เมื่อทวดหม่อนสู้กับผี โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์
สำหรับบรรพบุรุษฝั่งแม่นั้น ยาย (แม่ของแม่) สืบเชื้อสายมาจากลาว แต่ในสมัยนั้นเรียกกันว่า ขมุ เท่าที่สอบถามจากพ่อแม่มา ความว่าอพยพกันมาจากเมืองไชยะบุรี น่าจะเป็นกลุ่มชนเผ่าขมุที่อยู่ในแถบถิ่นนั้น
พ่อของยาย (ถ้านับจากตัวฉันแล้วก็คือทวด ทางเหนือเรียกว่า หม่อน) ชื่อว่า งาย
หม่อนงายเป็นคนเลี้ยงช้าง อพยพจากลาวมาพร้อมกับเพื่อนๆ จำนวนหนึ่ง ซึ่งต่อมา ก็ได้สัญชาติเป็นคนไทย อำเภอตั้งนามสกุลให้ โดยกลุ่มเพื่อนที่มาด้วยกันก็ใช้นามสกุลเหมือนกัน แต่จะรับรู้กันเองในแต่ละวงศ์ตระกูลว่า ไม่ใช่พี่น้องร่วมสายเลือด
สำหรับหม่อนงายนั้น มีงานเป็นคนเลี้ยงช้าง มีช้างของตัวเองหลายเชือก พ่อแม่เล่าว่า ในยุคของหม่อนจัดเป็นคนมีฐานะร่ำรวยคนหนึ่งในหมู่บ้าน ขนาดว่าบนบ้านจะมีกระบุงใส่ “เงินแถบ” เป็นกระบุงๆ เวลาหม่อนดี (ภรรยาของหม่อนงาย) จะเอาเงิน ก็ใช้ถ้วยใบเล็กจ้วงตักเอา บางครั้งเงินก็ร่วงผ่านร่องไม้กระดานลงใต้ถุน แต่ก็ร่วงแล้วร่วงไป มีเงินมากขนาดนั้น
สำหรับยาย ตอนยายเด็กๆ ก็จะมีหน้าที่ช่วยปลูกฟักเขียวเอาไว้ให้ได้มากที่สุด เพื่อคอยสับโยนให้ช้างตกมันกิน
พ่อเล่าว่า ตอนที่พ่อเป็นหนุ่มน้อย ในบริเวณบ้านแม่ยังมีช้างอยู่หลายเชือก และการเติบโตมากับการมีช้างในบ้าน ทำให้เมื่อครั้งหนึ่งมีคนเอาช้างมาแสดงที่โรงเรียน แม่จึงไม่ไปดูอย่างคนอื่น ส่วนตัวฉันมีประสบการณ์แปลกๆ เกี่ยวกับช้าง และควาย หากไม่จำเป็นจริงๆ จึงไม่นิยมเข้าใกล้สัตว์สองชนิดนี้
แต่เมื่อหม่อนทั้งสองเสียชีวิตไป ช้างก็สูญหายตามไปด้วย เข้าใจว่าคงจะมีการขายช้างไปเมื่อหม่อนเริ่มเข้าวัยชรา จนมาถึงยุคของฉัน บ้านเราก็ไม่มีช้างอีกแล้ว
มาถึงเรื่องผี ที่เป็นขนาดตำนานเล่าขานของหมู่บ้านในช่วงเวลาหนึ่ง คือการสู้กันระหว่างผีกับหม่อนงาย
พ่อเป็นคนเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง โดยบอกว่าฟังมาจากครูบาอีกทีหนึ่ง ชื่อว่าครูบาคำจันทร์ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสคนแรกของวัดในหมู่บ้าน และเป็นครูบาที่พ่อได้บวชเณรร่ำเรียนศึกษาด้วย
เรื่องมีว่า จู่ๆ ก็เกิดเหตุการณ์มีผีตัวหนึ่ง เข้ามาก่อกวนพระเณรถึงในวัด ตอนนั้นพระเณรในวัดก็เจอกันหลายรูป เป็นต้นว่า มาเคาะประตูหน้าต่าง มาทำเสียงปึงปังรอบกุฏิ มาเป็นเสียง เป็นกลิ่น ขนาดว่าบางวันพระเณรทำวัตรกันอยู่ ก็ทำเสียงดังโครมครามลั่นวัด พอยกขบวนไปดูกันก็ไม่มีอะไรตกหล่นสักอย่าง
จนกระทั่งผีตนนั้นเริ่มก่อกวนถึงครูบา
ครูบาเล่าว่าในสมัยนั้น ครูบาจะมีถุงผ้ามัดห่อสตางค์เอาไว้ เมื่อได้ปัจจัยถวายมาก็จะรวบรวมเก็บไว้ด้วยกัน จนวันหนึ่ง มีเงินตกอยู่ที่พื้นกุฏิหนึ่งเหรียญ ครูบาก็เก็บเข้าถุงรวมไว้
แต่วันต่อมา เมื่อแกะถุงออกมานับ เงินหนึ่งเหรียญนั้นก็หายไป ครูบาให้นึกงุนงงอยู่ แต่ก็ยังไม่ได้สนใจมาก แต่แล้วก็มีเงินร่วงที่พื้นอีกเหมือนวันก่อน
เหตุการณ์จากนั้น เหมือนเรื่องเล่นตลกกัน คือครูบาจะเจอเงินร่วงอยู่บนพื้นกุฏิ ก็เก็บใส่ห่อผ้า มัดถุงเอาไว้ วันถัดมา ต่อให้นับไว้อย่างแน่นอน เงินส่วนเกินก็จะหายไป แต่อีกวัน เงินก็จะปรากฏขึ้นอีก
เรื่องเกิดขึ้นอยู่หลายวัน จนครูบาเริ่มเอะใจขึ้นว่า เป็นเหตุการณ์ไม่ปกตินัก จึงเรียกพระเณรในวัดมาสอบสวนว่า ใครเป็นคนกลั่นแกล้งครูบาเล่น ก็ไม่มีใครยอมรับ และตามธรรมดา พระเณรทั้งหลายก็มีน้อยคนนักจะกล้าเข้าไปกุฏิพระครูบาโดยพละการ
จนกระทั่งวันหนึ่ง ถุงผ้าใส่เงินก็หายไปทั้งห่อ และพบว่าไปแขวนอยู่บนเพดานกุฏิ
แล้ววันนั้น เรื่องก็แดงออกมาว่า เป็นฝีมือของผีตนหนึ่ง
ครูบาเล่าให้พ่อฟังว่า วันที่เห็นผีตัวนั้น คือวันที่มันกำเอาถุงห่อผ้าของครูบาไต่เดียะๆ อยู่บนเพดานกุฏิ ทำหน้าตาเยาะเย้ยถากถาง ครูบาพยายามตวาดไล่ และเรียกให้มันเอาถุงเงินกลับลงมา มันก็ไม่ยอมเอาลงมาให้ ครูบาจึงให้พระเณรรีบไปตามชาวบ้านมา
หม่อนงายสะพายดาบมาถึงวัดพร้อมกับชาวบ้านอีกจำนวนหนึ่ง ผีตัวนั้นยังอยู่บนขื่อใต้เพดาน หม่อนงายเป็นคนร่างเล็กปราดเปรียว ปีนเก่ง จึงอาสาปีนขึ้นไปหาผี
เล่ากันว่า หม่อนงายสะพายดาบปีนขึ้นไปหาผี กำดาบจะฟัน ผีกระโดดหนี หม่อนงายกระโดดตาม จากบนเพดานไล่ตามกันลงมาจนลงข่วงล่างหน้าวิหาร ผีตัวนั้นวิ่งออกประตูวัดแล้วปีนขึ้นต้นไม้ที่อยู่หน้ารั้ววัด (พ่อเคยบอกชื่อต้นไม้ แต่ตอนนี้จำไม่ได้แล้ว) หม่อนงายปีนต้นไม้ไล่ตามไป และทันกันในที่สุด
หม่อนงายฟันผีจนตกลงมาสิ้นฤทธิ์ ท่ามกลางสายตาครูบาและชาวบ้านจำนวนหนึ่ง
เรื่องแดงออกมาว่า ที่แท้ผีตัวนั้นเป็นผีที่มีคนๆ หนึ่งเรียกเอามาลองวิชา (พ่อเคยบอกชื่อคนเอาผีมา เสียดายที่ไม่ได้จดบันทึกไว้ ตอนนี้ก็จำชื่อไม่ได้แล้วเช่นกัน) คนนั้นเป็นนักนิยมคาถาอาคม ไปได้วิชาเรียกผีมาใช้ จึงไปเอาผีต่างถิ่นมา แต่ผีตัวนั้นดื้อรั้นมาก วันหนึ่งจึงเอาผีมาปล่อยทิ้งที่วัดเสีย
เรื่องราวจบลงด้วยดี ผีถูกสะกดกลับไป และครูบาก็ได้ถุงเงินคืน ส่วนหม่อนงายนั้น ก็ได้รับคำยกย่องสรรเสริญว่าเป็นคนใจกล้าใจเด็ด เป็นตำนานของการไล่ผีที่อึกทึกครึกโครมที่สุดในหมู่บ้าน
การที่ตระกูลของเรา อยู่มากับเรื่องเล่าเหล่านี้ และประสบการณ์เหล่านี้ ก็เป็นเรื่องที่คงจะแปลกไม่น้อยสำหรับผู้คนในที่อื่นๆ แต่สำหรับทางเหนือบ้านเรา หรือในพื้นที่ที่เราอยู่อาศัยนั้น ความเชื่อเรื่องผีมีความมั่นคงแข็งแรงมาก และประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับภูติผีปีศาจได้รับการยอมรับกันเป็นปกติ
บางทีฉันเองก็คิดว่า เมื่อมีจิตใจที่เปิดกว้างให้กับความเชื่อที่แตกต่างหลากหลาย และมีการให้พื้นที่สำหรับชุดประสบการณ์ต่างๆ ก็เป็นสิ่งที่มีความหมาย เพราะเมื่อใช้ประกอบกับสติปัญญา วิจารณญาณ เรื่องราวเหล่านี้อาจนำเราไปสู่มิติที่กว้างไกลกว่าที่จะนึกคิดได้-ก็ได้
หรือแม้แต่เรื่องในอดีตภพชาติ ตอนอายุยังน้อยฉันเองก็ไม่ได้เห็นความสำคัญ แต่ไม่กี่ปีมานี้เองก็ได้มีประสบการณ์บางอย่าง และทำให้ตอนนี้มีความเชื่อในส่วนตัวว่า สิ่งเหล่านี้มีอยู่จริง และวิธีเข้าถึงสิ่งเหล่านี้ก็เป็นไปได้ เพียงแต่มันจะไม่ได้เกิดขึ้นโดดๆ ไร้ที่ไปที่มา จะต้องรวมผลลัพธ์จากจิ๊กซอว์ต่างๆ ที่ประกบกันได้พอดิบพอดีเสียก่อน แล้วเราจึงจะค่อยๆ มองเห็นว่า ภาพเต็มสมบูรณ์แบบของมันคืออะไร
ดั่งเช่นในชาติหนึ่งของฉัน เป็นพระ.