เรื่องผี และสิ่งลี้ลับ "ผีในรถแท็กซี่" โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์
ตอนก่อนหน้านี้ ได้เล่าถึง “ใบหน้าที่หน้าต่าง” ทำให้นึกถึงอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมา ซึ่งน่าสนใจว่า เป็นเรื่องของ “ใบหน้าของผี” เช่นกัน
ตอนนั้น เป็นช่วงที่อายุประมาณ 12-13 ปีได้ และมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่บ้านอยู่ไม่ไกลกัน นอกจากจะไปมาหาสู่กันเสมอแล้ว เวลามีทุกข์สุขอะไร เราก็จะบอกเล่าแก่กัน
มีอยู่วันหนึ่ง เพื่อนก็เล่าให้ฟังว่า เธอถูกผีหลอก ถามเพื่อนว่า ถูกหลอกแบบไหน เพื่อนก็เล่าให้ฟังว่า
เป็นช่วงใกล้รุ่งที่อากาศค่อนข้างหนาวเย็น ในสมัยนั้นบ้านเรือนที่บ้านนอกจะยังไม่มีห้องน้ำห้องส้วมภายในตัวบ้าน หากจะทำธุระก็ต้องออกไปนอกตัวบ้าน โดยอาจจะลงทางบันไดหลังบ้าน เข้าไปในสุมทุมพุ่มไม้ห่างจมูกคนหน่อย หรือถ้าเป็นกลางคืนก็ต้องเอาไฟฉายติดตัวไป
ตอนนั้นเพื่อนเพิ่งออกชั้น ป. 6 มา ยังอยู่กึ่งกลางระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ (ในยุคก่อนโน้น หากอายุได้สัก 13-14 ปี ก็ถือว่าโตแล้ว) จึงคิดจะอาศัยทางลัด ไปนั่งปัสสาวะที่นอกชาน
ปรากฏว่า เมื่อเพื่อนออกจากประตูห้องนอน ที่นอนรวมกับพ่อแม่ เดินทะลุไปหาชานบ้าน พอไปถึงช่องสุดท้ายที่จะก้าวลงชาน เพื่อนว่าก็เห็นสิ่งหนึ่งใหญ่โตมากๆ กระจ่างแจ้งอยู่เต็มสายตา
ครั้งแรก เพื่อนนึกว่าสิ่งนั้นคือดวงจันทร์ เพราะมีลักษณะกลมโต สว่าง ลอยเด่นอยู่ในความมืด แต่พอเพ่งมองเข้า ก็เห็นว่าดวงกลมๆ นั้นมีตา มีจมูก มีปาก
เพื่อนว่า มันคือใบหน้าที่ใหญ่โตที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาในชีวิต เป็นใบหน้าเหมือนหน้าคนเราจริงๆ ทุกอย่าง แต่สิ่งที่ไม่ทางเป็นเรื่องปกติไปได้ คือเป็นใบหน้าที่ใหญ่เท่ากระด้ง และลอยเด่นอยู่เพียงใบหน้า พลางมองจ้องเขม็งมา
เพื่อนเล่าว่า ตกใจจนขาแข็ง สั่นไปหมดทั้งตัว และแน่นอนว่า ฉี่ราดออกมา ณ จุดนั้น
ถามเพื่อนว่า แล้วตอนนั้นรู้สึกยังไงบ้าง
เพื่อนบอกว่า มันเป็นความรู้สึกช็อคมาก เหมือนจู่ๆ ทั้งโลกก็เปลี่ยนแปลงไป สิ่งที่เห็นในตอนที่ไม่ได้หลับฝัน ไม่ได้นอนละเมอ ทำให้จะอ้าปากร้องก็ร้องไม่ออก ได้แต่ยืนตัวแข็งสั่นเทา จนชั่วพริบตาหนึ่ง ใบหน้านั้นก็หายไป
และตั้งแต่เหตุการณ์นั้นเป็นต้นมา เพื่อนก็เป็นคนหนึ่งที่เชื่อว่าผีมีจริงอย่างสุดใจ
