ปู่ของเราตายเพราะผี โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์
มีสิ่งที่น่าสนใจอยู่อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นข้อที่ฉันเองเพิ่งมาคิดสังเกตย้อนหลังกลับไป คือการเกี่ยวข้องกับเรื่องภูติผีปีศาจต่างๆ ในวงศ์ตระกูล
ดังเช่นเรื่องเล่าต่างๆ ที่เป็นเรื่องฟังกันมาตั้งแต่เด็ก จากพวกญาติผู้ใหญ่ และหลายเรื่องก็เคยมีพยานหลักฐานเป็นตัวบุคคล เพียงแต่ว่ามาถึงปัจจุบัน ผู้คนเหล่านั้นก็สิ้นอายุขัยกันไป เช่น พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย และเพื่อนบ้าน คนในเรื่องราว ก็เสียชีวิตกันไปหมดแล้ว
อย่างเช่น เรื่องของปู่ หรือพ่อของพ่อ
เท่าที่จำความได้ ฉันไม่เคยได้เห็นหน้าปู่ และรู้เรื่องราวของปู่น้อยมาก ซึ่งก็คงไม่แปลก เพราะปู่เองเสียชีวิตไปตั้งแต่ตอนที่พ่ออายุไม่กี่ขวบ
พ่อเล่าให้ฟังว่า วันที่ปู่เสียชีวิตนั้น พ่อยังเป็นเด็กมากๆ อายุน่าจะราว 4-5 ขวบ ยังไม่เข้าใจว่าความตายหรืออะไร เมื่อคนบอกว่าปู่ตายแล้ว พ่อก็ได้แต่ปีนขึ้นไปอยู่บนต้นมะขาม และมองดูความชุลมุนเบื้องล่างอย่างงุนงง
พ่อว่า ตอนนั้นเด็กจนไม่รู้ว่าความตายมันคืออะไร จะร้องไห้ก็ยังไม่ได้ร้อง
แต่ว่า เมื่อถามว่า สาเหตุการตายของปู่คืออะไร ทุกคนจะบอกตรงกันว่า ปู่ตายเพราะผี
พ่อเล่าให้ฟังว่า เมื่อพ่อโตขึ้น ก็ได้รับฟังเรื่องราวของพ่อตัวเองมากขึ้น จากคำบอกเล่าของย่า (แม่ของพ่อ) และผู้คนในหมู่บ้าน และสรุปใจความได้ว่า
ปู่ของพ่อเป็นคนแปลกสำหรับคนทั่วไป ว่ากันว่า เป็นคนที่ชอบใช้ชีวิตอยู่ในทุ่งในป่า มากกว่าจะอยู่ในหมู่บ้าน ปู่ไม่ชอบสวมรองเท้า ไว้ผมยาวกว่าผู้ชายทั่วไป ชอบกินข้าวกับผลไม้ ไม่นิยมกินเนื้อสัตว์ เป็นคนที่ไม่ได้บวชเรียนแต่ก็มีคาถาอาคม ปู่มีพี่ชายคนหนึ่ง ชื่อไจยะ (หรือเรียกว่า จาย พ่อออกเสียงว่า ลุงจาย) เป็นกวี
ที่ว่าเป็นกวี คือมีอาชีพเขียนค่าวเขียนจ๊อย (บทร้อยกรองภาคเหนือ) ตามแต่จะมีคนขอให้เขียน แลกกับเงินเล็กๆ น้อยๆ ก่อนพ่อจะเสียชีวิตนั้นยังเคยได้เล่าว่า มีเพื่อนพ่อคนหนึ่งบอกว่า ได้เจอบทค่าวของลุงจาย อยู่ที่ห้องสมุดในวัดสวนดอก แต่ก็ไม่รู้เท็จจริงอย่างไร เพราะยังไม่เคยได้ไปสืบค้นดูสักที
ฟังดู ตระกูลของพ่อก็เป็นตระกูลที่แปลกจริงด้วย เพราะพ่อของพ่อก็ดูจะใช้ชีวิตเยี่ยงฤาษีชีไพร (แต่มีเมีย) ส่วนลุงก็มีอาชีพเป็นนักกวี ซึ่งอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ ทำให้พ่อเองก็เป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอน และสืบทอดอุปนิสัยชอบเขียนค่าวเขียนโคลงมาโดยตลอด
กลับมาถึงการตายของปู่กันบ้าง
เล่ากันว่า เช้าวันหนึ่ง ปู่ก็เข้าป่าใกล้หมู่บ้าน ซึ่งจะมีอาณาบริเวณหนึ่ง เรียกกันว่าห้วยเสือแผ้ว ชาวบ้านว่าเป็นจุดที่ผีดุผีกั่น และถ้าไม่จำเป็นจริง ชาวบ้านมักจะเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่น
แต่วันนั้น เมื่อปู่เข้าไปเสาะหาของป่าจนถึงเวลากลับ ก็ตัดสินใจลัดมาทางห้วยเสือแผ้ว เพราะจะทำให้ถึงหมู่บ้านเร็วขึ้น แต่พอถึงบริเวณห้วยนั้น จู่ๆ ต้นไม้ทั้งหมดในบริเวณก็สั่นไหวเหมือนมีคนจับเขย่า แล้วเริ่มไหวโยกรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดเสียงอื้ออึงไปทั้งป่า เหมือนมีพายุเกิดขึ้นฉับพลัน โดยที่ท้องฟ้าเป็นปกติดี
ในยามปกติ ปู่ก็ไม่ได้เป็นคนกลัวผีกลัวสางจนเกินไป คือมีความเชื่อเรื่องผีเช่นเดียวกับผู้คนในชุมชน แต่ไม่ใช่คนขี้ขลาดตาขาว ทว่า เมื่อปู่รู้สึกว่าไม่ชอบมาพากล จึงคิดจะหันหลังกลับ
แต่ดูเหมือนสถานการณ์กลับรุนแรงมากขึ้น ปู่จึงตัดสินใจออกวิ่ง ต้นไม้ก็ล้มไล่ตามหลัง ปู่วิ่งๆๆๆ วิ่งยาวมาจนกระทั่งมาถึงบ้าน ล้มลงหมดแรงกลางลานข่วง ตะโกนว่า ผีหลอกกู ผีหลอกกู
ตอนนั้นย่าอยู่บ้าน ก็ตกอกตกใจมาก รีบไปร้องเรียกตามหาคนมาช่วย ระหว่างนั้นมีคนถามว่าเกิดอะไรขึ้น ปู่ยังมีสติเล่าได้ว่าถูกผีที่ห้วยเสือแผ้วหลอก ผีโน้มต้นไม้ลงปิดทาง ผีจะเอาต้นไม้ทับปู่ จากนั้นก็มีคนเข้ามาช่วยกันอุ้มหามปู่ขึ้นบ้าน แล้วหมอยาประจำหมู่บ้านชื่อพ่อน้อยกาวิลก็มาต้มน้ำสมุนไพร เข้าช้อนคอปู่ เตรียมจะกรอกยาลงปาก
แล้วปู่ก็ตายลงตอนนั้นเอง
พ่อเล่าถึงว่า ถ้าเป็นยุคสมัยปัจจุบันนี้ เขาอาจวินิจฉัยว่า ปู่หัวใจล้มเหลว หัวใจวาย ตายจากการวิ่งด้วยความหวาดกลัวจากป่าถึงบ้าน แต่ในสมัยนั้น เหตุการณ์ที่เกิดทั้งหมด ผู้คนก็สรุปย่อเพียงว่า ปู่ถูกผีหลอกตายมีเกร็ดเล็กๆ อยากแทรกไว้ด้วย 2 อย่าง จากเรื่องเล่าข้างบนนี้ คือเรื่อง “ห้วยเสือแผ้ว” ที่ถือว่ากันว่าอาถรรพ์มาก ในวงศ์ตระกูลของเรา ก็มีน้าชายอีกคนหนึ่งที่ล้มป่วยลงจนเสียชีวิต และผู้คนก็เล่ากันว่า เป็นเพราะไปทำฝายแม้วที่ห้วยเสือแผ้วนี้เอง
