป็นเสียงแผ่วๆ สั่นเครือแบบคนแก่ และบอกว่า

นึกว่าจะไปอยู่ด้วยกัน ไปอยู่ด้วยกันเถอะนะ

ฉันร้องเรียกพ่อกับแม่ขึ้นทันที แล้วคนจากใต้ถุนบ้านก็พากันวิ่งขึ้นเรือนมา พอทุกคนมาถึงห้องนอน ชายแก่ก็ไม่อยู่แล้ว

ยายพัดโวยวายว่า เห็นมั้ย บอกแล้วว่ามันเป็นผี มันมาอีกใช่มั้ย มานานหรือยัง แม่มีทีท่าตกใจมาก รีบเข้ามาจับเนื้อจับตัวฉัน ส่วนพ่อมีสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ แล้วก็บอกว่า จะต้องส่งเคราะห์ และส่งผีอีกครั้ง พ่อจะหาดูว่า เป็นผีมาจากไหนกัน

แล้วเหตุการณ์ก็ผ่านไป หลังจากวันนั้นพ่อก็ทำพิธีส่งสะตวงให้ฉัน พร้อมกับฉันค่อยๆ หายป่วย ดีวันดีคืนจนกลับมาแข็งแรงเป็นปกติ

แล้วก็มีข่าวมาให้ฟังหลังจากนั้นว่า พวกผู้ใหญ่รู้แล้วว่าชายแก่คนนั้นเป็นใคร เขาเป็นคนแก่คนหนึ่งที่อยู่อีกหมู่บ้านในตำบล ก่อนตายได้มาที่ฝายน้ำข้างบ้านเรา สงสัยว่า เมื่อดวงวิญญาณได้มายังที่ๆ เคยมา เป็นจังหวะที่ฉันกำลังป่วยไข้อ่อนแอ ชายแก่จึงเกิดความคิดว่าจะมาเอาตัวไปอยู่ด้วย

เวลาที่พวกผู้ใหญ่เตือนเด็กๆ ว่า ระวังผีจะมาเอาตัวไป อาจจะเป็นเช่นนี้กระมัง ฉันเองมาคิดเมื่อเวลาผ่านมาอีกนานหลายปี เพราะประสบการณ์นี้เป็นสิ่งที่จดจำมาโดยตลอด

และทำให้รู้ว่า เมื่อผีจะมา หรือเมื่อผีปรากฏตัวขึ้น บางครั้งเราจะไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่านั่นเป็นผี ตราบใดที่ไม่มีสิ่งชี้บอกเรื่องราวเกี่ยวข้อง และไม่มีประจักษ์พยาน

ในชีวิตฉัน ยังมีอีกหลายครั้งที่ได้เจอกับพวกดวงวิญญาณอย่างนี้ และหลายครั้งที่ไม่รู้ว่าพวกเขาคือผี จนกว่าความจริงจะปรากฏ

จะว่าไปมันก็เป็นตลกร้ายอยู่ไม่น้อย บางทีผีอาจจะไม่ได้ตั้งใจหลอกเรา แต่พวกเขาเพียงทำตามแบบฉบับวิธีของเขา และเมื่อเขากับเราจูนคลื่นกันได้ถูกต้อง พวกเขาจะพูดกับเราโดยไม่ขยับปาก

สำหรับคนทางเหนือ มีอีกอย่างที่พวกผู้ใหญ่มักจะบอกกัน ผีจะไม่พูดแบบคน คือจะมีเสียงโดยไม่เปิดปาก หรือบางครั้งจะยืน เดิน นั่ง นอน แบบไร้เสียง

หากเจอคนแปลกๆ ที่ขวางทางเรา ทักเราด้วยกิริยา หรือเอาแต่เพ่งจ้องเราเขม็งอยู่ แล้วพอเราฉุกคิดว่านั่นคือใคร ก็หายวับไปเหมือนเป็นเพียงอากาศ...นั่นแหละผี

แล้วเดี๋ยวตอนหน้าจะมาเล่าต่อถึงอีกเหตุการณ์หนึ่ง ที่ได้เจอผู้ที่เราคิดว่าเขาเป็น “คน” แต่จริงๆ แล้ว เขาก็เป็นอีกคนที่เป็น “ผี”

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook