วิญญาณใต้ต้นกระท้อน โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

วิญญาณใต้ต้นกระท้อน โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

วิญญาณใต้ต้นกระท้อน โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เรื่องผีและสิ่งลี้ลับ ตอน วิญญาณใต้ต้นกระท้อน โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

เป็นช่วงตอนพลบค่ำ เมื่อตัวฉันเดินทางมาถึงปากทางเข้าหมู่บ้านแล้ว... นั่นคือส่วนหนึ่งในสมุดบันทึกที่เคยเขียนไว้ และเป็นบทเริ่มต้น ยามได้เล่าเรื่องนี้อีกในหลายต่อหลายครั้ง

เหตุการณ์ของค่ำเย็นวันนั้น เป็นสิ่งที่จดจำได้ไม่ลืมเลือน เพราะประกอบไปด้วยความรู้สึกอีกมากมายหลายอย่าง เอาละ เรามาย้อนอดีตไปดูกัน

วันนั้น ฉันอายุยังไม่ถึง 20 ปี เป็นช่วงที่ทำงานรับจ้างทั่วไป จึงมีที่อยู่ไม่เป็นหลักแหล่งเท่าใดนัก บางช่วงก็ไปอยู่ในตัวอำเภอเมือง บางช่วงก็ไปอยู่ตามอำเภอรอบนอก บางช่วงก็กลับมาอยู่บ้านเกิด แต่จะอยู่สั้นอยู่ยาว ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เฉพาะหน้า

ในวันนั้น ก็เป็นอีกครั้งที่กลับมาเยี่ยมบ้าน และในสมัยนั้น รถบัสประจำทางจะมาสิ้นสุดที่คิวรถ หากจะเข้าบ้าน ต้องต่อรถมอเตอร์ไซค์มาอีกราวๆ 6-7 กิโลเมตร เว้นแต่บางครั้งนั่งมากับรถสี่ล้อแดงก็จะส่งถึงตัวบ้าน แต่จะมีค่าใช้จ่ายแพงกว่าแต่ต้น (ต่างกันประมาณ 5-10 บาท)

บางครั้ง เมื่อมากับรถเที่ยวสุดท้าย จึงอาจต้องขอติดรถคันอื่นมาลงปากทาง แล้วเดินอีกประมาณ 700 เมตรก็จะถึงบ้านพ่อแม่ วันนั้น...ฉันก็ติดรถคันมาลงตรงปากทางเข้าหมู่บ้าน และคิดว่าเดินไม่ไกล คงไม่ทันมืดหรอกน่า

มันเป็นช่วงเวลาโพล้เพล้ หรือที่ศัพท์เก่าเรียกว่า ช่วงเข้าใต้เข้าไฟ ในสมัยนั้น ตามบ้านนอกจะยังใช้เตาฟืนหุงข้าว ต้มปลา พอลงจากรถเดินเข้าถนนสายหลัก ก็จะผ่านบ้านเรือนที่มีควันไฟลอยขึ้นเป็นสาย บ้างเผาใบไม้อยู่ใกล้รั้วบ้าน มีกลิ่นของอาหารที่ลอยมาจากในครัวบ้านนั้นบ้านนี้ มีเสียงนก เสียงไก่

ฉันมักจะภาวนาแค่ว่า อย่าให้ได้เจอหมา เพราะตัวเองเป็นคนกลัวหมามาก และหากไม่มีหมา การได้เดินบนถนนหมู่บ้านชนบทยามพลบค่ำ จะเป็นเวลาที่รื่นรมย์อยู่ไม่น้อย เพราะกลิ่นทุกกลิ่นที่ลอยเข้าจมูก สิ่งที่ตาได้เห็น โสตประสาทสัมผัสรับรู้ สิ่งเหล่านั้นมักจะนำมาซึ่งความรู้สึกมากมาย

รวมๆ กัน คือความรู้สึกคุ้นเคย ความรู้สึกดี ที่ได้กลับมาบ้าน มาเหยียบ ยืน-เดิน บนผืนดินที่จากไปครั้งแล้วครั้งเล่า จนบางครั้งมักจะคิดเสมอว่า มันคงเป็นความรู้สึกของคนพเนจร ที่มีแต่คนพเนจรด้วยกันจะเข้าใจ

ค่ำนั้น จึงเป็นอีกวันที่ฉันหิ้วกระเป๋าคู่ชีพใบเล็กๆ เดินจากปากทางหมู่บ้าน จะตรงเข้าไปที่บ้าน และระหว่างที่เดิน ก็มีความรู้สึกกึ่งปลอดโปร่ง กึ่งเศร้าสร้อย กึ่งสะทกสะท้อนใจ ปะปนกันอยู่อย่างยากอธิบาย

อาจจะต้องย้อนเล่าประกอบอีกนิดว่า ตัวฉันในสมัยยังอายุน้อยนั้น ไม่ได้อยู่ที่หมู่บ้านเกิดยาวนานนัก และชีวิตก็ผลักให้ออกร่อนเร่ไปทำงานตามที่ต่างๆ ผ่านพบผู้คนและเรื่องราวมากมาย การได้กลับมาบ้านเกิดแต่ละครั้ง จึงมีความหมายอยู่เสมอ เพราะบางครั้ง อาจจะมีเวลาเพียงได้นอนบ้านชั่วคืน รุ่งเช้าก็ต้องออกจากหมู่บ้านไป

ครั้งนั้นก็น่าจะเป็นช่วงการออกจากงานกระทันหัน จากที่ไหนสักที่ และมีเงินติดตัวไม่มาก จึงเลือกนั่งรถบัส และสิ้นเงินจะต่อมอเตอร์ไซค์ จึงต้องขออาศัยรถคันอื่นที่จะมาทางหมู่บ้าน โดยขอลงเพียงปากทางก็พอ

จากตัวอำเภอเมืองเชียงใหม่ ถึงอำเภอของเรา จะเป็นระยะทางประมาณ 100 กิโลเมตร ส่วนถ้ามาถึงตัวอำเภอแล้ว จะต้องเข้ามาอีก 6-7 กิโลเมตรจึงจะถึงหมู่บ้าน และจากปากทางหมู่บ้าน ไปอีกประมาณ 700 เมตร จึงจะถึงบ้านของเรา

ค่ำนั้น เมื่อฉันเดินมาได้ 400 เมตรกว่าๆ ก็มาถึงบริเวณใกล้บ้านของเพื่อนแม่คนหนึ่ง ซึ่งมีอาชีพเป็นแม่ค้าขายหมู สมมุติว่าชื่อ แม่ลอง

แม่ลอง เป็นผู้หญิงสะสวย ร่างสูง เป็นเพื่อนอายุรุ่นราวคราวเดียวกับแม่ ครอบครัวจัดว่ามีฐานะดี โดยบ้านจะอยู่ลึกเข้าไปจากถนน เป็นซอยเล็กๆ ที่แตกแขนงเข้าไปข้างในอีก เป็นหย่อมบ้านของกลุ่มเครือญาติ ก็นับได้ว่าเป็นคนตระกูลใหญ่

ตรงทางเข้าไปบ้านแม่ลองนั้น ในสมัยนั้นจะมีต้นไม้ใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิดเป็นต้นกะท้อนที่ใบดกหนา และใกล้ๆ กันจะมีศาลศาลาหอเสื้อบ้านอยู่ด้วย (หอเสื้อบ้าน คือศาลที่อยู่ของผีเสื้อบ้าน ที่เป็นคล้ายๆ เทวดาอารักษ์รักษาหมู่บ้าน โดยแต่ละชุมชนทางเหนือจะมีผีเสื้อบ้าน ผีเสื้อวัด รักษาบ้าน และวัด ตามธรรมเนียมประเพณี)

ทีนี้ ขณะที่เดินๆ อยู่ ฉันก็เห็นผู้ชายคนหนึ่ง ยืนอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่นั่น ดังที่ได้บอกไว้ว่า มันเป็นช่วงเวลาพลบค่ำโพล้เพล้ เป็นระยะที่เราจะเริ่มมองเห็นสิ่งต่างๆ รอบตัวชัดน้อยลง แต่ก็ยังเห็นอยู่ในระยะใกล้

ฉันไม่มีความคิดเรื่องผีสางใดๆ อยู่ในหัวขณะนั้น เพราะมัวแต่ระวังอย่างเดียวคือ หมา เมื่อตลอดเส้นทางไม่มีหมา ก็จึงค่อนข้างปลอดโปร่งใจ อีกไม่กี่อึดใจก็จะถึงบ้านแล้ว

ตอนที่เดินผ่านต้นกะท้อน จุดที่เป็นทางเข้าบ้านแม่ลองนั้น เมื่อได้เห็นว่า พ่อใจ๋ (นามสมมุติ) สามีของแม่ลองกำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ ก็จึงยิ่งอุ่นใจยิ่งขึ้น เพราะอย่างน้อยๆ ถ้าหมามาตอนนี้ ก็จะมีคนช่วยไล่ละ

พ่อใจ๋ยิ้มให้ฉัน เพยิดหน้านิดๆ เป็นทำนองทักทาย คล้ายๆ จะถามว่า กลับมาแอ่วบ้านรึ! ฉันก็ยิ้มตอบ พยักหน้ารับ เราไม่ได้พูดอะไรกัน แต่ก็เป็นการทักทายแบบปกติทั่วไป ไม่ได้เพิกเฉยแก่กัน จากนั้นฉันก็เดินผ่านพ่อใจ๋ไป

จนมาถึงบ้าน พ่อแม่ก็ออกมาต้อนรับอย่างดีอกดีใจ และรีบตระเตรียมข้าวปลาอาหาร ได้กินข้าวเย็นร่วมกัน ระหว่างการกินข้าวนั่นเอง ฉันก็เล่าให้พ่อแม่ฟังว่า ตอนขาเดินมา ได้เจอกับพ่อใจ๋ยืนอยู่ที่ใต้ต้นกระท้อน คงจะออกมาชมวิว

พ่อกับแม่ก็เหลียวดูหน้ากัน แล้วพ่อแม่ก็บอกว่า พ่อใจ๋เพิ่งเสียชีวิตไปไม่นานมานี้ เสร็จพิธีทำบุญกันไม่กี่วันก่อนนี้เอง และการที่ฉันได้พบพ่อใจ๋ ย่อมเป็นเพียงดวงวิญญาณเท่านั้น

ฉันแทบจะอึ้งไป และมาคิดย้อนว่า ตอนที่ฉันเดินใกล้ต้นกระท้อนนั้นมาเรื่อยๆ ก็เห็นร่างนั้นยืนอยู่เป็นเงาๆ แรกนั้นเป็นภาพที่ไม่ชัดเจนนัก แต่ความที่เป็นช่วงพลบค่ำ จึงคิดว่าน่าจะเป็นปกติของช่วงเวลาใกล้มืด กับระยะสายตา

จนใกล้เข้าไปอีก จุดที่เดินผ่านหน้า และพ่อใจ๋ส่งยิ้มให้ เราน่าจะอยู่ห่างกันไม่ถึง 2 วา จึงมากพอที่จะเห็นชัดว่าใบหน้านั้นเป็นของใคร แต่ก็พลอยนึกได้ ฉันคิดว่าเห็นพ่อใจ๋ดูดบุหรี่พ่นควันปุ๋ยๆ อยู่ และถอนบุหรี่ออกมายิ้มเห็นฟันขาว ทว่า ฉันควรจะเฉลียวใจสักเล็กน้อยว่า ตาของพ่อใจ๋ไม่มีแวว

พ่อเคยบอกว่า ผีจะไม่มีแววตา มาคิดย้อนดู...ตาของพ่อใจ๋ก็ไม่มีแวว มันเป็นตาดำๆ ด้านๆ เหมือนคนที่ตาดำไปทั้งหน่วย และมีเงาหรุบหรู่อยู่บนใบหน้า

ทว่า ในรอยต่อของกลางวันกับกลางคืน หากไม่มีคำยืนยันว่าเจ้าของร่างนั้นเสียชีวิตไปแล้ว ศพเผาไปแล้ว ก็คงแยกออกได้ยากว่านั่นเป็นคนหรือผี

จากใจจริง ฉันไม่คิดว่าพ่อใจ๋คนที่ฉันพบเป็นผี ไม่มีความคิดเรื่องผีอยู่ในหัวแม้แต่น้อยในเวลานั้น และฉันก็ยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำไปว่า ผีพ่อใจ๋จะมาปรากฏตัวให้ฉันเห็นทำไม และจะว่าเป็นการหลอกของผี จะหลอกเพื่ออะไร

พ่อช่วยไขปริศนาเรื่องนี้ให้ว่า ผีพ่อใจ๋อาจจะไม่ได้ตั้งใจหลอกฉัน แต่เขาใช้ชีวิตของเขาปกติในโลกวิญญาณ  ตัวฉันต่างหากที่ผ่านไปเห็นเขาเข้า

ฉันถามพ่อว่า แล้ววิญญาณเขาไม่ไปเกิดหรือ ทำไมยังมายืนอยู่ปากทางเข้าบ้านตนเอง พ่อบอกว่า วิญญาณที่ออกจากร่างแล้วนั้น บางครั้งก็ยังอยู่ในช่วงรอที่ไป หรือมีห่วงอาลัยติดข้อง หรือมีการแว่บไปตรงนั้นตรงนี้ แล้วแต่จิตเขาจะพาไป เพราะมิติเวลาของวิญญาณจะเป็นคนละระบบกับคนแล้ว

ตอนนั้นฉันก็เข้าใจไม่เข้าใจบ้าง จนกระทั่งได้เห็นวิญญาณตนอื่นๆ อีกในเวลาต่อมา ในลักษณะการ *ผ่านไปเห็น* หรือเพียงแต่ *มองเห็น* จึงค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่พ่อพูดมากขึ้น

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook