ผีอยู่ร่วมปะปนกับพวกเราเหล่ามนุษย์นี่แหละ โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

ผีอยู่ร่วมปะปนกับพวกเราเหล่ามนุษย์นี่แหละ โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

ผีอยู่ร่วมปะปนกับพวกเราเหล่ามนุษย์นี่แหละ โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สืบเนื่องจากที่ว่า ผู้คนส่วนหนึ่งจะบอกต่อกันว่า ผีจะพูดโดยไม่ขยับปาก หรือบางครั้ง หากผีมาในฝัน เราจะไม่ได้ยินเสียงของผี

แต่ในเวลาเดียวกัน ก็มีหลายๆ คนมักจะเล่าให้ฟังว่า เวลาได้ยินผีพูด จะรู้ว่าเป็นถ้อยคำของผี เพราะมันจะเป็นภาษาที่จับใจความไม่ได้ ประมาณพึมพัมงึมงำ เดี๋ยวดังเดี๋ยวค่อย หรือบางทีก็พูดขาดๆ หายๆ บ้างจะลอยลมมาเหมือนอยู่ไม่ไกล แต่บางคราวก็จะมาดังอยู่ข้างหูเหมือนคนมากระซิบใกล้ๆ

ว่าด้วยประสบการณ์ของการได้ยินเสียงผี สำหรับฉันนั้นไม่ค่อยมีนัก อาจจะเพราะหลายครั้งเป็นเสียงที่เราไม่แน่ใจก่อนด้วยซ้ำไปว่า มันคือเสียงที่จะเกี่ยวกับผีไหม

อย่างในช่วงหนึ่งของชีวิต ตอนนั้นฉันยังเป็นเด็ก พ่อกับแม่ย้ายจากที่ดินเดิมไปปลูกบ้านอยู่บนที่ดินแปลงหนึ่ง ใกล้ๆ วัด หรือจะเรียกว่า พ้นเขตกำแพงวัดมาเพียงเล็กน้อยก็ว่าได้

โดยทั่วไปแล้ว ชาวบ้านในสมัยนั้นก็ถือกันว่า บ้านของปู่จารย์เป็นพื้นที่พิเศษ (คำว่า *ปู่จารย์* หรือ *ปู๋จ๋าน* ในภาคเหนือ ก็คือ *มัคทายก* ในภาคกลาง แต่ปู่จารย์ของทางเหนือนั้น มักจะควบการเป็นผู้เชี่ยวชาญวัฒนธรรมประเพณี พิธีกรรมทางศาสนาและวิชาคาถาอาคม รู้ทั้งโหราศาสตร์ ไสยศาสตร์ ดั่งเช่นที่พ่อเองก็ทำงานเหล่านี้ปะปนกันไป)

ซึ่งคำว่า *พิเศษ* นี้ หมายถึงการเป็น *พื้นที่อาถรรพ์* โดยตัวมันเอง ในสมัยก่อนโน้นบ้านของปู่จารย์นั้น หากประกาศขายก็จะไม่มีใครซื้อง่ายๆ ว่ากันว่า ถ้า *บารมี* ไม่ถึง ก็จะอยู่ไม่ได้ ไหนจะผีสางวิญญาณที่อาจจะยังอยู่ร่วมในบ้าน ตลอดจนคาถาอาคมที่ฝังฝากไว้

เท่าที่จำความได้ สำหรับครอบครัวของเรา ก็คงเป็นบ้านที่ผู้คนในชุมชนคิดกันเช่นนั้นเสมอมา เพราะเป็นระยะเวลาหลายสิบปี ที่บ้านเราไม่เคยมีประตูรั้วบ้าน แต่ของก็ไม่เคยหาย และถ้าไม่มีธุระปะปัง หรือจะมาเที่ยวหาเยี่ยมเยือน อยู่ดีๆ ก็จะไม่มีใครอยากมาในบริเวณบ้านเราตอนกลางคืน แม้กลางวันก็เถอะ หากไม่มีใครอยู่บนบ้าน ก็น้อยคนนักจะยอมขึ้นไปตามลำพัง

กลับไปที่การย้ายบ้านไปอยู่ใกล้วัด...ซึ่งในที่ดินแปลงนั้น ในสมัยนั้น คนเขาก็พูดกันว่าเป็นที่อาถรรพ์ (อีก) และนอกจากพ่อแล้วก็ไม่มีใครคิดจะไปอยู่อาศัย

(อ้อ เกร็ดแทรกเล็กน้อย หลังจากเราย้ายจากที่แปลงนั้นมา อีกหลายปีต่อมาก็มีการซื้อขายเปลี่ยนมือที่ดิน จนกระทั่งมีครอบครัวหนึ่งย้ายเข้ามาอยู่

แต่แล้ววันหนึ่ง เจ้าของบ้านที่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวก็ผูกคอตายภายในตัวบ้าน แล้วตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ เมื่อบ้านที่มีคนตายถูกรื้อถอนไปสิ้นแล้ว ก็ยังไม่มีใครไปปลูกบ้านอีกเลย)

...การที่ครอบครัวของเราไปปลูกบ้านอยู่ในที่ๆ คนเหนือเรียกว่า *ที่ผีกั่น* (ที่อาถรรพ์ผีดุ) จึงเป็นที่สนอกสนใจของชาวบ้านอยู่มาก และมักจะสอบถามว่า พวกเราเจออะไรบ้าง

ซึ่งเราก็เจอกันจริงๆ

ที่บ้านหลังนั้น ตั้งแต่แรกที่เราเพิ่งย้ายเข้าอยู่ จู่ๆ ตกกลางคืนดึกสงัด ก็มีเสียงคนเดินขึ้นบันไดบ้านเรา

สำหรับตอนนั้น บ้านเราเป็นกึ่งเรือนกึ่งกระท่อม คือเป็นบ้านไม้ที่มีใต้ถุนโล่งพอประมาณ สามารถก้มหัวลอดเข้าไปได้ แต่จะใช้เป็นที่ทำกิจกรรมต่างๆ แบบบ้านยกพื้นสูงไม่ได้ บันไดบ้านจึงมีเพียง 5-6 ขั้นเท่านั้น

ถ้ามีคนก้าวขึ้นบันไดบ้าน จะรับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือน เสียงลั่นเอี๊ยดเบาๆ ยิ่งถ้าคนเข้าในตัวบ้าน เดินทะลุไปหาครัวด้านหลัง จะยิ่งรู้สึกได้ชัดเจน เป็นธรรมดาของบ้านที่ปูด้วยไม้แป้นกระดาน

ครั้งแรกนั้น พ่อกับแม่เคยพากันรีบลุกออกมาดู แต่ก็ไม่มีอะไร ไม่มีทั้งคน หรือสัตว์ที่อาจจะขึ้นเรือนมาได้ แต่ว่า ไม่ใช่เพียงครั้งเดียว คืนเดียว ในอีกหลายๆ คืนต่อมา ก็มีเสียงฝีเท้าย่ำขึ้นบันไดมาอีก และเหมือนเดิมคือทุกครั้งที่พ่อแม่ออกไปดู ไม่มีใครในบ้านเรา

ในช่วงแรกๆ แม่ก็วิตกอยู่ว่าจะเป็นขโมยหรือไม่ และให้พ่อไปบอกกับพ่อหลวง (ผู้ใหญ่บ้าน) เอาไว้ แต่ในหมู่บ้านของเราก็ไม่มีข้าวของใครหาย ซ้ำในหมู่บ้านเล็กๆ ทุกคนรู้จักกันหมด รู้ว่าบ้านใครอยู่ตรงไหน บ้านไหนมีคนกี่คน

แต่น่าแปลกที่ว่าฉันกับน้องไม่ได้ยินเสียงที่ว่านั้นเลย เราเพียงรับรู้จากที่พวกผู้ใหญ่คุยกันเท่านั้น จนมาถึงคืนหนึ่ง ฉันตื่นขึ้นมากลางดึก และได้ยินเสียงคนเดินขึ้นบันไดบ้านเราบ้าง

...มันเป็นเสียงจังหวะก้าว เหมือนเวลาเราก้าวย่ำขึ้นเรือน มันไม่เหมือนเสียงไม้ลั่นเอง หรือลมพัดสิ่งของเคลื่อนไหว เราจะรู้ได้ว่า มันคือเสียงฝีเท้าคน

ตอนที่แน่ชัดแล้วว่าเป็นเสียงฝีเท้า ก็ได้ยินเสียงแม่ตะโกนออกไปว่า

"อยากกินอะไรก็หาเอาเน้อ กินแล้วก็ไป อย่ามากวนละอ่อน!"

มันอาจจะเป็นหูแว่ว แต่ฉันก็ได้ยินคล้ายเสียงหายใจแรงๆ สักพัก เสียงฝีเท้านั้น ก็เดินผ่านหน้าห้องนอนของเราไปหาห้องครัว

แล้วฉันได้ยินเสียงเปิดฝาหม้อ เสียงถ้วยช้อนกระทบกันเบาๆ

แม่ลุกพรวดพราดขึ้น เปิดประตูออกไป บ้านหลังนั้น ทำตามแบบดั้งเดิม คือจากประตูทางขึ้นบ้าน จะมีห้องโถงที่เรียกกันว่าเติ๋น แล้วจะมีทางเดินเลาะหน้าห้องนอนไปหาครัวไฟ ห้องนอนกับครัวจึงอยู่ใกล้กันที่สุด

แต่ทันทีที่แม่เปิดประตูออกไป ห้องครัวก็มีเพียงความมืดสนิท ปราศจากสิ่งมีชีวิตใดๆ และในหมู่บ้านเล็กๆ นั้น หากมีคนกระโดดลงเรือน เป็นได้รู้กันถ้วนทั่วในเสี้ยวนาที

แต่ทั้งหมู่บ้านยังคงเงียบงัน ถนนที่ผ่านบ้านเราว่างโล่ง ทุกอย่างเป็นปกติเสียจนมันไม่ใช่ความปกติ

เสียงหายใจแรงๆ ยังดังติดหู เช่นเดียวกับเสียงฝีเท้าที่ผ่านห้องนอนเราไป
วันต่อมา พ่อก็บอกในวงข้าวว่า อาจจะเป็นผีอดอยากเร่ร่อน พวกสัมภเวสี ถ้ามาดีก็แล้วไป แต่ถ้ารบกวนให้รำคาญหนักข้อเข้าเห็นทีต้องปรามเสีย แล้วก็ค่อยอุทิศส่วนกุศลไปให้

จากนั้น พ่อก็ทำข้าวสารเสกหว่านรอบชายคาบ้าน และเสียงฝีเท้าก็หายไปตั้งแต่นั้น แต่ว่าพี่สาวกับฉันกลับได้เป็นผู้พบประสบการณ์ใหม่

เป็นคืนเดือนแจ้งกระจ่าง พี่สาวกลับมาเยี่ยมบ้าน (ตอนนั้น พี่สาวทำงานอยู่ในตัวเมืองเชียงใหม่ นานๆ ก็จะกลับมาเยี่ยมพ่อแม่) พ่อแม่จึงให้นอนในห้องเล็กอีกห้อง และให้ฉันไปนอนด้วย ช่วงที่พี่อยู่

เป็นเวลาดึกมากแล้วเช่นกัน ตอนที่ฉันสะดุ้งตื่น และรีบมองหาพี่สาว แต่ก็ไม่เห็นตัวบนฟูกสะลี

ทันใด ก็ได้ยินเสียงประตูห้องนอนพ่อแม่เปิดออก แสงไฟฉายวูบวาบ เรื่องเล่าจากแม่ในภายหลัง : ได้ยินเสียงคนเดินลงเรือน ก็นึกว่าเป็นผีตัวนั้นอีก เลยบอกพ่อให้ออกมาดู

พ่อ : ออกมาเจอมัน (ชื่อพี่สาว) กำลังเดินละเมอลงบันไดบ้าน ไปยืนหลับตาอยู่กลางข่วง

พี่สาว : ไม่รู้เลยว่าตัวเองจะละเมอลุกเดินได้ขนาดนั้น มันเหมือนหลับๆ ตื่นๆ ยังไงไม่รู้

ฉัน : ก่อนจะสะดุ้งตื่น...ฉันกำลังฝันไปว่า มีคนมาร้องเรียกพี่สาวที่หน้าบ้าน

มันเป็นยามเดือนแจ้ง ที่แสงสว่างโพลนขาวไปทั่วบริเวณ ฉันเห็นผู้ชายกำยำคนหนึ่งยืนอยู่กลางข่วงนอกชายคา กำลังกวักมือเรียกหาพี่สาว

แล้วฉันก็เห็นพี่สาวค่อยๆ ลุกขึ้น พี่สวมชุดนอนเป็นชุดกระโปรงติดกันผ้าบางๆ เดินลงบันไดไปโดยไม่แวะสวมรองเท้า มุ่งไปหาผู้ชายคนนั้น

ตอนนั้นเองที่ฉันสะดุ้งตื่น พร้อมกับได้ยินเสียงพ่อฉายไฟออกห้องมา เพื่อจะพบว่า พี่สาวหายออกจากห้องไปจริงๆ

ภาพนั้นยังติดตาจนถึงทุกวันนี้ เหตุการณ์ในฝันที่สัมพันธ์สอดคล้องกับเหตุการณ์จริง พี่สาวยืนยันว่า ที่ผ่านมาตัวเองไม่ใช่คนละเมอเดินมาก่อน ไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้

พ่อบอกกับแม่ว่า เห็นท่าจะต้องขับไล่ให้จริงจังเสียแล้ว และหลังจากนั้น ก็มีการไล่ผีและส่งผีอีกครั้งหนึ่ง

เรื่องนี้ ก็เป็นอีกประสบการณ์หนึ่ง ที่ครอบครัวของเราได้ผ่านพบร่วมกัน มันอาจจะเป็นเพียงความฝัน เพราะฉันก็ฝันไปจริงๆ หรืออาจจะเป็นเพียงอุปาทานหมู่ หากไม่เชื่อเรื่องผี ก็ล้วนแต่จะคิดไปได้

สำหรับพวกเราแล้ว เราจะรู้ได้ เมื่อพบประสบการณ์ตรงด้วยตัวเอง ว่าอะไรคือสิ่งที่ *เป็นจริง* ในผัสสะของเรา แน่นอนว่าคนเราย่อมมีชุดประสบการณ์ที่แตกต่างกัน แต่สำหรับฉันนะ ของที่ไม่เห็นใช่ว่ามันจะไม่มี และโลกที่เร้นลับเหล่านั้น บางวันมันก็เผยออกมาง่ายๆ เงียบๆ จนเป็นความเรียบง่ายสามัญไปในที่สุด

ฉันเชื่อของฉันว่า ผีอยู่ร่วมปะปนกับพวกเราเหล่ามนุษย์นี้แหละ พวกเขามีอยู่เสมอ ทุกหนทุกแห่ง เพียงว่า ดวงตาของเขาและของเรามองเห็นกันหรือไม่ และหูของเขากับหูของเรา ได้ยินเสียงใด...

เอาไว้จะเล่าเรื่องผีตัวอื่นๆ ที่ครอบครัวของเราได้พบเจอให้ฟังอีก มีผีที่ไร้ใบหน้าด้วยนะ ฉันเห็นมาด้วยสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์มากๆ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook