เรื่องผี และสิ่งลี้ลับ "ใบหน้าที่หน้าต่าง" โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

เรื่องผี และสิ่งลี้ลับ "ใบหน้าที่หน้าต่าง" โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

เรื่องผี และสิ่งลี้ลับ "ใบหน้าที่หน้าต่าง" โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

“หลังจากนี้ไป ลูกจะได้เห็นผีอีกเรื่อยๆ แบบพ่อแม่นี่ล่ะ” ไม่น่าเชื่อเลยว่า คำพูดของพ่อแม่ในวันหนึ่งเมื่อนานมา จะทำให้ฉันได้ค้นพบตัวเองในอีกรูปแบบหนึ่ง

ย้อนกลับไปในวัยเด็ก ถ้าจะพูดว่าได้เห็นผีเป็นตัวเป็นตน ก็คงมีไม่กี่ครั้ง ดังที่ได้เล่าได้บ้างแล้ว แต่พอรวบรวมความคิด ทบทวนดีๆ ก็ได้พบว่า ในชีวิตนั้น ได้เจอ “ผี” แบบที่อยู่ในลักษณะร่วมของ “ผี” แบบที่คนอื่นๆ เจอกันอยู่หลายครั้ง

นั่นคือ ผีที่มีลักษณะน่ากลัว ผีที่มาในรูปลักษณ์ กลิ่น เสียง ไม่ปกติ ผีที่สำแดงตนว่าดุร้าย และผีที่เพียงแต่ผ่านมาพบกัน

เหตุการณ์หนึ่ง ตอนนั้นไปทำงานอยู่ในเมืองเชียงใหม่ พักอาศัยอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง มีหนหนึ่ง เจ้าของบ้านให้ย้ายขึ้นไปอยู่บนชั้นสองชั่วคราว อยู่มาวันหนึ่งก็ไม่สบายขึ้นมา เป็นไข้นอนซมอยู่ในห้องเสียหลายวัน

ตกบ่ายวันหนึ่ง ขณะที่นอนอ่อนเพลียด้วยฤทธิ์ไข้ ในใจขณะนั้นให้คิดถึงแม่มาก และคิดถึงบ้านอย่างบอกไม่ถูก คิดว่าถ้าอยู่ที่บ้านคงไม่ต้องนอนป่วยเดียวดายอย่างนี้

ทันใดนั้นเอง ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินผ่านหน้าต่าง และคล้ายๆ จะหยุดชะโงกดู เป็นจังหวะที่เห็นเงาวูบวาบ จึงเบือนหน้าไปดูพอดี ทันเห็นว่า เป็นใบหน้าคล้ำๆ ผิวสองสีค่อนไปทางเข้มจัดเหมือนแม่ ผมก็เหมือน คือเป็นผมดัดลอนสั้นๆ และสวมเสื้อสีออกตุ่นๆ เหมือนเสื้อของแม่อีก

ความรู้สึกแรกก็คือ ผู้หญิงคนนี้เหมือนแม่เสียจริง แต่ความคิดต่อมาก็คือ จะเป็นแม่ได้อย่างไร เพราะเราอยู่ไกลกันเป็นร้อยกิโลเมตรได้ แต่แล้วก็คิดว่า ถ้านั่นเป็นแม่จริงๆ คงจะดีไม่น้อย เพราะเมื่อแม่ได้เห็นแล้วว่าฉันกำลังตกอยู่ในสภาพใด แม่จะต้องไม่ปล่อยให้นอนเจ็บป่วยลำพังอีกต่อไป

แล้วร่างนั้นก็เดินลับหน้าต่างไป

ตกเย็น มีเพื่อนคนหนึ่งแวะมาเยี่ยม เราทำงานอยู่ใกล้ๆ กัน เธอจึงแว่บมาหาได้ ก็ได้เล่าให้เพื่อนฟัง ว่าวันนี้มีคนเดินผ่านหน้าต่าง ลักษณะเหมือนแม่มากเลย ไม่รู้เป็นใคร

เพื่อนทำหน้าตกใจขึ้นมาทันที แล้วก็บอกว่า “เธอนอนอยู่บนชั้นสองนะ ใครจะมาเดินผ่านหน้าต่าง มีแต่อากาศ...ฝันไปหรือเปล่า”

