วิญญาณไม่อยากปล่อยมือ โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์
เล่าถึงเรื่องวิญญาณ มีอีกเรื่องหนึ่งที่เคยจดบันทึกไว้ เหตุการณ์เกิดขึ้นประมาณปี 2554 เดือนพฤศจิกายน แม้เป็นเรื่องที่เกิดกับคนอื่น แต่ก็มีบางเหตุการณ์ได้เข้าไปร่วมรับรู้ จึงเห็นว่าน่าจะเอามาเล่าสู่กันฟัง หรือสำหรับผู้สนใจ อาจเอาไว้ใช้เป็นข้อมูลเพิ่มเติมได้
เรื่องมีว่าในปีนั้น ได้แม่บ้านมาทำงานใหม่หนึ่งคน ซึ่งก็ขอเรียกด้วยนิคเนมว่า คุณพี่ MB มีวันหนึ่ง คุณแม่บ้านเขาก็เล่าให้ฟังว่า
มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง ขับรถยนต์แวะชมสินค้าบนถนนสายหนึ่งแถวเชียงใหม่-ลำพูน
คนเห็นเหตุการณ์เล่าว่า พวกเขาขับๆ จอดๆ ภรรยาจะซื้อโคมลอย แต่สามีเป็นคนเลือกร้าน เจอร้านถูกใจก็จอด แต่ยังไม่ทันลงก็เปลี่ยนใจอีก ขับไป จอดไป ไฟเลี้ยวก็ไม่เปิด จนในที่สุดเจอร้านถูกใจเข้าจนได้
แต่การเบรกกระทันหัน ทำให้รถมอเตอร์ไซค์ที่ตามหลังมาชนเข้าเต็มแรง คนขับมอเตอร์ไซค์อาการเป็นตายร้ายดีเท่ากัน ถูกส่งเข้าห้องฉุกเฉินที่โรงพยาบาล และโคม่าอยู่ในห้องไอซียูตามลำดับ
คนโทรมาแจ้งคุณพี่ MB ตั้งแต่ตอนเกิดเหตุการณ์ คุณแม่บ้านก็อกสั่นขวัญแขวน เพราะหนุ่มนั้นนับถือกันเป็นน้องชาย และเคยผูกสมัครรักใคร่กับญาติผู้น้องของคุณพี่ด้วย
กล่าวว่า หนุ่มกับญาติผู้น้อง (ขอสมุมติชื่อว่าน้องแดง) คบหามาพักใหญ่แล้ว หนุ่มเคยขนของไปอยู่กินกับสาวมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ก็เลิกร้างกลับมา เพราะทางน้องแดงมีลูกกับคู่เดิมที่ตายจากกัน ยังไม่อยากให้หนุ่มมาผูกพันรับภาระ
หนุ่มว่าถึงมีภาระก็เต็มใจ แต่น้องแดงก็อยากให้อนาคตมั่นคงกันกว่านี้ จึงให้เงื่อนไขว่า ถ้าหนุ่มมีรถยนต์ขับเมื่อไหร่ค่อยพูดกัน
ตั้งแต่นั้น หนุ่มก็คิดแต่เรื่องจะออกรถยนต์ใหม่ พยายามเก็บเงินเก็บทอง โดยมีงานหลักเป็นยามประจำหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง แต่ไม่ทันได้มีรถยนต์ ก็มาอุบัติเหตุเสียกับรถเครื่อง
วันที่หนุ่มโคม่าอยู่ในโรงพยาบาล ญาติๆ ของหนุ่มก็ร้อนใจอยากติดต่อน้องแดง ทุกคนรู้ว่าหนุ่มนั้นผูกพันกับอดีตแฟนมาก หากจะเสียชีวิตไป คงตายตาไม่หลับแน่นอนถ้าน้องแดงไม่ได้มาหา
คุณแม่บ้านนั้นตามไปเฝ้าตั้งแต่รู้ข่าว และพอถึงเวลาที่รู้ว่า ยื้อไม่ได้อีกต่อไปแล้ว หนุ่มสิ้นใจลงท่ามกลางความเศร้าโศกเสียใจของญาติพี่น้อง คุณพี่จึงบอกกับศพว่า
"มึงอย่าห่วงนักเลยนะ หนุ่มเอ๊ย แต่ถ้าจะไปก็ไปไม่ได้ แกก็ดลใจให้มันโทรมาหากูเถอะ”
จนถึงวันที่ต้องเอาศพออกจากโรงพยาบาลแล้ว ญาติทุกคนก็ถอดใจกันหมดว่าไม่มีใครติดต่อน้องแดงได้เลยจริงๆ แต่ตอนที่คุณแม่บ้านกำลังจะกลับนั่นเอง ระหว่างรอลิฟต์อยู่ ก็มีเสียงโทรศัพท์เรียกเข้า
น้องแดงโทรเข้ามา
คุณแม่บ้าน : แดง มึงอยู่ไหน! ตามหาตัวเอ็งอยู่เนี่ย โทรไปก็ไม่รับ!
น้องแดง : โทรศัพท์หนูเสีย เปลี่ยนเบอร์ใหม่ด้วย ว่าจะโทรหาน้าก็หาเบอร์ไม่เจอเหมือนกัน วันนี้เพิ่งเจอที่จดไว้ น้าเป็นยังไงบ้างล่ะ
คุณแม่บ้าน : “งั้นรีบมาด่วนเลย อ้ายหนุ่มตายแล้ว”
น้องแดง : ว่าไงนะ! ใครตาย พี่หนุ่มเหรอ เป็นอะไรตาย! ทำไมตาย!
คุณแม่บ้าน : รถชนตาย เพิ่งไปตะกี้นี้เลย
น้องแดงก็ยังไม่เชื่อ จนคุณแม่บ้านต้องย้ำว่า
"มึงไม่เชื่อก็มาดูกับตา กูยังอยู่กับศพตอนนี้ มึงรีบมา! มาปิดตามันเสีย”
เล่าให้ฟังเสร็จแล้ว คุณแม่บ้านก็บอกว่า วันเผาศพจะขอลางานไปร่วมพิธี จึงได้รู้ว่า เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ อยู่เหมือนกัน
หลังวันเผาศพเสร็จสิ้น คุณแม่บ้านก็กลับมา พลางมาเล่าให้ฟังเพิ่มเติมว่า งานศพครั้งนี้ จัดกันแบบงานสมัยใหม่ ไม่ได้ทำอาหารเลี้ยงกันในโรงครัว เพราะจัดของกินเป็นเซ็ท ตกหัวละ 70 บาท ประกอบด้วยน้ำพริกตาแดง ไก่อบน้ำผึ้ง แล้วก็ของหวาน แต่ที่มีรสชาติมาก คือในวันงาน มีแต่คนโจษขานกันเรื่องความเฮี้ยนของวิญญาณผู้ตาย เช่น น้องชายของผู้ตายบอกว่า
"อ้ายมาเดินซุบๆ ซาบๆ รอบบ้านทั้งคืน ขึ้นบันไดบ้าง มาเติ๋น (โถงนอกห้องนอน) บ้าง ผมไม่ได้หลับได้นอน"
ชาวบ้านใกล้เรือนเคียงอีกหลายคนก็บอกว่า ได้พบวิญญาณมา "ควี" (ก่อกวน) สารพัด เจอกันหลายคนหลายบ้าน ซึ่งทั้งหมดนั้น ทำให้น้องแดงอดีตแฟนสาว ยิ่งฟังยิ่งเครียด เพราะรู้อยู่ว่า ผู้ตายผูกพันกับตนเองแค่ไหน
ในวันเผาศพ ขณะชาวบ้านนั่งกินข้าวมื้อเที่ยงร่วมกันก่อนการเคลื่อนศพ ก็มีไก่ตัวหนึ่ง ส่งเสียงร้องดัง “แขะแตกๆๆๆ” อยู่บนบ้าน
“มันเป็นไก่ที่หนุ่มเลี้ยงไว้” คุณแม่บ้านว่า
พอใกล้ถึงเวลาจะเอาศพออกบ้าน ไปประชุมเพลงที่ป่าช้า ไก่ก็กระพือปีกร้อง “ขะแตกๆๆๆ” เสียงดังมากขึ้นเรื่อยๆ จนตัวคุณแม่บ้านอดรนทนไม่ไหว จึงร้องตะโกนไปว่า
“อ้ายหนุ่ม! ไปยุ่งอะไรกับไก่! มานั่งกับพี่นี่มา ลงมากินด้วยกันข้างล่าง!”
พูดจบปุ๊บ ไก่ตัวนั้นก็บินลงมาอยู่ข้างๆ วงข้าว ทำเอาชาวบ้านขนลุกขนพองไปตามๆ กัน
ถึงเวลาเอาศพไปป่าช้า ญาติทุกคนลงมติให้น้องแดงถือภาพผู้ตาย (เป็นประเพณีทางเหนือที่คนใกล้ชิดต้องอุ้มภาพผู้ตายเดินนำหน้าขบวนไปส่งสังขาร) แม้จะเป็นอดีตกันไปแล้ว แต่วันนั้นน้องแดงก็เตรียมตัวมาอย่างดี ถึงกับซื้อรองเท้าใหม่มาสวม ตั้งใจจะส่งวิญญาณให้ดีที่สุด
ปรากฏว่า เดินไปได้ครึ่งทาง สายคาดรองเท้าขาด! คติทางเหนือมีว่า ถ้าเกิดเหตุชะงักใดๆ กับขบวนศพไซร้ แปลว่าศพไม่อยากไป
คุณแม่บ้านผู้อยู่ในเหตุการณ์เล่าต่อว่า
“แล้วนี่นะ มันมีเรื่องน่ากลัว”
คือเมื่อน้องแดงรองเท้าหลุด ก็เรียกเอาเพื่อนใกล้ตัวมาช่วยถือรูปผู้ตายแทนชั่วครู่ โดยบอกเพื่อนว่า
"เธอถือให้แป้บ ขอดูรองเท้าเดี๋ยว"
แต่พอเพื่อนยื่นมือมารับกรอบรูป ทันใด กระจกกรอบรูปก็แตกดังเพล้ง! กระจกแตกร่วงตกกระจัดกระจาย ขบวนศพชะงัก ทุกคนตกตะลึงไปตามๆ กัน โดยเฉพาะน้องแดง หน้าเจื่อนเผือดสี
คุณแม่บ้านว่า
"ศพมันไม่พอใจ ให้คนอื่นมาถือรูปก็ไม่ได้”
หลังการเผาศพเสร็จสิ้น น้องแดงอดีตแฟนสาวยังหวั่นไหวไปกับวิญญาณผู้ตาย แล้วจึงได้มีการทำพิธี “ตัดข้าวตอกดอกไม้” (แบบเดียวกับการผ่าจ้าน) เพื่อหวังให้วิญญาณนั้นได้สิ้นสุดความผูกพันกันเสีย
ในตอนที่คุยกันกับคุณแม่บ้านนั้น ตัวฉันเองก็ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ศพอาจจะยังไม่รู้ว่าตัวเองตายไปแล้ว หรือรู้ว่าตายแล้ว แต่ยังรับความจริงไม่ได้ก็ได้ จึงวุ่นวายไปหาคนนั้นคนนี้ ยังมีอารมณ์โกรธโมโหนานา ดังได้แสดงออกมาเป็นเหตุการณ์ต่างๆ
เราคงจะเรียกได้ว่า วิญญาณไม่อยากจะมูฟออน วิญญาณไม่อยากปล่อยมือไป
แต่ได้ทำพิธีตัดข้าวตอกดอกไม้ไปแล้วนั้น ก็เป็นเรื่องที่ดี เพื่อให้วิญญาณได้ไปสู่สถานที่อันเหมาะสมของตัวเอง เมื่อพลัดพรากจากกันเกิดขึ้นแล้ว โลกมนุษย์กับโลกวิญญาณแม้จะคู่ขนานกันอยู่ คนเป็นกับคนตายก็ไม่ควรจะยุ่งเกี่ยวกันสักเท่าไหร่
โดยเฉพาะกรณีที่วิญญาณยังผูกใจยึดมั่น เพราะอาจนำไปสู่เหตุการณ์ไม่สู้ดีกว่านั้น ไม่ควรประมาทเป็นดี
อย่างไรก็ดี น่าเสียดายว่า หลังจากนั้นไม่นาน คุณแม่บ้านก็มีเหตุให้ลาออกไป ทำให้ไม่ได้อัพเดตเรื่องวิญญาณดวงนี้อีก มีเพียงเรื่องเล่าสุดท้ายทิ้งไว้ว่า
ในวันเผาศพนั้น สองสามีภรรยาเจ้าของรถยนต์ที่เป็นสาเหตุของการตายก็มาร่วมงาน และมอบน้ำใจความช่วยเหลือให้กับญาติของผู้ตาย เป็นเงิน 2,500 บาท