ผู้ชายอย่างเราไว้หนวดมาตั้งแต่ยุคโรมัน
เหมือนมันไม่นานมากนัก ที่ผู้ชายเริ่มไว้หนวดเครา เพื่อความเข้มบนใบหน้าของตัวเอง และกลายเป็นเทรนด์ของผู้ชายสมัยใหม่ที่นิยมตัดแต่งหนวดเคราไปตามทรงต่างๆ ตามแต่ใจชอบ แต่ถ้าไล่เรียงประวัติศาสตร์แล้วเอาเข้าจริง การไว้หนวดของผู้ชายมีมาตั้งแต่ยุคโรมัน หรือช่วง 200 ปี ก่อนคริสต์ศักราช
โดยเฉพาะในทวีปอาหรับได้รับความนิยมไว้หนวดเคราอาจด้วยความเชื่อทางศาสนา ล่วงเลยมาถึงคริสต์ศักราช และปัจจุบันความนิยมก็ยังคงสูงอยู่ไม่เสื่อมคลาย ส่วนทวีปยุโรปโดยเฉพาะทางตอนเหนือค่อนข้างได้รับความนิยมในกลุ่มทหาร นักบวช จนค่อยๆ ลดลงเมื่อเข้าสู่คริสต์ศักราช และขึ้น-ลงแบบนี้ตลอด จนปัจจุบันความนิยมก็ลดต่ำลงกว่าเดิมมากนัก ขณะที่ในทวีปเอเซียโดยเฉพาะจีน การไว้หนวดก็ได้รับความนิยมสูงมากๆ ตั้งแต่อดีต ทว่าในปัจจุบันดูเหมือนคนรุ่นใหม่ของจีนจะเลิกไว้หนวดกันแล้วล่ะ
ขณะที่ทางฝั่งอเมริกาก่อนปี 1800s ผู้ชายอเมริกันยังไม่นิยมไว้หนวดกันมากนัก จนกระทั่ง Abraham Lincoln ประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 16 ไว้หนวดเคราไล่ตั้งแต่ผมลงมาคางแบบรกรุงรัง จึงกลายเป็นกระแสที่นิยมในเวลานั้น มาถึงยุค 1990s เมื่อประธานาธิบดีคนที่ 27 ของสหรัฐ William Howard Taft ไว้หนวดเฉพาะเหนือริมฝีปาก มีการดัดโค้งช่วงปลายหนวด ก็กลายเป็นทรงหนวดที่ได้รับความนิยม ถึงขนาดเป็นยุคแรกที่เริ่มมีการดูแลหนวดอย่างจริงจัง ส่วนยุคสงครามโลกครั้งที่สองเทรนด์การไว้หนวดเปลี่ยนไป ที่ฮิตมากๆ ก็ไว้ตามตลกชื่อดัง Charlie Chaplin คือการไว้หนวดเล็กน้อยเหนือริมฝีปาก จากนั้นเทรนด์ของผู้ชายที่ไว้หนวดเคราในยุคหลังๆ ก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง และมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่น่าสนใจ
- ในประเทศจีน มีผู้นิยมไว้หนวดเคราสูงถึง 80-90% จนกระทั่งปี 1700s ที่เริ่มลดน้อยลงเหลือเพียงแค่ 70% แต่พอเข้าสู่ยุค 1900s ผู้ชายจีนแทบจะไม่ไว้หนวดกันแล้ว (อันนี้เราสังเกตได้จากคนจีนที่มาเที่ยวเมืองไทยหน้าใสทุกคน)
- ในทวีปอเมริกาเหนือเมื่อ 2000 ปี ก่อนหน้านี้ ผู้ชายไว้หนวดเครากันน้อยมากๆ ทว่าเมื่อเข้าสู่กลางศตวรรษที่ 18 ความนิยมกลับเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 10% เป็นมากกว่า 90%
- ในทวีปอาหรับการไว้หนวดเครานั้นแทบไม่มีอัตราที่ลดลงเลยจากอดีต เรียกว่าค่อนข้างสูงที่ 80-90%