โดยทุกวันนี้ ภรรยาของน้าชายก็ยังเล่าย้อนให้ฟังว่า เมื่อน้าชายเริ่มป่วย มีช่วงที่อาการเหมือนถูกผีสิง หน้าตาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เหมือนไม่ใช่คนเก่า จากคนที่ใจดีก็กลายเป็นคนดุร้าย โมโหฉุนเฉียว ถึงขั้นอาละวาดไม่เว้นแต่ละวัน และมีครั้งหนึ่ง ญาติคนหนึ่งมาเยี่ยม เห็นผู้หญิงผมยาวปิดหน้า นั่งคร่อมทับบนอกน้าชายอยู่
กับอีกเรื่องหนึ่ง ในสมัยที่ฉันเองอายุประมาณ 13-14 ปี เป็นยุคที่ในหมู่บ้านจะมีโทรทัศน์จำนวนน้อย มีแค่ในบ้านคนมีฐานะเท่านั้น คืนหนึ่งขณะที่กำลังนั่งดูโทรทัศน์ในบ้านหลังหนึ่ง ร่วมกับเจ้าของบ้านและคนอื่นๆ (คือเราไปดูในบ้านคนอื่น) ก็มีคนวิ่งพรวดพราดขึ้นมาบนเรือน
ฉันจำเหตุการณ์นี้ได้แม่นยำ เพราะคนที่วิ่งขึ้นมาเป็นเพื่อนเรียนมาด้วยกัน ชื่อ ตาล เป็นเด็กผู้ชายผิวคล้ำ ตัวแกร็นๆ ปกติเป็นคนสายลุย สายห้าว ตาลนี่เองที่เคยพกมีดไปโรงเรียน และประกาศว่าจะเอาไว้แทงครู
แต่คืนนั้น ตาลวิ่งขึ้นมาบนเรือน ตอนที่ฉันเองนั่งอยู่ใกล้บันได ตาลหอบแฮ่กๆ ร้องว่า โดนผีหลอก
จุดที่ตาลโดนผีหลอก คือบริเวณสามแยกของหมู่บ้านใกล้กับทางเข้าโรงบ่ม ตรงนั้นจะมีช่วงสั้นๆ ที่มีกอไผ่ขึ้นเรียงกันหลายกอ
ตาลเล่าว่า ตาลไปบ้านใครสักคนมา แล้วกำลังจะกลับบ้าน ก็เดินมาตามปกติ จนถึงบริเวณดังกล่าว ทันใด กอไผ่ทั้งหมด ก็สั่นไหวแล้วโน้มลงปิดทาง
ตาลว่า กอไผ่มันมูบ (โน้ม) ลงขวางถนน ตาลต้องพยายามวิ่งฝ่ากิ่งไผ่ออกมา พอพ้นแล้วก็วิ่งสุดฝีเท้า จนเห็นแสงไฟสว่างที่บ้านดูทีวี จึงพุ่งเข้ามา
ฉันเองมาคิดย้อนหลังว่า กรณีต้นไม้ล้มลงปิดทางเป็นสิ่งที่น่าสนใจ เพราะจากเรื่องของปู่ และเรื่องเล่าของตาล ซึ่งเรื่องหลังนั้นฉันเองอยู่ในวันที่เกิดเหตุการณ์ และตาลก็ไม่ได้เมา ไม่ได้เสียสติ เป็นสิ่งที่พ้องพานกันอยู่ไม่น้อย
และสำหรับเพื่อนคนนี้ ต่อมาก็เสียชีวิตตอนอายุสักราวๆ 15-16 ปี ทราบว่าไปโดนไฟดูดตายที่ไหนสักแห่ง เป็นคนอายุสั้นอย่างคาดไม่ถึง
ประสบการณ์เรื่องภูติผีวิญญาณนั้น จะว่าไปแล้ว จึงเป็นสิ่งที่ค่อนข้างจะอธิบายได้ยาก เพราะกับคนที่มีประสบการณ์ตรง ก็จะเป็นอีกอย่าง คนที่ไม่มีประสบการณ์ก็จะเป็นอีกอย่าง แต่ตัวฉันเอง อยู่กับเรื่องราวที่ดูเหนือธรรมชาติเหล่านี้ จนอดคิดไม่ได้ว่า คือทั้งหมดนี่ล่ะ มันก็คือความเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง
ตอนหน้า จะมาเล่าเรื่อง “ผี” ที่เกี่ยวข้องกับบรรพบุรุษฝั่งแม่บ้างค่ะ