นั่นทำให้ฉันพลันฉุกคิดขึ้นมาได้...ไม่ใช่ความฝัน แต่มันเป็นไปได้อย่างไร ตัวฉันเองบุบเบลอจนลืมไปหมดว่าตัวเองนอนอยู่ตรงไหน แต่ก็แน่ใจล้านเปอร์เซ็นต์ว่า ไม่ได้หลับ ไม่ได้ฝัน

ดังนั้น ผู้หญิงที่ฉันเห็น เธอก็คงไม่ใช่คน...แต่เธอเป็นใคร มาจากไหน และมาชะโงกดูฉันทำไม รวมถึงทำไมจึงเหมือนแม่นัก สิ่งนั้นยังคงเป็นปริศนา

อันที่จริง ทางเหนือเรามีความเชื่อว่า คนเรามีขวัญหลายขวัญ และเกิดการตกหล่น “ขวัญหาย” ได้ ดังที่จึงมีพิธี “ฮ้องขวัญ” หรือ “เรียกขวัญ” กลับคืน ซึ่งในหมู่บ้านของเรานั้น ผู้ที่เชี่ยวชาญการทำพิธีก็คือพ่อนั่นเอง

นอกจากนั้น มีความเชื่ออีกว่า คนเรามีจิตวิญญาณที่แบ่งภาคได้ ดังเมื่อสิ้นชีวิตลง วิญญาณจะไปเก็บรอยเท้าตามที่ๆ เคยไป หลายครั้งมีคนพบเห็นว่า วิญญาณไปในที่ต่างๆ ได้ในเวลาเดียวกัน

และอีกอย่างหนึ่ง ว่ากันว่า ดวงจิตวิญญาณยังจะสามารถแบ่งภาคมาเกิด มีภาคที่มาจุติใหม่ในร่างลูกหลาน และมีภาคที่ยังเป็นดวงวิญญาณอยู่ตามภพภูมิต่างๆ พร้อมกันได้ด้วย

แต่การที่คนเป็นๆ จะถอดวิญญาณออกมานั้น ไม่ค่อยมีใครพูดถึงนัก แต่เชื่อไหมว่า นับจากวันที่เห็นผู้หญิงนอกหน้าต่างคนนั้น ผ่านมาอีกหลายสิบปี ฉันจึงเพิ่งมีประสบการณ์พิเศษอีกอย่าง ทำให้หวนคิดขึ้นว่า มันอาจเกิดขึ้นได้

และเมื่อมันพอจะเป็นไปได้ ผู้หญิงคนนั้น อาจจะเป็นแม่หรือไม่นะ...

ยังมีอีกเหตุการณ์หนึ่ง ที่ฉันได้พบกับ “ผี” แต่เป็นลักษณะชัดเจนว่า “เธอ” คือ “ผี” นั่นคือราวๆ ปี พ.ศ. 2537

เหตุการณ์นั้นยังแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำ เป็นช่วงที่มีข่าวคดีดังแห่งยุค คือการอุ้มฆ่าแม่ลูก นามสกุลดัง อันเนื่องมาจากการตามหา “เพชรซาอุ”

ในปีนั้น ฉันทำงานอยู่ในสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง และได้มีโอกาสทำหนังสือเบื้องหลังเหตุการณ์ เป็นลักษณะหนังสือเฉพาะกิจ โดยได้ข้อมูล เรื่องราว ภาพข่าว ส่วนหนึ่ง จากน้องชายคนหนึ่งของผู้ตาย

ในห้องทำงานภายในโรงพิมพ์ตอนนั้น ก่อนวันปิดเล่มรอบสุดท้าย เต็มไปด้วยภาพถ่ายจากการชันสูตรศพ ภาพจริงจากเหตุการณ์ ซึ่งเป็นช่วงสมัยที่ยังไม่มีการเซ็นเซอร์ในสื่อกันเข้มงวดมากนัก ผู้คนจำนวนมากก็ยังเคยชิน และสนใจติดตามเรื่องราว-ข่าวภาพแนวอาชญากรรมกันทั่วทุกหัวระแหง

การดูภาพจำนวนภาพในคืนนั้น ให้ความรู้สึกโศกเศร้าอยู่เงียบๆ เพราะมีทั้งภาพเมื่อแม่ลูกยังมีชีวิต เป็นภาพร่าเริงสดใส ภาพในชีวิตส่วนตัว ไปจนถึงภาพเมื่อเสียชีวิตแล้ว มีการพบศพ และมีการชันสูตร เห็นบาดแผลต่างๆ

