เมื่อพ่อไปไล่ผีสิงร่าง โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์
จากตอนก่อนหน้านี้ ได้เล่าถึงเรื่อง “อางไล่ผี” ไว้เล็กน้อย นึกได้ว่า มีอีกเรื่องหนึ่งที่พ่อเคยเล่าให้ฟัง และอาจจะเคยเล่าให้เพื่อนๆ ในเฟซบุ๊กฟังมาบ้างแล้วในบางสเตตัส คือการไปไล่ผีของพ่อ ซึ่งมาคิดย้อนว่า น่าจะเป็นการใช้อางไล่ผีนี่เอง
เรื่องเกิดขึ้นสมัยที่บ้านเราย้ายไปอยู่ในอำเภอแม่แตง อยู่ในเขตตำบลเล็กๆ แห่งหนึ่ง ที่มีภูเขาล้อมหน้าล้อมหลัง แต่ก็ไม่แน่ใจว่าในตอนนั้น พ่อย้ายเพราะอยากจะไปทำงานในสวนป่าไม้ (งานปลูกกล้าไม้สัก) หรือเพราะมีคนชวนให้ไปอยู่ ด้วยการไปตั้งบ้านเรือนอยู่ในสมัยนั้น มีคนมาช่วยปลูกบ้านให้ และพ่อแม่ไม่ได้ซื้อที่ดินเลย
ในสมัยก่อน ย้อนกลับไปสัก 50-60 ปีที่แล้ว พื้นที่หลายแห่งทางภาคเหนือยังเป็นป่าเขาลำเนาไพร แต่ละหมู่บ้านมักจะตั้งอยู่กันเป็นเวิ้งตามชายป่าบ้าง ในที่ราบกลางหุบเขาบ้าง ชาวบ้านยังสามารถหักร้างถางพงทำที่อยู่ที่กิน แบ่งที่ให้แก่กันตามความพอใจ หลายพื้นที่ยังไม่มีการออกโฉนดที่ดินให้เป็นกรรมสิทธิ์ ซื้อขายกันปากเปล่าก็มี
เหตุการณ์ที่คิดว่า พ่อน่าจะย้ายด้วยสองประเด็นหลัก คือถ้าไม่อยากไปทำงานที่นั่นเต็มแก่ ก็ต้องมีคนชวนให้ไปอยู่ เพราะที่แห่งใหม่อยู่ห่างจากหมู่บ้านเดิมไปราวๆ 60 กว่ากิโลเมตรได้ จะว่าไกลก็ไม่ไกล แต่จะว่าใกล้ก็ไม่ใกล้ เพราะในยุคนั้นการสัญจรไปมายังยากลำบาก ถ้าไม่มีรถยนต์ก็ใช่ว่าจะไปมาสะดวก
อีกอย่างจำได้ไม่ลืมว่า แม่เล่าให้ฟังเสมอด้วยว่า ตอนจะไปแม่ก็ไม่ได้เต็มใจไป ครั้นตอนพ่อจะย้ายกลับ แม่ก็ไม่เต็มใจกลับ (อ้าว)
ตอนนั้น ฉันอายุประมาณ 5-6 ขวบได้ ขณะอยู่ที่โรงเรียนเก่า กำลังเตรียมสอบไล่ขึ้นชั้นประถมปีที่ 3 เพราะเข้าเรียนเร็วกว่าวัย ความที่อ่านออกเขียนได้ตั้งแต่อายุ 3 ขวบ พอย้ายไปอยู่อำเภอแม่แตงกับพ่อแม่ จึงถูกส่งไปเข้าโรงเรียนอนุบาล และนั่นคือช่วงเวลาที่รู้สึกไม่ค่อยดีกับสิ่งแวดล้อมรอบข้างนัก เพราะการไปอยู่กับเด็กวัยเดียวกัน แต่พูดกันไม่รู้เรื่องเป็นความทุกข์อย่างหนึ่ง (ในตอนนั้น)
เท่าที่จำภาพได้ บ้านที่เราอยู่ตอนนั้น เป็นบ้านยกเสาเรือนสูง มีใต้ถุนโล่งๆ สร้างด้วยไม้ไผ่ผสมปนกับไม้ที่ตัดมาหยาบๆ จากป่า ดูมั่นคงแข็งแรงดี มีบริเวณค่อนข้างกว้าง เพียงแต่ถ้าเดินพ้นหมู่บ้านออกไปนิดเดียว ก็จะเป็นเชิงเขาแล้ว
พ่อเล่าว่า เคยมีเหตุการณ์ต้องไปไล่ผีที่นั่น เป็นเหตุการณ์ใหญ่โตสำหรับชุมชนเลยทีเดียว
เรื่องมีว่า...
วันหนึ่ง ขณะที่คนงานปลูกสวนป่ากำลังทำงานด้วยกันตามปกติ ก็มีผู้หญิงคนงานคนหนึ่งเกิดอาการไม่ปกติขึ้นมา มีลักษณะเหมือนถูกผีกุม
ฉันถามพ่อว่า ลักษณะที่ว่า “ผีกุม” มันเป็นยังไง พ่อก็ตอบว่า
“คือจากที่เคยเป็นคนพูดจาเล่นหัวกับคนอื่นๆ ก็มีการแยกตัว เก็บปากเก็บคำ ชอบปลีกตัวไปอยู่ลำพัง ใครพูดใครทักก็ไม่ค่อยตอบ เริ่มไม่สบตาคน”
ฉัน : แล้วตอนเขามาทำงาน ก็มาปกติเหรอ
พ่อ : ก็ปกติ ออกบ้านมาเหมือนคนอื่นๆ เขาให้ทำอะไรก็ทำ แต่จะทำอยู่ห่างคนอื่นไปเรื่อยๆ และสีหน้ามันจะเส้าๆ หมองๆ
(เส้า** เป็นภาษาเหนือ หมายถึง กึ่งซีดกึ่งคล้ำ, ผิวดูหม่นหมอง)
ฉัน : เขาไม่สบายไหมพ่อ
พ่อ : ก็นั่นน่ะ แรกๆ คนก็คิดกันว่าหรือว่ามันจะเป็นป่วยเป็นไข้ แต่อยู่ไปอยู่มาก็ยิ่งมีลักษณะอาการแปลกๆ ขึ้นเรื่อยๆ อันที่จริง วันแรกที่มันเริ่มเป็น พ่อก็อยู่นะ
ฉัน : วันแรกเป็นยังไงเหรอ
พ่อ : คนว่ามันเข้าป่าไปเยี่ยว แล้วพอกลับออกมาก็ตาแข็งๆ ไม่พูดไม่จา ตอนแรกคนยังไม่ทันสังเกต แต่พ่อนี่แหละ วันนั้นเลิกงานจะกลับกันแล้ว พ่อเห็นเขานั่งอยู่บนก้อนหิน แล้วเหลือบตามาดูพ่อ
ฉัน : ...
พ่อ : พ่อก็ เอ๊ะ นางคนนี้หน้าตาบ่เหมือนคน คือคนเรามันจะมีเลือดมียาง ทำงานกันมาเหนื่อยๆ จะต้องเหงื่อออกหน้าแดงตึ่งแดงตั่ง แต่คนนี้หน้ามันซีดๆ เส้าๆ แล้วแทบไม่เห็นตาดำ
ฉัน : พ่อตกใจไหม
พ่อ : (หัวเราะ) ไม่ตกใจหรอก แต่แค่ไม่ทันคิดว่ามันจะถูกผีกุมเข้าจริงๆ พ่อก็น่าจะเฉลียวใจ แต่ก็ไม่ทันคิดไปเรื่องนั้น
จากนั้น เหตุการณ์ต่อมาก็คือ ผู้หญิงคนนั้นเริ่มปล่อยเนื้อปล่อยตัวทรุดโทรม ขอบตาดำคล้ำ ถึงเวลากินไม่กิน ถึงเวลานอนไม่นอน แต่ก็ไม่หยุดงาน ยังมาทำงานทุกวัน
ฉัน : อ้าว แล้วนายจ้างเขาไม่ว่าหรือพ่อ ไม่กินไม่นอน เอาแรงที่ไหนมาทำงาน
พ่อ : มันก็แปลกอยู่อย่าง คือมันไม่กินไม่นอน ทางบ้านมาเล่าทีหลังว่า ตกกลางคืนมันก็จะลุกมาอยู่สวบๆ สาบๆ แต่ตกตะวันแจ้งก็เอาผ้าคลุมหัวมาทำงานอย่างคนอื่น เขาให้ทำอะไรก็ทำ ไม่มีบ่นอิดอ่อน แรงมากกว่าเก่าด้วยซ้ำ
ฉัน : แล้วมามั่นใจว่าเขาถูกผีกุมตอนไหน
(นอกเรื่อง ตอนที่ฟังพ่อเล่าอีกครั้งในยุคปัจจุบัน ฉันยังอดคิดไม่ได้ว่า หรือชะรอยผู้หญิงคนนั้นจะเป็นโรคซึมเศร้า มีปัญหาทางจิตใจ เพราะอาการหลายอย่างคล้ายกับคนที่มีปัญหาสุขภาพจิตอยู่มาก)
พ่อ : มันเริ่มเยียะหื้อคนอื่น
คำว่า *เยียะหื้อ* ในภาษาเหนือ หมายความถึงการทำร้ายร่างกาย
พ่อเล่าเพิ่มว่า เมื่ออยู่ไปได้หลายวัน นอกจากอาการแปลกๆ แล้ว ผู้หญิงคนนั้นเริ่มมีอาการคลุ้มคลั่งเป็นช่วงๆ โดยแรกสุด เป็นการกระโดดเข้าไปบีบคอเพื่อนร่วมงานที่อยู่ใกล้ๆ
จากเหตุการณ์แรก ก็มีคนเข้ามาช่วยจับแยก และสอบถามที่ไปที่มา แต่นอกจากคู่กรณีจะบอกว่าไม่มีเหตุการณ์ใดๆ ก่อนหน้า ไม่ได้เกลียดชังกัน ไม่ได้พูดกัน อยู่ๆ ผู้หญิงคนนั้นก็กระโจนข้ามแปลงดินมาบีบคอ พอซักถามคนก่อเหตุก็หลบตาไม่สู้หน้า แต่ไม่มีคำพูดใดออกปาก พอเขาจับแยกก็แยกไปแต่โดยดี
แต่เหตุการณ์ครั้งแรกยังไม่ทันจาง วันต่อมา ผู้หญิงคนนั้นก็เข้าบีบคอคนอื่นอีก ตอนนั้นเองที่เริ่มกลายเป็นความหวาดระแวง และเริ่มพูดกันว่า หรือนางจะถูกผีกุม
เกี่ยวกับคำว่า “ผีกุม” หรือในภาษาเหนือออกเสียงว่า “ผีกุ๋ม” พ่อได้อธิบายเพิ่มว่า มีความต่างจากการถูกผีสิงอยู่อีกเล็กน้อย
คำว่า ผีกุม หมายถึงการที่ผีเข้ามาบังคับเอาจิตใจของคนๆ หนึ่งเป็นช่วงๆ หรือเหมือนเกาะประกบติดตัวอยู่ จะมีอำนาจเหนือจิตใจเป็นระยะ โดยมากจะเกิดได้ตอนดวงตก จิตตก ร่างกายหรือจิตใจอ่อนแอ แต่ผีจะกุมได้มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับความเข้มแข็งของร่างนั้นด้วย
ฟังดูเหมือนช่วงรับเชื้อไวรัส และมีการต่อสู้กันกับภูมิต้านทานในตัว
แต่ “ผีสิง” คือภาวะที่ผีได้เข้าครอบครองทั้งกายและใจของคนๆ นั้นได้เต็มที่ครบบริบูรณ์ คือครอบครองทั้งสติสัมปชัญญะ มีอำนาจเหนือร่าง เหนือจิตใจ เหนือความคิด ร่างของคนที่ถูกผีสิงเปรียบของเปล่ากลวงที่มีวิญญาณขับเคลื่อนอยู่ด้านใน
การกระทำใดๆ จะไม่ใช่การกระทำของคนนั้นๆ อีกต่อไปแล้ว
พ่อ : ตอนนั้นมันก็นับเป็นระยะของการถูกผีกุม ยังไม่ถึงกับสิงเข้าเต็มตัว เพราะพอมันมีสติรู้ตัว มันก็จะยังพูดจาโต้ตอบกับคนได้บ้าง แต่พอมันไม่มีสติ ก็จะเริ่มไล่ทำร้ายคน
ฉัน : แล้วพ่อไปไล่ผีตอนไหน
พ่อ : วันที่มันเริ่มไล่บีบคอคนในบ้าน
เหตุการณ์จากคำบอกเล่าของพ่อ
มีคนมาร้องตะโกนเรียกหาพ่อ ว่าให้ไปช่วยดูคนถูกผีเข้าหน่อย
พ่อกำลังจะกินข้าวเย็น แต่มีคนมาขอ จึงรีบแต่งตัวลงเรือนตามเขาไป
พอไปถึงบ้านผู้หญิงคนนั้น ก็เห็นว่ามีคนออกันอยู่เต็มลานข่วงบ้าน ส่วนเจ้าของบ้านอยู่กันด้านบน เมื่อพ่อไปถึงก็มีคนรีบออกมาเชิญให้ขึ้นบ้าน
บนบ้าน ผู้หญิงคนนั้นถูกมัดไว้กับเสาเรือน นั่งเหยียดขา ผมปรกหน้า สภาพไม่เหมือนคนเป็นๆ อีกต่อไป และรอบๆ คือกลุ่มผู้ชายคอยคุมเชิงอยู่
ฉัน : แล้วเขารู้เหรอว่าพ่อไล่ผีได้
พ่อ : ตอนแรกเขาก็ไม่รู้หรอก ตามจริงตอนไปอยู่ที่นั่นก็ไม่ได้บอกใคร เขาก็แค่รู้ๆ ว่าเราเป็นหนาน เคยเป็นมัคทายก แล้วคงไม่รู้จะไปพึ่งทางใดกันแล้ว
ฉัน : แล้วเขาไม่มีอาจารย์ทางบ้านเขาหรือ
พ่อ : มี แต่มาแล้วเขาเอาไม่ไหว จนคนบอกว่าให้ลองมาเรียกพ่อไปดู
เหตุการณ์ต่อจากนั้น...
พ่อ : พ่อก็บอกเจ้าบ้านว่า ขอน้ำหนึ่งแก้ว กระดาษหนึ่งแผ่น ดินสอหรือปากกาก็ได้ เอามาให้หน่อย
ฉัน : พ่อกลัวมั้ยตอนนั้น
พ่อ : จะว่าไม่กลัวก็เกรงอยู่ (หัวเราะ) คือมันอยู่ต่างที่ต่างถิ่น เราไม่รู้ความเป็นมาของเขา ไม่รู้ผีตัวใด มาจากไหน แต่จะว่ามั่นใจก็มั่นใจแหละ เพราะเราก็มีครูบาอาจารย์เหมือนกัน
จากนั้น พ่อก็เขียน “อางไล่ผี” ที่เป็นกลวิธีลากเส้นโดยไม่ยกปากกา ล้อมรอบตัวอักขระที่เป็นคาถาไล่ผี แล้วบริกรรมคาถาเป่าทำน้ำมนต์
พ่อ : ตอนที่พ่อเริ่มทำ มันก็เริ่มสนใจพ่อเหมือนกัน เริ่มดิ้น แรงมันนี่เยอะน่าดู คนใหญ่ๆ ช่วยกันจับไว้ยังแทบจะไม่ไหว พ่อก็บอกเขาว่า จับมันไว้ให้ดีๆ ละกัน
และแล้ว ด้านล่างกลางข่วงก็มีคนทยอยกันมาเรื่อยๆ เพราะเสียงบอกปากต่อปากว่าพ่อกำลังจะทำพิธีไล่ผี ดูเป็นเรื่องอึกทึกทีเดียวสำหรับหมู่บ้านเล็กๆ ชายป่า
แล้วช่วงเวลาสำคัญก็มาถึง พ่อบริกรรมคาถาเสร็จก็ขอไฟมาจุดเทียน จากนั้นก็เผากระดาษที่เขียนอางไล่ผีลนเอาเขม่ากระดาษนั้นให้ตกลงไปในแก้วน้ำมนต์
น้ำในแก้วมีสีดำขุ่นๆ พ่อเป่าคาถาเสกทับ แล้วนำเข้าบังคับกรอกปากผู้หญิงคนนั้น
ฉันมาคิดย้อนหลังว่า ฉากและเหตุการณ์ที่พ่อเล่า ดูเหมือนบรรยากาศในหนังไทยอยู่มาก ทั้งการที่มีคนมาชุมนุมดูการไล่ผี การจับคนถูกผีสิงมัดไว้ และเต็มไปด้วยความลุ้นระทึกว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป
แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องในหนัง เพราะเป็นเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในชีวิตของพ่อ
พ่อ : พอน้ำเข้าปากเท่านั้นแหละ มันก็ดิ้นพรวดพราด ร้องหุยโหยหวนขึ้นมา ทีนี้ละ คนก็ฮือกันขึ้นมาดู
ฉัน : แล้วผีออกไหมพ่อ
พ่อ : ออกสิ พอมันดิ้น พ่อก็เข้าว่าคาถาซ้ำ จนสักพักหนึ่งมันก็ฮากออกมา ฮากแบบโก่งคอพุ่งเลยนะ แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยๆ สงบลง
จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ชาวบ้านได้รับรู้กันในตอนนั้นเองว่า พ่อมีวิชาไล่ผี และเคยเป็นพ่ออาจารย์หมอผีมาก่อน
มีเกร็ดอยู่เล็กน้อยว่า สำหรับทางภาคเหนือนั้น เราไม่มีคำว่า “หมอผี” เพราะจะเรียกกันเพียงว่า “พ่ออาจารย์” หรือ “พ่อครู แม่ครู” เท่านั้น + (และไม่มีคำว่า “แม่มด” แต่มีคำว่า ผีมด-ผีเม็ง ซึ่งเอาไว้ค่อยเล่าต่อไป)
และจากเหตุการณ์นั้นเอง ทำให้พ่อกลายเป็นที่โจษขาน ได้รับการนับถือจากชุมชนอย่างรวดเร็ว ว่าที่แท้พ่อเป็นอาจารย์หนานหมอผี จนคนมาขอให้พ่ออยู่ต่อ จะให้เป็นมัคทายกอีกทาง
สำหรับผู้หญิงที่ผีเข้านั้น เมื่อพ่อทำพิธีเสร็จสิ้น ก็ไล่ผีออกจากร่างสำเร็จ แต่ยังต้องมีพิธีอื่นๆ ตามมา คือการไปเสาะหาจุดที่ผีตัวนั้นสิงสถิตย์ ค้นหาแรงจูงใจที่ผีมาเข้าร่าง ทำการส่งสะตวง ส่งผี สะเดาะห์เคราะห์สืบชะตาให้
เมื่อเสร็จสิ้นทุกอย่างดีแล้ว ผู้หญิงคนนั้นก็กลับมากินข้าวกินน้ำ หลับดีนอนดี ไม่นานช้าก็กลับมาตุ้ยพีดีงาม ดำเนินชีวิตไปตามปกติ เป็นที่ลุล่วงไป
เท่าที่ได้ฟังจากพ่อ และมีญาติผู้ใหญ่เคยอยู่ในเหตุการณ์กันหลายคน ทราบมาว่าพ่อเคยได้ไปไล่ผีอยู่หลายครั้ง เพียงแต่บางครั้งไม่ได้เป็นการไล่ผีสิงร่างกันจะๆ แต่เป็นการไปทำพิธีดีลกับผีที่มาหลอกหลอนอาละวาดต่างๆ นานา
อย่างที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของป่าช้าเก่า พ่อก็เคยเล่าให้ฟังว่า ครูกี่คนๆ ก็มาอยู่บ้านพักครูไม่ได้ การสอนหนังสือมีอุปสรรคมาก ผีหลอกกลางวันแสกๆ ก็มี จนต้องมาเชิญพ่อไปไล่ผีให้จึงสามารถกลับสู่สภาวะปกติ และมีที่ทำการ อบต. อีกตำบลหนึ่ง (ต่างอำเภอ) ผีดุมาก พ่อก็เข้าไปแก้ไขให้
และในการไล่ผีทุกครั้ง พ่อว่าก็ใช้ “อางไล่ผี” นี่แหละ เป็นส่วนประกอบสำคัญ