ตุ๊กตาคุณไสย ตอนที่ 5 กลิ่นสาบพราย โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

ตุ๊กตาคุณไสย ตอนที่ 5 กลิ่นสาบพราย โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

ตุ๊กตาคุณไสย ตอนที่ 5 กลิ่นสาบพราย โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เรื่องผี และสิ่งลี้ลับ ตุ๊กตาคุณไสย "กลิ่นสาบพราย" 

ผู้หญิงที่เดินเข้ามานั้น ถ้ามองอย่างผ่านๆ ดูจะอ่อนกว่าอายุที่ได้บอกไว้พอสมควร แต่หากพิจารณาให้ดี ก็จะเห็นริ้วรอยกรำกร้าน บอกถึงประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา

เธอถอดรองเท้าไว้ตั้งแต่หน้าประตูบ้าน เดินเข้ามานั่งรอที่ขอบม้านั่งในศาลาโถงกลาง และมองมาด้วยสายตาคาดหวังอย่างยิ่ง

ฉันให้เลขาฯ ออกไปต้อนรับเธอก่อน เพราะยังติดงานอยู่อีกชั่วครู่ และเมื่อปิดแฟ้มได้แล้วก็รีบตามลงไป

เธอยกมือไหว้ ซึ่งก็ต้องรีบยกมือไหว้ตอบ เพราะตามจริงแล้วเธอมีอายุมากกว่า

เธอถามว่า “จะแก้ได้ไหมเจ้า”

อดพิจารณาไม่ได้ว่า เท่าที่ดูจากในพื้นดวง และที่มองเห็นตัวจริงของเธอนั้น ก็ดูมีความสอดคล้องกันอยู่มาก

ความแก่ ความตรากตรำ ความเหนื่อยล้า ล้วนปรากฎชัดเจนบนผิวเนื้อและใบหน้า จนอดนึกเห็นใจไม่ได้

“ก่อนที่พี่จะมาที่นี่ ได้ไปทำอะไรมาบ้างนะ”  ถามเธอซ้ำอีกครั้ง

“ก็...ไปทำมาหลายที่เจ้า” เธอตอบ ลงท้ายภาษาเหนือ เพราะพูดกันเป็นภาษาถิ่นอยู่แล้ว

“อย่างที่เล่าให้ฟังเจ้า ทั้งรดน้ำมนต์ จุดเทียน ทำของมาแก้ สารพัดอย่าง แต่ไม่ได้ผลสักอย่าง”

“แล้วพี่รู้ได้อย่างไรว่า ฝ่ายนั้นเขาทำของใส่?”

 ถามออกไป

“มีคนบอก หรือเป็นแค่ความสงสัย หรือพี่เห็นด้วยตัวเอง”

เธอดูจะนิ่งอั้นไปพักหนึ่ง

แต่เวลาผ่านไปอีกชั่วครู่ เธอก็เริ่มเปิดคำพูดออกมาว่า

ก่อนหน้านั้น มีคนมาบอกว่า สามีของเธอโดนของ และเขาเองก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจนมาก จากเคยรักลูกรักเมีย กลายเป็นอีกคนที่ทำร้ายลูกเมียอย่างไม่น่าเชื่อ และหลงใหลในตัวหญิงนั้น จนกระทั่งออกไปอยู่กินกับอีกฝ่ายอย่างออกนอกหน้า

เธอเล่าว่า ตอนที่มารดาของสามียังไม่สิ้น เธอได้ขอเอาผ้าซิ่นของแม่ นำไปชุบน้ำจนเปียก และเอาโปะหัวสามีในตอนเขานอน ทั้งเอาผ้าซิ่นไปเย็บทำปลอกหมอน

สามีก็กลับมาดีได้ชั่วเวลาหนึ่ง แต่หลังจากนั้นไม่นาน แม่สามีก็สิ้นอายุขัย เหมือนพอของคุ้มหัวเสื่อม สามีก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีก

“แต่มีคนเห็นตุ๊กตา” เธอบอกในส่วนสำคัญ “มันเอาผ้าเสื้อของอ้ายเขา (สามี) และเสื้อผ้าตัวเอง ไปให้คนทรงคนหนึ่งมัดผูกติด ทำเป็นตุ๊กตา”

“มีคนอื่นเคยทำให้เขาอีกมั้ย”  ถาม

“เจ้า ก่อนหน้าป็นผู้หญิงแก่ทำให้ พอได้ผ่าซิ่นบุญแม่คุ้มหัวก็ทำลายอาถรรพ์ได้บ้าง แต่พอหมดบุญผ้าซิ่น นางคนนั้นก็ไปหาคนทำของให้ใหม่ หนนี้เป็นคนทรง...”