คืนปิดเล่ม เราอยู่กันดึกกว่าปกติ และเย็นนั้น ญาติใกล้ชิดของผู้ตายคนหนึ่งก็เดินทางมาร่วมตรวจอาร์ตเวิร์กหนังสือเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะแยกย้ายกันกลับ

ก่อนจะกลับออกไป ญาติท่านนั้นก็ได้พูดเป็นเชิงตั้งข้อสังเกตว่า วิญญาณของผู้ตายคงจะมีส่วนช่วยทำให้เหตุการณ์คลี่คลาย เพราะมีเรื่องประจวบเหมาะหลายอย่างเกิดขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

เมื่อญาติท่านนั้นเดินออกไป ก็มีคนพูดว่า ถ้าผีมีจริง คงจับคนร้ายแล้วสิ จะต้องมาสืบเสาะหากันทำไมตั้งนาน

คนในห้องก็หัวเราะกัน ฉันในตอนนั้นก็หัวเราะด้วย แล้วก็บอกว่า เออ นั่นสินะ คงจะเหตุบังเอิญนั่นแหละ

ในวัยวันอย่างนั้น ถ้าจะพูดตามจริงแล้ว ช่วงที่ชีวิตเข้าทำงานในอีกแวดวง ต่างจากวิถีชีวิตเดิมๆ ฉันเองก็ไม่ได้อยากให้ใครมาสนใจว่ามีพ่อเป็นปู่จารย์ มาจากบ้านที่มีความเชื่อเรื่องผีเข้มข้น และตนเองก็อยู่ในกลุ่ม “คนเห็นผี”

มันเป็นชีวิตที่ดูแปลกเกินไป และดูจะไม่ใช่เรื่องน่าเล่าให้ใครฟัง แต่แล้วในคืนนั้น ขณะที่เดินกลับที่พัก ซึ่งตอนนั้นเป็นบ้านเช่า อยู่ในซอยจรัญสนิทวงศ์ 84

ขณะที่กำลังเดินเข้าซอยโค้งสุดท้าย จะตรงเข้าห้อง โดยจะต้องผ่านบ้านไม้หลังหนึ่ง ที่หันหน้าหาทางเดิน เป็นบ้านไม้ให้เช่าเจ้าของเดียวกับอพาร์ทเมนท์ที่เช่าอยู่ และบริเวณนั้นก็จะมีไฟนีออนส่องทาง กับไฟหน้าบ้านวอมแวม

ทันใด ฉันก็เห็นสิ่งหนึ่งที่หน้าต่าง

ในคืนนั้น ฉันเดินกลับบ้านมากับเพื่อนสนิทและน้องสาว เราเดินกันมา 3 คน โดยฉันกับเพื่อนนั้นพักอยู่ด้วยกันในห้องหมายเลข 8 บนชั้นสองของตึก ส่วนน้องพักอยู่ห้องชั้นล่าง เป็นห้องหมายเลข 2

ทันทีที่ฉันซึ่งเดินนำหน้าสุด มองเห็นสิ่งที่อยู่ในช่องกรอบหน้าต่าง ก็ใจหายวาบขึ้นมา และแม้สลัดหัว เพ่งจ้องมอง ก็ยังเห็นภาพนั้นชัดอยู่ จนถึงกับชะงักเท้าชั่วครู่

เพื่อนถามว่า มีอะไร ฉันก็ตอบว่า ไม่มีอะไร

เมื่อแน่ใจว่า เพื่อนกับน้องไม่เห็น มีฉันเห็นคนเดียวเป็นแน่ ฉันจึงรีบบอกเพื่อนว่า เข้าบ้านกันเถอะ เดี๋ยวเข้าห้องแล้วจะบอกอะไรให้ฟัง

เพื่อนทำหน้างงๆ แล้วก็รีบเดินขึ้นตึกไป ส่วนน้องก็เข้าห้องของตัวเอง ปิดประตู

ถึงห้องตัวเองชั้นบนดีแล้ว ฉันจึงตั้งสมาธิบอกกับเพื่อนว่า

ตอนที่เดินเข้ามาตะกี้นั้น ฉันเห็นใบหน้าหนึ่งที่หน้าต่างบ้านไม้ ตอนแรกที่เห็นฉันก็คิดว่า ช่างเป็นใบหน้าที่คุ้นตา ใบหน้านั้นจ้องฉัน ฉันก็จ้องกลับด้วยความตกตะลึงอยู่ จนสมองค่อยๆ ประมวลผลได้ว่า น่าจะเป็นใบหน้าที่เห็นในรูปภาพมาหลายวัน

นั่นคือใบหน้าของผู้ตายในหนังสือที่เราเพิ่งปิดเล่มเตรียมส่งเข้าโรงพิมพ์กันมาหมาดๆ

ฉันแน่ใจยิ่งขึ้นว่า นั่นคือใบหน้าของผู้ตาย เพราะใบหน้านั้นใหญ่คับหน้าต่าง มันไม่ใช่ใบหน้าปกติธรรมดา

มันคือใบหน้าที่ใหญ่ที่สุด เท่าที่เคยเห็นมา เหมือนภาพขยายที่มีแต่ใบหน้าเต็มกรอบหน้าต่าง ผิวเนื้อซีดๆ แต่ตากับปากขยับได้ ฉันรู้ดี เพราะตานั้นจ้องฉัน และทำท่าเหมือนจะอ้าปากพูด

ฉันตกใจจนใจหายวาบ และตอนนั้นยังไม่ทันคิดว่า ฉันต้องเห็นใบหน้านั้นทำไม และเราไม่ได้ทำอะไรล่วงล้ำก้ำเกินเลย เราเพียงทำตามหน้าที่ในงานเท่านั้น จะมาหลอกหลอนฉันทำไม

แต่ขณะกำลังเล่าให้เพื่อนฟังอยู่นั่นเอง และพูดเอาไว้ว่า จะไม่เล่าเรื่องนี้ให้น้องฟังก็แล้วกัน กลัวว่าน้องจะหวาดกลัว แต่บอกเพื่อนไว้ เพราะเราอยู่ด้วยกัน

ไม่ทันขาดคำ ก็มีเสียงร้องโวยวาย แล้วน้องก็วิ่งตึงตังขึ้นมาหา รีบเปิดประตูออกไปหา น้องบอกว่า ในห้องน้องมีแสงอะไรไม่รู้แปลกๆ

ถามว่า มันเป็นแสงอะไรยังไง

น้องบอกว่า พอเข้าห้องไป ก็ทำธุระต่างๆ ตามปกติ เตรียมตัวอาบน้ำ แต่ตอนจะเข้าห้องน้ำ ก็เห็นมีแสงวาบๆ บนพื้น เหมือนคนส่องไฟฉาย น้องก็งงขึ้นมาว่าแสงอะไร หรือว่ามีใครมาฉายไฟส่องเข้ามา

พอออกประตูห้องน้ำมา ปรากฏว่า แสงนั้นก็เคลื่อนที่ไปมาในห้อง เป็นลำแสงสว่างเป็นจุดเหมือนเวลาแสงแดดกระทบต้อง แต่ว่า มันเคลื่อนที่ได้ ทั้งๆ ที่เปิดไฟอยู่ก็ยังเห็นชัดว่ามีแสงวูบวาบไปมา และมันยังเดี๋ยวอยู่พื้น เดี๋ยวอยู่บนผนัง ทั้งๆ ที่ในห้องมีน้องเพียงผู้เดียว และถ้าปิดประตูแล้ว จะเหลือเพียงช่องหน้าต่างด้านหลังห้องเท่านั้น แต่น้องดูแล้วว่า ไม่มีใครมาทำอะไรข้างหลังทั้งสิ้น

จากที่ว่าจะไม่เล่าให้น้องฟัง ก็เลยต้องได้เล่าว่า มันอาจจะเกี่ยวกันก็ได้นะ เพราะตะกี้นี้ เพิ่งเห็นใบหน้าที่หน้าต่าง

ใบหน้าที่หน้าต่าง จึงเป็นอีกเรื่องที่ฉันจดจำได้ไม่ลืมเลือน และด้วยสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์ดี แม้ว่าใบหน้าแรก จะบุบเบลอกว่าเพราะอยู่ในช่วงเป็นไข้ แต่ใบหน้าที่สอง เหมือนมาบอกให้รู้ว่า ด้วยตาเนื้อ เราก็สบตากับดวงวิญญาณได้

ผ่านมาอีกนาน ฉันจึงค่อยๆ คิดว่า เป็นได้ไหมว่า ใบหน้าที่ใหญ่คับหน้าต่างนั้นมาเพื่อจะบอกว่า ที่ญาติใกล้ชิดเขาพูดมันคือเรื่องจริง ดวงวิญญาณเป็นของมีจริง และเธอผู้นั้น มีส่วนร่วมในการไขคดีจริงๆ ?

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook