ผีบนขื่อ และเสียงของผี โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

ผีบนขื่อ และเสียงของผี โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

ผีบนขื่อ และเสียงของผี โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

“หลังจากนี้ไป ลูกจะได้เห็นผีอีกเรื่อยๆ แบบพ่อแม่นี่ล่ะ” คำพูดของพ่อยังก้องอยู่ในหู และทำให้ฉันอดคิดถึงเรื่องราวหลายอย่างที่เคยเกิดขึ้นในบ้านเราไม่ได้

แม่เคยตื่นมานึ่งข้าวตอนเช้า ในสมัยที่ยังต้องจุดตะเกียงน้ำมันก๊าดวอมแวม แล้วแม่ก็จะบ่นว่า “รำคาญเสียงผีอ้ายบุญหนวดจริงๆ พูดมาก”

ตอนนั้นฉันยังเด็กอยู่ และรู้เรื่องราวเพียงว่า ลุงบุญหนวด คือสามีของป้าคนหนึ่ง เป็นผู้ชายไว้หนวดเฟิ้ม หน้าตาดุดัน แต่แล้ววันหนึ่ง ก็โดนยิงตายคาบ้าน ว่ากันว่า จุดตายคือใต้โคนต้นขนุนที่อยู่ใกล้รั้ว

ในหมู่บ้านมีคนชื่อบุญหลายคน คนนี้มีหนวด ชาวบ้านจึงเรียกรวมกันเสียว่า บุญหนวด

วันที่ลุงบุญหนวดตาย ฉันพอจะจำได้เลาๆ ว่า ชาวบ้านมามุงดูกันอย่างอึกทึก ว่ากันว่า ป้าผู้เป็นเมียเข้ากอดรัดศพร้องห่มร้องไห้แทบขาดใจ จากนั้น แม้เมื่อพิธีศพเสร็จสิ้น ก็ยังจะ “ดาขันโตก” หรือตระเตรียมข้าวปลาอาหารใส่ถาด ปักธูปไว้ให้ทุกวัน

สำหรับคนเหนือนั้น ผู้ตายกระทันหัน ถูกฆ่าตาย นับเป็นการตายโหง ตายด่วน เชื่อกันว่า วิญญาณจะยังอยู่ในจุดสิ้นลมหายใจ

แม่เป็นคนบอกให้รู้ว่า วิญญาณของลุงบุญหนวดยังอยู่จริงๆ

ในหลายๆ เช้า เมื่อแม่ตื่นขึ้นแต่เช้ามืดมาก่อไฟนึ่งข้าว แม่ว่า จะได้ยินเสียงบ่นพึมพัมงึมงำ ดังมาจากทางบ้านนั้น แรกสุด แม่ก็คิดว่าเป็นใครมาพูดอยู่แต่เช้า จนกระทั่งฟังไปฟังมา ก็จดจำได้ว่านั่นเป็นเสียงลุงบุญหนวด

“เป็นผีอะไรขี้จ่ม” แม่ว่า จ่ม แปลว่า บ่น หรือพูดพร่ำก็ได้

หากเป็นคนอื่นมาฟังแม่ อาจจะรู้สึกว่าแปลกๆ หรือบางคนก็คงจะคิดว่าเป็นเรื่องหูฝาดไป ไม่ก็อาจจะซักถามกันต่อว่าแล้วอะไรยังไง เพราะเรื่องผีคือสิ่งที่อยู่ในความคลุมเครือ เป็นมิติเร้นลับ แม้ไม่เคยเจอผี ก็ใช่ว่าจะไม่กลัวผี แล้วสังเกตว่าคนยิ่งกลัวผี ก็จะยิ่งอยากรู้เรื่องผี

แต่เพราะเป็นบ้านเรา ซึ่งอาจจะเพราะพ่อเองอยู่กับพิธีกรรมอันเกี่ยวข้องกับพวกวิญญาณ แม่นั้นก็อยู่ในสายตระกูลที่มีความเชื่อเรื่องผี พวกเราลูกๆ ก็จึงเติบโตมากับความรู้สึกว่า ผี คือส่วนหนึ่งในวิถีชีวิต

พวกเขามีที่อยู่ของตน หรือแม้จะเร่ร่อนสัญจรไปมา แต่ผีก็คือผี บ้านเราเชื่อว่าเขามีตัวตนในอีกรูปแบบหนึ่ง บางครั้งเราก็ผ่านไปสัมพันธ์กันเข้า บางคราวก็ต่างคนต่างอยู่ไป

ถามว่า คนในบ้านเรากลัวผีไหม พี่ๆ กลัว น้องก็กลัว ฉันก็เคยแอบหวั่นๆ แต่พ่อกับแม่ไม่กลัว ทำไมถึงไม่กลัว ก็อาจจะเพราะพวกเขารู้สึกว่า ผีเป็นสิ่งที่คุ้นเคย

หลังจากแม่บ่นว่า ผีลุงบุญหนวดชอบพูดใส่หูช่วงเช้าๆ ในความหมายคือ ทำให้เสียงลอยข้ามมาให้แม่ได้ยิน (อ้อ! เป็นที่บอกกันอีกอย่างว่า เวลาผีพูด พวกเขาจะพูดแบบจับใจความได้ยาก บางครั้งจะเป็นเสียงพึมพำๆ เดี๋ยวดังเดี๋ยวค่อย บางทีก็จะมีมาเป็นเสียงหัวเราะบ้าง ร้องไห้บ้าง ซึ่งเสียงหัวเราะและเสียงร้องไห้ของผีนั่นเอง ที่ใครๆ มักจะกลัวกัน)

วันหนึ่ง พ่อก็เดินไปตบต้นขนุน แล้วบอกกับผีลุงบุญหนวดว่า “พอแล้ว รู้แล้ว ได้ยินแล้ว ไม่ต้องไปกวนเขา เดี๋ยวจะเลี้ยงให้”

จากนั้นก็ให้แม่ต้มไก่ เอาเหล้าหนึ่งขวด พร้อมข้าวตอกดอกไม้ ไปเลี้ยงให้พี่บุญหนวดกิน

ก็น่าแปลกว่า เมื่อได้ไก่ต้มกับเหล้าแล้ว แม่ก็ไม่ได้ยินเสียงผีลุงบุญหนวดอีก และต่อมา ภรรยาของลุงบุญหนวดก็แต่งงานใหม่

แม่ทำให้ฉันรู้สึกทึ่งอยู่ในใจ เพราะสำหรับเด็กคนหนึ่งในสมัยนั้น แม้ไม่ได้เป็นคนกลัวผีจริงจัง แต่เรื่องผีก็ยังเป็นเรื่องทำให้หวั่นไหวได้ ในเวลาโพล้เพล้พลบค่ำ บางวันฉันก็เคยมองดูยอดไม้ที่ไหวๆ อยู่ในความสลัวราง และคิดว่า พวกผีกำลังจ้องมองเราอยู่หรือเปล่า

แต่มีอยู่วันหนึ่ง แม่ไม่ค่อยสบาย วันนั้นนอนพักอยู่ที่ห้องโถง พ่อไปที่ไหนสักแห่งจำไม่ได้ชัด ส่วนน้องไปเล่นกับเพื่อน ฉันอยู่กับแม่สองคน

จู่ๆ แม่ที่นอนอยู่ก็พูดเสียงแข็งขึ้นว่า “ลงมา! ไม่ต้องไปนั่งบนนั้น ละอ่อนจะกลัว”

ฉันหันไปมองแม่ทันที เพราะเราอยู่กันเพียงสองคน แล้วก็เห็นแม่มองบนเพดานอยู่

“แม่พูดกับใคร” ฉันถาม

“ผี” แม่ตอบ

ตอบแบบเรียบๆ ง่ายๆ และเสียงค่อนข้างเหนื่อยอ่อน ตอนนั้นแม่ไม่สบาย มีอาการไอร่วมด้วย ทำให้หายใจลำบากกว่าปกติ

เป็นวาระที่แม่อ่อนแอกว่าทุกครั้ง และเท่าที่จำความได้ แม่จะอ่อนแอแค่ช่วงป่วยไข้เท่านั้น

แต่คำว่า “ผี” ที่แม่พูดออกมา มันก็ทำให้รู้สึกเย็นวาบขึ้นมาได้เหมือนกัน มันเป็นช่วงที่เราอยู่กันลำพัง รอบบ้านมีเพียงเสียงลมพัดใบไม้ เสียงนกร้องอยู่ไกลๆ แว่วๆ เท่านั้น

“ไม่ต้องมาหลอก ไม่กลัว” แม่พูดอีก จากนั้นก็หลับตาลง

เมื่อพ่อกลับมา ฉันก็บอกพ่อว่า แม่พูดกับผี พ่อรีบเข้าไปหาแม่ แล้วก็ถามว่า ผีที่ไหนมารบกวน แม่บอกว่า เป็นผีผู้หญิงเข้ามานั่งบนขื่อ

ผีบนขื่อ...ภายหลังเมื่อโตมาแล้ว ฉันก็จึงได้รู้จักว่า มันเป็นรูปแบบผียอดนิยมในหนังไทยมากๆ มักจะมีภาพผีที่นั่งห้อยขาลงมาจากบนเพดาน มันจะให้ความรู้สึกหลอนๆ สยองขวัญอยู่ไม่น้อย แต่ย้อนกลับไปยังอดีต วันนั้นแม่กลับทำราวเป็นเรื่องปกติธรรมดา