 พูดออกไปว่า

“คนที่ทำของในทางอกุศล ก็จะแพ้ภัยตัวเองไปนะ”

“เจ้า คนทำคนแรกตายไปแล้วเจ้า ส่วนคนทรงนี้ก็เห็นว่าตอนนี้เดินไม่ได้แล้วเจ้า”

มองดูผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าแล้ว ในส่วนลึกของจิตใจ ก็อดนึกเวทนาไม่ได้ เวลาที่คนตกอยู่ในกองทุกข์ และวนเวียนอยู่กับสิ่งที่ไม่รู้ว่าจะหาทางออกอย่างไร

เหมือนกำลังตกอยู่ในแอ่งน้ำวนของความเจ็บปวด

เปียกปอนอยู่กับความทุกข์ทรมาน

ความอ่อนเปลี้ย ความมืดมน

รู้สึกตลอดเวลาว่า ตัวเองกำลังตกในภาวะใกล้สิ้นแรงเต็มที อาจไม่มีวันที่จะลุกมายืนตัวตรงได้อีก

แต่บางที...บางทีแค่ลุกขึ้นมาเท่านั้น ก็อาจจะพบว่า น้ำในแอ่งที่ดูเอ่อนองท่วมท้นนั้น

ก็แค่น้ำขังในกะละมัง

ลึกแค่หัวเข่า

“แล้วพี่ได้ทำของใส่เขาบ้างมั้ย”  ฉันถามออกไปอีกครั้ง

ในสงครามคุณไสย หลายต่อหลายครั้ง ในโลกคู่ขนานอันซ่อนเร้นล่องหนอยู่ เชื่อไหมว่า กระบวนการรบราต่อสู้นั้นมีความดุเดือดเข้มข้นมากมายนัก

หลายต่อหลายคู่ ชิงชัยกันด้วยอาวุธลับต่างๆ นานา อาทิ น้ำมันพราย, ชิ้นส่วนหรือมวลสารจากศพซาก, ดวงจิตภูติผี, คาถาอาคม, หุ่นปั้น, ตุ๊กตา, บริวารสัตว์เลี้ยง วัวธนู, ควายธนู ฯลฯ

แต่ขณะที่ยิ่งทุ่มเท ก็จะยิ่งมีความโกรธแค้น และทวีความรุนแรงต่อกันมากขึ้นตามลำดับ หากแก้ไขได้ อีกฝ่ายก็มักจะหาวิธีเอาคืน และความมืดดำจากจิตใจทั้งสองฝ่าย ก็เริ่มขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ

จนกระทั่ง อาจดูดกลืนแม้แต่ตัวเองเข้าไปในหลุมดำที่ไร้จุดจบ

ผู้หญิงอีกคนนั้น ถึงจะสวยสะและสนุกกับชีวิตไปได้ในแต่ละวัน แต่ในปัจจุบันนี้ เธอก็ไร้ที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง ก่อนหน้านี้ก็เจอสภาพที่ว่าบ้านโดนไฟไหม้ พ่อแม่สิ้นหมด ไปอยู่อาศัยกับญาติก็ถูกขับไล่ไสส่ง จากญาติคนที่หนึ่ง ญาติคนที่สอง ไปจนกระทั่งลงเอยด้วยการอาศัยอยู่ในบ้านของคนที่ไม่ใช่ญาติ

สภาพที่เคยสวยงามผ่องใส คงเป็นเพียงอดีตกาลที่ผ่านไปแล้ว เพราะในตอนนี้ เธอก็ร่วงโรยด้วยความอับจนทางเศรษฐกิจ ถึงขั้นต้องขายบริการเป็นพักๆ ในราคาหลักร้อย

“แต่อ้ายเขาก็ยังไปอยู่กับมัน” ภรรยาหลวงพูด “อ้ายเขากลับมากินข้าวที่บ้านทุกวัน แต่ก็ไปนอนกับมัน ทั้งๆ ที่มันแทบไม่มีที่ซุกหัวอยู่”

แววตาของภรรยาหลวงผู้เจ็บช้ำ ดูจะกร้าวแข็งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่ถ้าคิดเป็นหนังสักฉากหนึ่ง ก็จะมีภาพของสามีที่สวมเสื้อผ้าซอมซ่อมอซอ นอนกอดหญิงอันเป็นที่รัก ผู้อยู่ในสภาพทรุดโทรมพอกัน

ทั้งสองกอดกันอยู่ทุกค่ำคืนในห้องแคบๆ สัปรังเค

ซึ่งอาจถูกไล่ออกไปอีกเมื่อไหร่ก็ได้

“แล้วตอนนี้ สามีพี่ทำงานอะไร”

“เขาก็รับจ้างทั่วไป ก็เรียกให้มาทำงานในไร่บ้าง ให้เขาเป็นรายวัน เขาก็เอาส่วนหนึ่งกลับมาให้เป็นค่าข้าวค่าน้ำ ค่าเลี้ยงดูลูก ตกเย็นก็มาอยู่กินข้าวด้วยกันทุกวัน แต่ตกกลางคืนก็กลับไปนอนกับอีนังนั่น”

“แล้วตอนนี้เขาอยากกลับมาหรือ หรือว่ายังไม่รู้ตัวอยู่?”

“เขาอยากกลับมา คือพอเขามา อีนั่งนั่นก็จะโทรเข้ามาเรียก กินข้าวอยู่ก็ต้องรีบลนลานไปหา เขาก็บอกว่าเขาอยากพ้น เขาขอให้ช่วยหาอาจารย์เก่งๆ มาแก้ให้ เขาจะได้ไม่ต้องไปหามัน”

“แล้วที่ผ่านมา พี่ก็ทำเขาเยอะเหมือนกันใช่มั้ย”

“ก็ทำทุกอย่าง” ภรรยาหลวงตอบ “ก็ไม่แน่หรอก มันถึงอยู่ไหนไม่ได้ ทุกวันนี้จะเป็นบ้าเป็นว้อ อาจารย์ที่ช่วยทำของให้มันก็ตายโหงไปแล้ว...พี่อยากผ่าจ้านมัน ทำให้พี่ได้มั้ย”

มีสิ่งหนึ่งปรากฏในดวงตา แม้เธอไม่ได้พูดมันออกมา เป็นคำว่า ขอให้ชายหญิงคู่นั้นพลัดพรากจากกันเท่านั้นยังไม่พอ เธอหวังให้หญิงนั้นได้พบคำว่าพินาศหายนะจนถึงที่สุด

บริเวณที่เรานั่งคุยกันอยู่นั้น เป็นโถงกลางของบ้าน และอยู่ในส่วนของศาลาใกล้น้ำ จึงได้ยินเสียงน้ำไหลจากฝายเบาๆ และมีลมพัดมาตลอดเวลา

พ่อฟังอยู่เงียบๆ และมีอีกหลายคนในบ้าน ได้เข้ามาร่วมรับฟังอยู่ แต่ก็ด้วยความมีมารยาท

เธออาจแค่ไม่รู้ตัวว่า ที่ห้อมล้อมเธออยู่นั้น ก็คือม่านสีดำโปร่งบางอันเต็มไปด้วยคราบสาปสาง

และแม้จะเป็นเวลากลางวันแสกๆ แต่ฉันก็ยังได้กลิ่นอะไรบางอย่าง ซึ่งแว่บหนึ่งของดวงตาที่เห็นสีขาวมากกว่าสีดำ มันคือกลิ่นอันคุ้นเคย

กลิ่นสาบพรายที่ติดตามตัวเธออยู่

(ตอนหน้า จะถึงบทจบแล้ว)

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook