ความเชื่อเรื่องตะเกียบของคนจีน
หากพูดถึง "ตะเกียบ" เชื่อว่าทุกท่านคงรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเด็กเล็กๆ ก็เริ่มรู้จักและเริ่มเรียนรู้การใช้ตะเกียบเป็นเครื่องมือในการกินอาหาร และไม่ต้องบอกก็คงจะรู้ดีว่าตะเกียบที่เราๆ ใช้กันอยู่นี้มีสัญชาติมาจากประเทศใด ส่วนในประเทศไทยรับวัฒนธรรมการใช้ตะเกียบเข้ามาเมื่อใดยังไม่ปรากฏหลักฐานเด่นชัด แต่เข้ามาก่อน ช้อน - ส้อม ของทางตะวันตกอยู่นานพอสมควร เพียงแต่ไม่ได้รับความนิยมเท่า ช้อน - ส้อมคนไทยจะนิยมใช้ตะเกียบเพื่อกินก๋วยเตี๋ยวและบะหมี่เท่านั้น
สำหรับชาวจีน ญี่ปุ่น เกาหลี และเวียดนาม ตะเกียบมีอิทธิพลสำหรับการกินอาหารของพวกเขาเป็นอย่างมาก ตามประวัติศาสตร์จีนบันทึกว่าคนจีนใช้ตะเกียบกินอาหารมามากกว่า 2000 ปี การที่คนจีนใช้ตะเกียบกินอาหารมานานนับพันปีนั้นจึงทำให้สั่งสมความรู้ หลักคำสอน ไว้มากมาย จนกระทั่งหล่อหลอมกลายมาเป็นขนบธรรมเนียมวัฒนธรรม รวมทั้งความเชื่อเรื่องการใช้ตะเกียบด้วย คนจีนมีข้อห้ามเรื่องการใช้ตะเกียบไว้มากมาย อาทิ
-ห้ามวางตะเกียบเปะปะ จะต้องวางให้เป็นระเบียบเสมอกันทั้งคู่ การวางตะเกียบไม่เสมอกัน เชื่อว่าจะนำความวิบัติมาสู่ผู้นั้น
-ห้ามใช้ตะเกียบชี้หน้าผู้อื่น จะทำให้ความมีเสน่ห์ในตัวหมดหายไป และเป็นที่เกลียดชังต่อคนที่พบเห็น
-ห้าม อม ดูด หรือ เลียตะเกียบ จะทำให้อดอยาก ยากจน และเป็นกิริยาที่เสียมารยาทขาดการอบรมที่ดี
-ห้ามใช้ตะเกียบเคาะถ้วยชาม จะทำให้เป็นที่เวทนาแก่ผู้พบเห็น และจะถูกดูแคลนได้ เพราะกิริยาเช่นนี้จะมีเฉพาะขอทานเท่านั้น เพื่อเรียกร้องให้เวทนา แต่บางแห่งก็ว่าเป็นการเรียกภูติผีให้มากินอาหารด้วย
-ห้ามใช้ตะเกียบวนไปมาบนโต๊ะอาหาร โดยไม่รู้ว่าจะคีบอาหารชนิดใด ต้องเป็นกิริยาที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะจะทำให้เป็นคนหลายใจ ลังเล ขาดความเชื่อมั่น
-ห้ามใช้ตะเกียบคุ้ยหาอาหาร การทำเช่นนี้เปรียบเสมือนโจร ขุดคุ้ยหาสมบัติ หรือสุนัขที่ขุดคุ้ยหาอาหาร ถือเป็นกิริยาที่น่ารังเกียจ
-ห้ามถือตะเกียบกลับข้าง จะทำให้กลับดีกลายเป็นร้าย จากมีโชคกลายเป็นอับโชค
-ห้ามใช้ตะเกียบข้างเดียวเสียบแทงลงในอาหาร เพราะเหมือนการปักธูปในกระถางไหว้คนตาย หรือการปักตะเกียบไว้ในชามแล้ว ส่งให้ผู้อื่นจะถือว่าเป็นการสาปแช่งให้ผู้นั้นพบกับความวิบัติ
-ห้ามทำตะเกียบตกพื้น จะทำให้โชคลาภ ตกหายไปด้วย หรือบางตำราว่าจะทำให้วิญญาณที่อยู่ใต้พิภพตื่นตกใจ ต้องรีบเก็บตะเกียบคู่นั้นแล้ววาดเครื่องหมายเป็นรูปกากบาท พร้อมกับกล่าวคำขอโทษ
ขอบคุณข้อมูลจาก FW Mail
ขอบคุณภาพประกอบจาก Photos.com