“หน้าตายังไง มาทางไหน แล้วนั่งทำอะไรบนขื่อ” พ่อถาม

“ไม่รู้ ไม่เคยเห็นหน้า เมื่อเห็นก็มานั่งบนขื่อแล้ว สงสัยจะมารอท่ากิน คิดว่าฉันป่วยไข้มากกระมัง” (แม่พูดเป็นคำเมือง แต่ใจความประมาณนี้)

“มันทำอะไรอีกบ้าง” พ่อถาม “ทำท่าจะควี (รังควาญ) ละอ่อนรึ?”

แม่ : “ก็ไม่ได้ทำอะไร แต่ฉันก็ไล่มันไปแล้วล่ะ”

และแล้ว พวกยายๆ ก็รู้เรื่องเข้า ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ถ้ามีวิญญาณมารบกวนตอนเจ็บไข้ เป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดี แล้วพวกยายก็เร่งจัดเตรียมสิ่งของให้พ่อเลี้ยงผี และสืบชะตาให้แม่

สิ่งที่น่าสนใจก็คือ หลังจากนั้นไม่นาน แม่ก็หายวันหายคืน กลับมาเป็นปกติดี ครั้นแม่หายดี ฉันก็อดเลียบเคียงถามแม่อีกไม่ได้ว่า แม่คิดว่าตอนนั้นเป็นความฝันหรือเปล่า หรือเพราะละเมอพิษไข้

แม่ในสติสัมปชัญญะสมบูรณ์บอกว่า แม่ไม่ได้หลับ ไม่ได้ฝัน แม่เห็นผีตัวนั้นตอนที่แม่ลืมตาขึ้นมา แล้วมันก็นั่งห้อยขาลงมาจากขื่อ จ้องหน้าแม่อยู่

แต่ในความคิดของแม่ รู้ทันทีว่าไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดา แต่แม่กลัวว่าลูกจะพลอยเห็นผีตัวนั้นเข้า แล้วจะตกอกตกใจ แม่กำลังอ่อนแรง กลัวจะช่วยปกป้องลูกไม่ได้ แม่จึงรีบชิงปรามมันเสียก่อน

แม่บอกอีกว่า “แล้วแม่เลยหลับตา แช่งมันเลย”

ฉันเกือบอึ้งกับวิธีของแม่

“แม่แช่งเขาว่าอะไร”

“แช่งว่า ถ้ามาหลอกลูกกู อย่าให้ได้ไปผุดไปเกิด จะมาขอกินก็ขอกันดีๆ อยากได้เหล้า ได้ไก่จะส่งไปให้ แต่ถ้าทำให้ลูกตกใจ ไม่เลี้ยงแล้วยังจะเอาหวายลงเสียให้เข็ด!”

ที่บ้านเรามีหวายไล่ผีกันด้วย พ่อเป็นคนทำไว้ โดยใช้หวายลำเล็กเนื้ออ่อนมาตัดในลักษณะแส้ยาวๆ แล้วลงอักขระจนรอบ หวายนี้ยังมีทำเพิ่มอีกในภายหลัง และเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้า (นับจากปี 2564) ฉันเองก็เคยได้ใช้หวายไล่ผีด้วยเหมือนกัน

ในตอนนั้น พ่อฟังแม่แล้วก็หัวเราะชอบใจ บอกว่า สมกับเป็นเมียปู่จารย์แท้ๆ แช่งผีก็ได้

แต่ฉันยังสงสัยอยู่ว่า แล้วผีตัวนั้นมาจากไหน เข้ามาบ้านเราได้อย่างไร จนกระทั่งวันหนึ่งถามพ่อ พ่อก็ตอบแบบอารมณ์ดีว่า

“อ๋อ พ่อเอามาเอง แต่ไม่ทันได้บอกแม่ไว้”

“พ่อเอาผีมาทำไม แล้วเป็นผีที่ไหน”

“พ่อไปไล่ผีให้บ้าน...(เอ่ยชื่อ) เขาว่ามีของที่มีผีแฝง ไม่รู้จะทำยังไง เลยเอามาให้พ่อ ก็ว่าจะเอามาเผาให้”

มันคือผ้าคลุมผมผืนหนึ่ง ลวดลายดอกๆ สีสดใส แต่มีคราบเปื้อน และเก่าจนเห็นได้ด้วยตา พ่อบอกว่า มันคือผ้าของผู้หญิงคนหนึ่งที่ผูกคอตาย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook