เครื่องราง งั่งตาแดง แรงฤทธิ์โลกีย์? โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์
ในสายเครื่องรางแนวหุ่น-ตุ๊กตา มีอีกอย่างหนึ่ง ที่จะนับว่าเป็นแรไอเท็มก็ว่าได้ นั่นคือ “งั่ง”
ว่าแต่ว่า “งั่ง” มาจากไหน และงั่งเป็นอะไรกันแน่ หลายคนก็คงจะยังสับสนอยู่ เพราะในยุคสมัยนี้ เมื่อพูดกันถึง *งั่ง* ก็มักจะตามมาด้วยคำว่า “ตาแดง-เกศคด” เช่น งั่งตาแดง และมีรูปประกอบเป็นตัวงั่งหัวแหลมๆ ปลายยอดเอียง มีลูกกะตาสีแดง ทำจากพลอยเทียมบ้าง หินสีแดงบ้าง แล้วแต่จะสร้างสรรค์มา
ถ้าเราถือเอาตามความเข้าใจของคนทั่วไป “งั่ง” มีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า โง่ ดังที่พูดกันเป็นภาษาปากว่า งั่งเหลือหลาย
แต่ถ้าใครเปิดพจนานุกรม จะพบความหมายว่า งั่ง : หมายถึงรูปหล่อด้วยโลหะเหมือนพระพุทธรูป แต่ไม่มีผ้าพาด หรือ เรียกพระพุทธรูปที่ยังไม่ได้ทำพิธีเบิกเนตร
ตอนที่ยังเป็นเด็กๆ นั้น จำได้ว่า พ่อเคยเล่าให้พวกพี่ๆ น้าๆ ผู้ชายฟัง เรื่องเกี่ยวกับ “พระงั่ง” ที่ไปแอบดูผู้หญิงอาบน้ำ
พ่อเล่าว่า เพื่อนพ่อคนหนึ่งเขามีพระงั่งอยู่ติดตัว ครั้งหนึ่งสมัยวัยหนุ่มเคยไปทำงานในป่าในห้วยด้วยกัน วันหนึ่งก็มีผู้หญิงกลุ่มหนึ่งมาลงเล่นน้ำ นุ่งผ้าถุงกระโจมอกลงดำผุดดำว่าย เพื่อนพ่อรีบจุ๊ปากบอกพ่อว่า เดี๋ยวจะให้ดูอะไร
แล้วเพื่อนพ่อก็แก้เชือกจากเอว เอาพระงั่งโยนลงน้ำไป
ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น ผู้หญิงทั้งที่เล่นน้ำอยู่ก็พากันร้องกรี๊ดกร๊าด ว่ามีตัวอะไรมาดึงขาดึงผ้า บ้างก็ร้องว่าเพื่อนอย่าแกล้งกัน แล้วพ่อกับเพื่อนก็เห็นสาวๆ ผ้าถุงหลุดลุ่ยกันอยู่ในน้ำ และที่สำคัญ พ่อเห็นพระงั่งตัวนั้นผุดๆ โผล่ๆ อยู่ในน้ำเป็นระยะ
“ตัวเล็กน้อยเดียว” พ่อว่า “มันก็แปลกที่ไม่จมหาย แล้วไม่ไหลไปกับน้ำ”
นั่นเป็นครั้งแรกที่พ่อเองได้เจอกับความอัศจรรย์ของพระงั่ง ซึ่งในเวลาต่อมา ฉันเคยย้อนกลับไปถามพ่อว่า พระงั่งคืออะไร
คำตอบของพ่อก็คือ ไม่รู้เหมือนกัน
“ไม่ใช่ของทางบ้านเรา” พ่อว่าอย่างนั้น “แต่จะมาจากทางไหนแน่ก็ไม่รู้ เพื่อนพ่อเขาก็ว่าได้มานาน ได้มาตอนเป็นทหาร ว่าเป็นของเก่าแก่ แต่บ้างก็ว่าเป็นของจากทางเขมร”
“แล้วพ่อมีไหม”
“ก็มีอยู่สองสามตัว” พ่อหยิบให้ดู เป็นงั่งโลหะหล่อพิมพ์ ดูตัวหนักๆ อยู่ “แต่ก็ไม่ใช่ของเก่านานนักหรอก ของทำใหม่”
“แล้วมันขลังไหมพ่อ”
“ก็แล้วแต่คนใช้” พ่อว่า พลางหัวเราะหึๆ “ถ้าคิดว่ามันใช้ได้ มันก็ใช้ได้ ถ้าเห็นมันเป็นของธรรมดา มันก็เป็นของธรรมดา”
ในสมัยก่อน ฉันเองก็มักจะคิดว่าพ่อเป็นคนเจ้าวาทะวาที มีนิสัยชอบพูดจาเปรียบเทียบอุปมาอุปไม แต่มานึกย้อนกลับไปอีกที อาจเพราะบางที สิ่งต่างๆ มีความซ้อนทับกันอยู่ บางเรื่องก็ยากที่จะตัดสินได้ และคำพูดของพ่อจะฟังเป็นปรัชญาก็คงได้
“แล้วพ่อได้ใช้มันไหม”
“ก็เคยลองอยู่เหมือนกัน”
“ทำยังไง”
“ก็เอาไปส่องดูผู้หญิงอาบน้ำนั่นแหละ เคยลองเอาไปโจ้งลงน้ำบ้าง เขาก็ผ้าผ่อนหลุดกันให้เห็นอยู่”
ฉันบอกพ่อว่า แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น การใช้เครื่องรางไสยศาสตร์เหล่านี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่านิยม เพราะสำหรับยุคสมัยนี้ การทำอย่างนั้นคือการละเมิดความเป็นส่วนตัว และค่อนข้างหมิ่นเหม่ต่อการละเมิดทางเพศด้วย
ยังดีที่พ่อได้ตอบว่า
“ก็แค่ลองนั่นล่ะ พ่อก็ไม่ได้ทำอีก มันไม่ใช่ของจำเป็น ไม่ใช่เรื่องดี”
“แล้วเราจะมีตัวพวกนี้ไปทำไมล่ะพ่อ”
“ก็มีไว้ให้รู้ มีไว้ศึกษา ถ้าจะใช้งานมันก็ใช้กันให้ถูกทาง ลางทีเจอคนที่เขาถูกใจกันก็มอบเขาไป” คือคำตอบของพ่อ
ฉันเคยพยายามค้นคว้าอยู่เหมือนกันว่า ความเป็น “พระงั่ง” หรือ “ตัวงั่ง” นั้นคืออะไรกันแน่ และเป็นที่สังเกตว่า ต่อๆ มาคนก็เรียกกันว่า “พ่องั่ง” อีกอย่าง
ถ้าเข้าไปในกลุ่มคนสนใจไสยศาสตร์ ก็จะเห็นว่า “งั่ง” คือหนึ่งในเครื่องรางสายเสน่ห์ที่เป็นของยอดนิยมไม่แพ้ “อิ่น” และมีให้เช่าบูชากันตั้งแต่ราคาหลักสิบหลักร้อย ไปจนถึงตัวเลข 5-6 หลัก
เท่าที่ทราบมา งั่งที่ถือว่าเป็นของเก่าแก่จริงๆ ราคาสูงลิ่วมาก เป็นของสะสมที่เขาเล่นกัน และการใช้งั่งก็มีกลเม็ดเด็ดพรายมากมาย เป็นต้นว่า ให้ดูว่างั่ง “แรง” หรือไม่ งั่งจะมีปฏิกริยาถ้าได้สัมพันธ์กับเสื้อผ้าข้าวของผู้หญิง เช่น งั่งจะชอบใจถ้าเอาห่อเก็บไว้กับชุดชั้นในผู้หญิง หรือถ้าเอาผ้าถุงปัดตัวงั่ง งั่งจะพลิกตัวกลับมาจ้องคนทำ (แต่ต้องทำในที่มิดชิดเท่านั้น) ฯลฯ
มีเล่ากันด้วยว่า บางครั้งถ้างั่งหาย ให้ไปหาตามเสื้อผ้าผู้หญิง ในกองยกทรง-กางเกงใน งั่งมักจะอยู่ในนั้นเป็นปกติ
แต่ขอโทษนะ มันอดคิดดีไม่ได้จริงๆ ฉันว่าดูไปดูมา งั่งนี่แหละดูผิดปกติ ออกจะจิตๆ อย่างไรไม่ทราบ มีความหมกมุ่นกับเรื่องเพศโลกีย์ขนาดนี้ และถ้าเป็นไปได้ ฉันจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับงั่ง
อ้อ ฉันเคยถามพ่ออีกอย่างว่า แล้วทำไมพ่อก็เรียกว่า พระงั่ง
พ่อตอบว่า คนทางบ้านเราเรียกกันอย่างนั้น และลักษณะมันเกือบเหมือนพระ พ่อเองมีความเห็นว่า อาจจะมาจากพระทุศีลก็ได้ แล้วก็หัวเราะ
ฉันมาคิดว่า คำตอบของพ่อก็น่าสนใจ “พระทุศีล” ดูจะเข้ากันไม่น้อยกับลักษณะของงั่ง ซึ่งรูปลักษณ์ใกล้เคียงพระพุทธรูป แต่ใบหน้าออกไปทางอัปลักษณ์หน่อย ปลายเศียรยาวๆ เกินพอดี บ้างมีลักษณะคดเอียง บ้างทำตาแดงเป็นแสงไฟ แต่ก็นั่นล่ะ ในโลกของไสยศาสตร์ สิ่งเหล่านี้คงมีคนชอบพอใจในคุณสมบัติของมัน
แต่แล้ววันหนึ่ง ความรู้สึกของฉันกับงั่งก็เปลี่ยนไป เป็นช่วงก่อนที่พ่อจะเสียชีวิตประมาณ 2 ปี ช่วงที่กำลังอยู่ระหว่างเรียนวิชาต่างๆ กับพ่อ
พ่อขึ้นมาในห้องทำงาน และเอางั่งมาให้ตัวหนึ่ง
“อ้าว พ่อเอามาจากไหน” ฉันถาม
“ก็ของลูกไม่ใช่หรือ” พ่อตอบ “เห็นทำหล่นอยู่ข้างล่าง”
ฉันมองดูงั่งในมือพ่อ เป็นงั่งหล่อจากโลหะ ไม่ใช่ของเก่าแก่มากมาย แต่ก็ได้มาจากแผงพระแห่งหนึ่ง อันที่จริงได้มาด้วยกันสามสี่ตัวแล้ว (ต่างที่ต่างวาระ) มีบางตัวเช่ามาจากรุ่นน้องที่รับมาจากพระอาจารย์สายเขมรอีกทอด
ไม่ชอบงั่ง แต่เจองั่งก็อดเก็บไม่ได้ หากก็บอกตัวเองว่า ของสะสมเล่นน่า - นี่แหละมนุษย์
“เอ๊ะ ไปอยู่ข้างล่างได้ยังไง” ฉันนึกสงสัยทันควัน เพราะแน่แก่ใจว่าไม่มีการหยิบเอางั่งออกมาเลย แล้วนอกจากฉัน ไม่มีใครกล้าถือวิสาสะหยิบไปโดยพละการแน่
“งั้นสงสัยจะอยากหนีออกจากบ้าน” พ่อว่าพลางหัวเราะ “เอาเขามาอยู่ด้วย ก็ดูแลเขาดีๆ สิ”
“ไม่ค่อยชอบตัวนี้นะพ่อ” ฉันพูด “ดูประวัติแล้วนิสัยไม่ดี”
“เอ๋า” พ่อหัวเราะอีก “ไม่ชอบแล้วเอามาทำไม”
“ก็...มันน่าสนใจอยู่”
“นี่นะ ถ้าของมันทำมาอย่างนั้น เราอยากให้เป็นยังไงก็บอกเขาเอา สอนเอา”
“สอนได้ด้วยหรือพ่อ”
“ได้สิ ก็เหมือนคนเรานี่แหละ นิสัยใจคอไม่ดี มีข้อบกพร่องยังไง ถ้าอยู่ด้วยกัน หวังดีต่อกัน ก็ต้องค่อยๆ ชี้แนะกล่อมเกลากันไป”
“พ่อ แล้วถ้าคนสร้างตั้งใจทำมาให้เป็นตัวนิสัยไม่ดีล่ะ ดูแนวๆ โลกีย์จะตายไป”
“ลูก เครื่องรางของขลังมันมีร้อยอย่างพันอย่าง จิตเจตนาคนทำจะอย่างใดก็ตาม เหมือนลูกหมาลูกแมว ลูกคน เกิดกันมาตามพันธุ์ มีสัญชาตญาณเป็นสัตว์ เป็นคน แต่การฝึกอบรมบ่มนิสัย จะให้ใหญ่ขึ้นเป็นอย่างใด ก็อยู่ที่คนเลี้ยงดูแล”
“….”
“โลกียะมันก็ของคู่โลก เป็นของปกติธรรมดา ถ้าเห็นว่าแบบใดไม่ดี ก็อย่าให้เขาทำ อย่าให้ท้าย”
“…”
“ตั้งแต่เขามาอยู่ เคยสร้างปัญหาบ้างหรือยัง”
“...ก็ยัง”
“แล้วเคยให้ประโยชน์หรือเปล่า”
“ไม่รู้สิ”
“นั่นน่ะ ถึงได้หนีลงไปข้างล่าง ลูกลองเลี้ยงเขาใหม่ เอาใจใส่เขาดู อยากให้เขาทำอะไรก็บอกไป อะไรที่จะดีกับเขา ดีกับเรา ก็ลองทำดู”
“พ่อว่าตัวงั่งมันมีฤทธิ์จริงมั้ย”
“ลูกเชื่อถือในตัวพ่อมั้ย” พ่อถามกลับ
ฉันมองหน้าพ่อ...
“…ก็เชื่อ”
ในช่วงที่ได้กลับมาใช้ชีวิตที่บ้านเกิด และได้อยู่คลุกคลีกับพ่ออีกครั้ง ฉันคิดว่า มีหลายสิ่งในตัวพ่อที่ฉันรู้สึกไว้วางใจ ซึ่งในสมัยยังเด็กฉันกับพ่อไม่ได้สนิทสนมกันนัก ความที่ฉันเองแทบไม่ได้ใช้ชีวิตที่หมู่บ้านเกิด ทำให้เราเคยมีระยะห่างกันอยู่พอสมควร แต่วันหนึ่ง ฉันก็รู้สึกว่า ฉันเองก็ได้ค่อยๆ เรียนรู้พ่อในมุมมองใหม่
เหมือนการยอมรับในชีวิตภาคที่มีเรื่องผี เรื่องไสย์ ซึ่งเคยเป็นของไม่อยากเกี่ยวข้อง
“ถ้าเชื่อพ่อ พ่อจะบอกว่า ตัวนี้เขาไปหาพ่อ ให้พ่อมาบอกว่า อะไรที่ลูกอยากได้ จะได้เร็วๆ นี้แล้ว”
ฉันรับงั่งตัวนั้นกลับมาจากมือพ่อ อีกไม่กี่วันถัดจากนั้น ก็ได้เงินมาก้อนหนึ่งโดยไม่คาดฝัน นำไปซื้อของที่ต้องการได้ในทันที สิ่งที่รู้แก่ใจว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญเพราะว่า เมื่อพ่อออกจากห้องทำงานไป ฉันบอกกับงั่งว่า ถ้าแน่จริงลองดิ้นให้ดูสิ
และก็มีกระแสอุ่นๆ...ยุกยิกขลุกขลักอยู่ในฝ่ามือ