ทีนี้ มีอีกเหตุการณ์หนึ่งที่เคยเกิดขึ้นกับตัวฉันเอง แต่จะว่าเป็นปริศนาก็ใช่ ทุกวันนี้ ก็ยังอดคิดไม่ได้ว่า มันเป็นภาพลวงตา การหักเหของแสง หรือเป็นภาวะประสาทหลอนชั่วคราวหรือไม่
อาจจะต้องบอกก่อนว่า ตัวฉันนั้น แม้จะเกิดในครอบครัวที่อยู่กับเรื่องเหนือธรรมชาติเป็นปกติ และอยู่ในวัฒนธรรมถือผีอย่างจริงจัง แต่ส่วนหนึ่งของความคิด ก็มักจะอดสงสัยอยู่เสมอไม่ได้ว่า สิ่งที่เกิดกับตน หรือคนรอบตัวนั้น มันอธิบายในทางอื่นได้หรือไม่ และสนใจจะค้นหาข้อพิสูจน์อยู่เสมอ
หลายครั้ง จึงไม่ยอมเชื่ออะไรง่ายๆ และอะไรที่อยู่นอกเหนือประสบการณ์ตรง ก็จะขอฟังหูไว้หู เผื่อใจสำหรับความน่าจะเป็น และเหตุพลิกผัน นั่นทำให้เมื่อพบเรื่องลี้ลับกับตนเอง จึงมักจะบันทึกไว้ จดไว้ และค้นหาคำตอบกับมันในหลายๆ แนวทาง
ดังเช่นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้
มีอยู่เย็นวันหนึ่ง ตอนนั้นทำงานอยู่แถวถนนอรุณอมรินทร์ และพักอยู่แถวถนนจรัญสนิทวงศ์ ซอย 84 (บางอ้อ) ก็จะต้องขึ้นรถเมล์จากแถวหน้าห้างสรรพสินค้าพาต้า ซึ่งรถก็จะเลี้ยวขวาผ่านแยก 35 โบวล์ (ชื่อเรียกสมัยนั้น) ก่อนจะตรงไปทางถนนจรัญสนิทวงศ์ จนถึงบ้าน
แต่ค่ำวันนั้น กลับเย็นกว่าปกติ และเหนื่อยมากแล้วกับการรอรถเมล์ จึงพากันเรียกแท็กซี่ (ตอนนั้นทำงาน และพักร่วมกับเพื่อนสนิทอีกคนหนึ่ง)
ทีนี้ว่า พอขึ้นไปบนแท็กซี่เรียบร้อยแล้ว โดยตัวฉันขึ้นไปก่อน นั่งอยู่ตำแหน่งหลังคนขับ แล้วเพื่อนตามขึ้นไป พอนั่งได้ที่ดีแล้ว รถก็แล่นออกตามปกติ และเข้าเลนไปติดไฟแดงรอเลี้ยวขวา
ขณะนั้นเอง ฉันก็มองไปยังกระจกหน้ารถคนขับ ก็เห็นว่าคนขับกำลังจ้องมาอยู่พอดี ความที่นั่งเฉียงๆ กันจึงมองไม่ถนัดนัก แต่ก็เห็นว่า ใบหน้าส่วนบนของคนขับค่อนข้างแก่ จำได้ชัดถึงทุกวันนี้ว่า เห็นรอยย่นกลางกลางผากเป็นเส้นๆ ผมหงอกขาว คิ้วก็หงอกขาว และสายตาดูแปลกๆ
ระหว่างนั้นเพื่อนที่นั่งด้วยกันก็หันหน้าไปอีกทาง เหมือนอยู่ระหว่างใช้ความคิดอะไรลำพัง ฉันก็เลยลองขยับตัวไปหาเพื่อน พบว่าสายตาคนขับในกระจกก็มองตามไม่ลดละ ทันใดนั้นเอง ฉันก็สังเกตว่า เส้นผมด้านหลังของคนขับมีสีเข้ม
มันเป็นหนึ่งชั่ววูบของความประหลาดใจที่เกิดขึ้นในทันที เพราะใบหน้าที่เห็นในกระจกด้านหน้า ดูเป็นใบหน้าของคนแก่มากๆ เพียงแต่ว่า เพราะมุมมองไม่สามารถจะเห็นทั้งใบหน้าของคนขับได้ ฉันจึงขยับตัวแบบไม่ให้ดูผิดสังเกต เพื่อจะพยายามส่องดูใบหน้าด้านข้าง
พอมองดูหัว และหน้าของคนขับ จากด้านหลัง และด้านข้าง กลับเห็นว่า เป็นคนละใบหน้ากับที่อยู่ในกระจกหน้ารถ!
ที่เห็นชัดว่าแตกต่างกันคือ พอดูจากด้านหลัง คนขับมีผมสีเข้ม พูดง่ายๆ ว่าผมดกดำ พอส่องดูใบหน้าด้านข้าง ก็เห็นเป็นคนวัยกลางคนคนหนึ่ง สมัยนั้นก็คาดว่า น่าจะมีอายุไม่เกิน 45 ปี แต่ว่า...พอเหลือบมองไปยังกระจกหน้ารถ กลับเห็นริ้วรอยที่เหี่ยวย่นบนหน้าผาก คิ้วหงอก ผมบนหัวด้านหน้าก็หงอก
ยังจำได้ชัดเจนว่า ตอนนั้นมีรถเมล์สาย 203 จอดอยู่ข้างหลัง ฉันก็ยังเหลียวมองว่า เป็นได้ไหมที่ใบหน้าคนขับรถเมล์จะสะท้อนเข้ามาในกระจกหน้ารถคนขับแท็กซี่ หรือว่า มันจะเป็นภาพจากคนในรถคันอื่นๆ...แต่มันก็ไม่มีความเป็นไปได้
ระหว่างนั้น เพื่อนก็หันมาถามว่า “เป็นอะไร ยุกยิกอยู่ได้” นี่ก็ไม่รู้จะบอกเพื่อนว่าอย่างไร เพราะมองไปที่กระจก ตาของคนขับก็ยังจ้องมองมา
จนกระทั่ง สัญญาณไฟเปลี่ยน รถค่อยๆ เคลื่อนออก แล้วฉันจึงได้เห็นต่อหน้าต่อตาว่า ใบหน้าของคนแก่ในกระจกหายไป กลายเป็นใบหน้าจริงๆ ของคนขับที่มีผมดำ คิ้วดำ และมันเหมือนสัญญาณภาพในทีวี ตอนที่มันคล้ายๆ มีคลื่นสั่นไหว แล้วใบหน้า 2 ใบหน้าก็ซ้อนกันในเสี้ยวนาที
ก่อนที่ใบหน้าหนึ่งจะหายวับไป
ฉันมาเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อน และคนในออฟฟิศฟังภายหลัง พลางเที่ยวถามใครๆ ว่า คิดว่านั่นเป็นผีหรือไม่
อันที่จริงแล้ว ในส่วนหนึ่งของใจ ฉันก็คิดว่านั่นคือผี แต่ที่เป็นปมปริศนาสำหรับตัวเองก็คือ มันคือผี หรือวิญญาณผู้ใด และมาปรากฏให้เห็นเพื่ออะไร
จนอีกนานต่อมา เมื่อได้คุยเรื่องนี้กับพ่อ เล่าให้พ่อฟัง พ่อก็บอกว่า การที่คนเราเจอผีนั้น บางทีก็มีอยู่ 2 แบบคือ
หนึ่ง ผีต้องการสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น มาบอกจุดประสงค์ของตัวเอง มาขอส่วนบุญ มาสื่อสาร มารังควาน ซึ่งถ้าเป็นกรณีนี้ มักจะมีเหตุการณ์เฉลยคลี่คลายตามมา (และต่อมาในชีวิตก็ได้พบอยู่หลายครั้ง)
กับสอง ผีก็อยู่ของเขา แต่เราบังเอิญไป “เห็น” เขาเข้า และเมื่อเขารู้ว่าเราเห็น เขาก็อาจจะสนใจเรา เท่าๆ กับที่เราสนใจเขา และในช่วงเวลาแบบนั้นแหละ ที่บางทีเราก็จะสามารถสื่อสารกับเขาได้
อย่างไรก็ตาม พ่อก็ได้เตือนไว้ด้วยว่า ผีก็เหมือนคนเรานี่ล่ะ มีดี มีร้าย และมีผีอันธพาล สุภาษิตที่ว่า อย่าไว้ใจทางอย่าวางใจคน ก็ใช้กับผีได้เหมือนกัน
นั่นคือ อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจผี จนกว่าจะมีสิ่งที่ผียำเกรงเอาไว้ปรามผี