ตุ๊กตาคุณไสย ตอนที่ 2 "เสียงนกนอกหน้าต่าง" โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

ตุ๊กตาคุณไสย ตอนที่ 2 "เสียงนกนอกหน้าต่าง" โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

ตุ๊กตาคุณไสย ตอนที่ 2 "เสียงนกนอกหน้าต่าง" โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ตุ๊กตาคุณไสย ตอนที่ 2 "เสียงนกนอกหน้าต่าง"

จากตอนที่แล้ว

ก่อนอื่น ต้องเล่าให้เห็นภาพเพิ่มเติมอีกสักนิด บ้านที่ฉันอยู่นั้น ตั้งอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ อันที่จริงก่อนหน้านี้ก็ใช้ชีวิตที่กรุงเทพฯ มาโดยตลอด และเคยทำบ้านอีกหลังที่อำเภอสันทราย แต่เมื่อพ่อท่านอายุมากขึ้น ปีที่พ่อได้ 85 ปีแล้ว จึงตัดสินใจมาทำบ้านอีกหลังในที่ดินเดิมของแม่ (เสียไปแล้ว) เพื่อจะได้ดูแลพ่อให้ดียิ่งขึ้น

ในบ้านหลังนี้ เราจึงอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ มีส่วนหนึ่งแบ่งทำออฟฟิศด้วย ดังนั้นก็จะมีคนเข้ามาทำงานกันจำนวนหนึ่ง ในแต่ละวัน

บ้านของเราอยู่ติดกับถนนสายหลักในหมู่บ้าน ด้านหลังติดลำน้ำสายเล็กๆ ข้ามไปก็เป็นทุ่งกว้าง มองเห็นทิวเขาไกลๆ ซึ่งจะว่าไปแล้ว เพราะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ หากเดินอ้อมกลับมาทางทิศใต้และทิศตะวันตก ก็จะเห็นทุ่งนา และฟ้ากว้างอีกฟากฝั่ง

ในแต่ละวัน จึงสามารถมองเห็นพระอาทิตย์ตกได้เพียงแค่เดินรอบระเบียงเท่านั้นเอง

...แต่ในเวลากลางคืน ด้วยความเป็นหมู่บ้านเล็กๆ นี้เอง สักสองสามทุ่ม รอบบริเวณก็จะเริ่มเงียบสงัด ผู้คนในหมู่บ้านส่วนใหญ่ยังเป็นเกษตรกร มีอาชีพทำไร่ทำนา หรือรับจ้างทั่วไป ตกค่ำ อาบน้ำกินข้าวแล้วก็พากันเข้านอน

แต่สำหรับฉัน ยามกลางคืนมักจะเป็นเวลาทำงานอันมีสมาธิ เพราะจะใช้เวลาในการตรวจดวงชะตาไปตามลำดับคิวที่จองไว้ โดยเฉพาะดวงราศีจักรนั้น ค่อนข้างใช้เวลานานเป็นพิเศษ

สมมุติว่าดวงใดมีนัดหมายรับคำพยากรณ์ในวันอังคาร ก็จะเริ่มตรวจดวงตั้งแต่คืนวันจันทร์ และตรวจทานซ้ำเพื่อดูรายละเอียดต่างๆ หรือโฟกัสไปยังเรื่องราวที่เจ้าชะตาได้ถามไว้ ในอีกวันต่อมา

กว่าจะเรียบเรียงออกมาแล้วเสร็จ จึงมักได้ส่งคำพยากรณ์ให้เจ้าชะตาในยามดึกดื่นของคืนที่นัดหมาย เป็นต้น

บางครั้งเมื่อมีเหตุฉุกเฉินเข้ามาแทรก ไม่นับรวมประเภทไฟดับ กระแสไฟขัดข้องจนใช้งานอินเตอร์เน็ตไม่ได้ ก็ทำให้ต้องส่งคำพยากรณ์ล่าช้าไปบ้าง ดังที่มีเคสพิเศษแทรกเข้ามาเช่นนี้

ต่อ...

แต่ในคืนนั้นเอง หลังจากเข้าห้องนอนไปแล้ว เตรียมตัวจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ฉันก็ได้ยินเสียงนกตัวหนึ่งมาร้องอยู่นอกหน้าต่าง เสียงใกล้มาก เหมือนอยู่บนระเบียงข้างห้อง

ตอนแรกนั้น ก็ยังไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นัก คิดว่าเป็นเสียงของนกกลางคืน ที่มักจะมีร้องบ้างตามปกติ นอกไปจากเสียงหรีดหริ่งเรไร เสียงตุ๊กแก เสียงกบเขียดจากทุ่งนา และเสียงน้ำไหลจากฝาย

ส่วนลมพัดใบไผ่ กอไผ่เสียดสี ใบไม้ต้องลม เหล่านี้ เป็นเสียงธรรมชาติที่ได้ยินอยู่ทุกวัน

แต่ในคืนนั้น จากตอนแรกที่ได้ยินรู้สึกสะดุดหูนิดหน่อย เหมือนมีอะไรแปลกๆ แต่ยังนึกไม่ออกว่าแปลกยังไง สักพัก เสียงก็เงียบหายไป ฉันก็เข้าไปอาบน้ำตามปกติ

กลับออกมา ดูเวลาเกือบจะตีสองเข้าไปแล้ว ก็ขึ้นเตียง ปิดโคมไฟ เตรียมตัวจะนอน

แต่ทันใดนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงนกร้องตะเบ็งเซ็งแซ่ขึ้น ซึ่งหนนี้ ไม่ได้ดังเพียงตัวเดียว แต่เป็นเสียงนกที่ร้องโต้ตอบฟังอลหม่านมาก จนอดไม่ได้ ต้องลุกขึ้นมาเปิดม่านหน้าต่างทางทิศใต้ มองหาต้นทางของเสียง นึกในใจว่า หรืองูจะเข้าไปในรังนกกระมัง

มองไปที่ถนน ไฟรั้วส่องเห็นทางรำไร มองเห็นใบกล้วยจากสวนข้างบ้านต้องลมอยู่ไหวๆ แล้วเสียงนกก็เงียบลง

แต่ก่อนที่เสียงนกเซ็งแซ่เหล่านั้นจะหยุดลง มีเสียงคล้ายๆ คนกระแอมในลำคอแทรกมาสองสามครั้ง

ฉันมานึกออกว่า เสียงนกที่ร้องแปลกๆ หนแรกนั้น เพราะมันเป็นเสียงแหบๆ เหมือนเสียงคนกระแอมนี่เอง เป็นเสียงที่ไม่คุ้นหู และพอคิดขึ้นมาเช่นนั้นก็พลันนึกถึงเรื่องที่ภรรยาหลวงผู้นั้นเล่าให้ฟัง

ขณะที่กำลังทบทวนบทสนทนานั่นเอง ก็มีเสียงคล้ายราวระเบียงสั่นไหวเบาๆ (ราวระเบียงเป็นเหล็ก) และได้ยินเสียงนกร้องขึ้นอีก แต่หนนี้มีเสียงเดียว

เสียงนกตัวเดียว ร้องกังวานชัดเจนมาก พร้อมๆ กับเสียงอื่นๆ เงียบกริบไปหมด

ในวันรุ่งขึ้น ฉันไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นให้กับคนที่บ้านฟังทันที แม้ในหลายๆ ครั้ง มักจะมีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดในบ้านเราอยู่เสมอ ซึ่งคนมักจะเอามาถ่ายทอดสู่กัน

อาทิ พนักงานออฟฟิศมองเห็นเงาร่างเดินขึ้นลงตามบันได,

แม่ครัวเห็นผู้ชายร่างสูงใหญ่เดินวนรอบบ้าน แต่พอเดินตามก็หายไปต่อหน้าต่อตา

ลูกเล็กของพนักงานคนหนึ่ง มาถามแม่ว่า ผู้ชายตัวใหญ่ที่ไม่นุ่งเสื้อ สวมกางเกงสีแดง เดินอยู่ภายในบ้าน นั้นคือใคร ฯลฯ

ความที่หลายๆ คนเริ่มชินแล้วว่า บ้านเราอาจจะมี อีกหลายดวงจิต ที่อยู่ร่วมกันในมิติคู่ขนาน

และเป็นที่รู้กันว่า หากเป็นสัมภเวสีอื่น ย่อมจะเข้ามาในบริเวณบ้านไม่ได้ เว้นเสียจากตนทั้งหลายที่ได้รับอนุญาตแล้วเท่านั้น

แต่การที่นกตัวนั้นมาส่งเสียงร้องอยู่นอกหน้าต่าง...

ฉันให้นึกสังหรณ์ใจว่า ที่ผู้หญิงคนนั้นเล่าไว้จะเป็นความจริง และยังไม่ควรจะพูดออกไป

เพราะอะไรนะหรือ

ก็เพราะว่า เมื่อลุกไปเปิดม่านดูอีกครั้ง ก็เห็นคนแก่คนหนึ่งยืนอยู่บนถนน เงยหน้ามองขึ้นมาด้วย ถ้าตาไม่ฝาด คล้ายๆ จะเห็นรอยยิ้มอยู่ในแสงสลัวรางๆ

ฉันเกือบตกใจ แต่ก็รีบรวบรวมสติ ระลึกถึงพระพุทธคุณ และเวทย์มนต์คาถาที่ได้พ่อเคยมอบให้ไว้ และล่าสุดคือที่เรียนมาจากหนังสือ “ตำราไสยศาสตร์” พลางกำหนดจิตเรียกเอาเด็กๆ ทั้งหลายที่มีอยู่ในบ้าน โดยเฉพาะเจ้า “โธวา” ที่มาอยู่ใหม่ ว่าช่วยออกไปดูให้ที นั่นผีหรือคนกันแน่

กะพริบตาอีกที ถนนก็เหลือแต่ความว่างเปล่า ไม่แล้วใจจึงเดินมาเปิดหน้าต่างอีกด้าน...เงียบงัน

นาฬิกาบอกเวลาตี 3

เป็นอันแน่แก่ใจได้ว่า ที่เธอคนนั้นได้บอกมา มีเค้าลางความเป็นจริงอยู่...

(ยังมีต่อ ตอนที่ 3)

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook